ดวงตะวันในที่สุดก็ลาลับหายไปจากทุ่งหญ้า
ช่างรวดเร็วนัก
ในอดีตยามเดินอยู่บนทุ่งหญ้าแล้วมองดวงตะวัน ก็รู้สึกว่าเื่นี้เกิดขึ้นในเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ดวงตะวันข้างกายที่ยังเห็นอยู่เมื่อครู่เพียงหันไปสนทนากับสหายเพียงแค่ไม่กี่ประโยค เมื่อแหงนหน้ามองอีกครั้งก็พลันพบว่าดวงตะวันข้างกายลับหายไปเสียแล้ว
ทันใดนั้นความมืดมิดก็เข้าปกคลุม
หากเป็ที่อื่นคงจะเดินมองดวงตะวันยามอัสดงอย่างเอ้อระเหยระหว่างทางกลับไปกินข้าวที่เรือนได้ เพราะถึงอย่างไรก็คงทันเวลาพอดี
ทว่ายามอยู่บนทุ่งหญ้ารกร้างแห่งนี้ โดยเฉพาะใน่เวลานี้ของทุ่งหญ้า ที่นี่ยามฟ้ามืดแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับนรก ราวกับว่าที่นี่ได้กลายเป็อีกโลกหนึ่งทันที
ยามราตรีคือโลกของเหล่าหมาป่าดุร้าย
พวกมันซุ่มอยู่บนทุ่งหญ้าเงียบๆ เป็ฝูง
แม้แต่ชาวแคว้นจิงที่เชี่ยวชาญด้านการรบยังไม่ยินดีจะปะทะกับฝูงหมาป่า
เดิมทีพวกเขาคาดว่าภายในหนึ่งเค่อก็คงจะจัดการคนเหล่านี้ได้ อย่างมากก็คงจะไม่เกินสองเค่อ แล้วก็คงจะได้กลับไปพัก ดื่มสุรากินเนื้อสักที
ทว่าบัดนี้ดวงตะวันก็ลับหายไปหลังทิวเขาแล้ว
พวกเขายังไม่อาจฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้
ไม่เพียงจะไม่อาจปลิดชีพอีกฝ่าย คนกลุ่มนี้ยังทะลวงมาถึงใจกลางกองทัพได้ ทั้งยังปลิดชีพพวกเขาไปอีกนับไม่ถ้วน
นี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาออกทัพมาแล้วต้องล้มตายเช่นนี้
ฟ้ามืดแล้ว พวกเขาเริ่มหมดใจที่จะบุกต่อ คิดแต่อยากจะเดินทางกลับ
ชาวหมู่บ้านไป๋กู่เหล่านี้ยิ่งสู้ก็ยิ่งแกร่งขึ้น
พวกเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าพวกตนจะสามารถต้านทานกองทัพจิงได้
ทว่ายามที่เริ่มต่อสู้จึงเพิ่งได้พบว่าทหารแคว้นจิงนั้นก็เป็มนุษย์เช่นเดียวกับตน พวกเขาก็ตายได้เช่นกัน พวกเขาเองก็กลัวเป็เช่นกัน
พวกเขาไม่มีทางให้ถอยกลับ เพราะเส้นทางที่ถอยกลับก็คือมาตุภูมิของตน
พวกเขาเพียงแค่ต้องรักษาพื้นที่ไว้ให้ได้เท่านั้น
หากฆ่าได้สักคนก็นับว่าเสมอตัว หากสองคนก็นับว่ากำไรแล้ว
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังมีอินทรีศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง เช่นนี้พวกเขาย่อมต้องชนะเป็แน่
แม้ว่าพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ทว่าพวกเขากลับยังไม่ยินยอมจะจากไป
พวกเขายังคงเดินหน้า ด้วยเพราะหวาดกลัว กลัวว่าหากถอยหลัง ต่อไปก็คงจะไม่มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาสู้อีกแล้ว บัดนี้จึงมีเพียงแต่ต้องฆ่า ฆ่า และฆ่าเท่านั้น
ส่วนทหารแคว้นจิงคิดเพียงแต่อยากจะถอยกลับ ไม่มีใจจะสู้ต่ออีกแล้ว ฝ่ายตรงข้ามยิ่งสู้ก็ยิ่งแกร่ง
เพียงพริบตาเื่ราวกลับตาลปัตรเสียแล้ว
แม่ทัพกองทัพจิงมองทหารฝ่ายตนที่กำลังล้มตายก็รู้สึกกลัดกลุ้ม
เขาไม่เคยพบกับกองทัพของแคว้นเชินมาก่อน ครั้งนี้กลับถูกกลุ่มคนป่าเถื่อนสกัดเอาไว้ได้ ช่างน่าอับอายนัก
ทว่าเขาสามารถเป็ถึงแม่ทัพได้ แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่บ้าระห่ำแต่ไร้สมอง
เขาพบว่าคนเหล่านี้แม้จะดูราวกับจับนกจับแพะมารวมกันเป็กองทัพ แต่ยามต่อสู้นั้นก็มีระเบียบแบบแผน ทั้งยังเ้าเล่ห์เพทุบาย เน้นการซุ่มโจมตีเป็หลัก
ไม่เหมือนชาวแคว้นเชินที่เขาเคยเจอก่อนหน้าแม้แต่น้อย ว่ากันแล้วชาวแคว้นเชินนั้นแสนคร่ำครึ พิถีพิถันเื่ความสง่างาม ทว่าเ้าคนกลุ่มนี้ไฉนจึงได้ใจเด็ดเช่นนี้ได้เล่า
อีกทั้งพวกเขายังดูเหมือนว่ากำลังปกป้องคนที่อยู่ตรงกลาง
แม่ทัพของกองทัพจิง ด้านหนึ่งก็รับมือกับคนที่ซุ่มโจมตีเข้ามา อีกด้านหนึ่งก็คอยสังเกตการณ์อยู่เสมอ
ในที่สุดฝ่ายตรงข้ามก็เผยช่องโหว่ให้เขาเห็นด้านใน ที่แท้ตรงใจกลางของฝ่ายตรงข้าม นั่นคือเด็กหญิงคนหนึ่ง อีกทั้งนางยังงดงามนัก
หัวใจเขาพลันเต้นดัง “ตึกตัก” ขึ้นมา
รู้สึกราวกับว่าตนนั้นได้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว
ครั้งนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่มีพระบัญชาให้เขามาโจมตีทุ่งหญ้าแห่งนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะเื่การปล้นฆ่าแต่อย่างใด แต่เพื่อตามหาเด็กคนหนึ่ง ทั้งเมื่อหาเจอแล้วก็ให้ฆ่าเด็กคนนั้นทิ้งเสีย
ฮ่องเต้ไม่ได้บรรยายลักษณะของเด็กคนนั้น เพียงตรัสว่าดวงตาของเด็กคนนั้นประหลาดกว่าใคร เมื่อพวกเขาเห็นแล้วย่อมจะจำได้อย่างแน่นอน
ตรงหน้าเขาจะไม่ใช่เด็กคนนั้นได้อย่างไร แม้จะแต่งกายแบบเด็กหญิง ทว่าก็เป็เด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ว่าจะแต่งกายแบบเด็กชายหรือเด็กหญิงก็ล้วนได้ทั้งสิ้น
หากว่าเขาปลิดชีพเด็กคนนี้ได้ ทั้งตำแหน่งและความร่ำรวยต้องเป็ของเขาอย่างแน่นอน
ไหนจะเป็ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ที่กำลังกวักมือเรียกเขาอยู่
เขาเฝ้าคอยจับตาดู ทว่ากลับแสดงออกราวกับว่าตนกำลังต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังทำทีราวกับตนนั้นกำลังจะต้านทานไม่ไหว แต่ในความเป็จริงเขากลับค่อยๆ คืบคลานเข้าไปใกล้เด็กหญิง
ขอ์โปรดช่วยเขาด้วย
รอจนเขาเห็นว่ากองทัพเริ่มจะมีช่องโหว่
เหล่าคนรอบกายของเด็กหญิงนั้นก็ล้วนแต่ชุลมุนต่อสู้กับทหารจิงอยู่ ส่วนเด็กหญิงนั้นกำลังอยู่บนหลังม้าเพียงลำพัง
เขากระชับหอกยาวในมือแน่น เล็งเป้าเตรียมจะขว้างออกไปอย่างแรง
เพียงพริบตาย่อมสามารถแทงทะลุร่างของเด็กหญิงได้แน่นอน
หอกยาวในมือเขานั้นกระทั่งจะแทงทะลุร่างชายฉกรรจ์สองคนก็ยังไหว
นับประสาอะไรกับเด็กหญิงเพียงคนเดียว
ทว่าเขายังไม่ทันได้ตั้งตัวก็มีอินทรีตัวหนึ่งร่อนลงมา แล้วใช้ร่างของมันขวางหอกยาวของเขาไว้
ในขณะเดียวกันเ้าม้าสีนิลใต้ร่างของเด็กหญิงก็พลันยกเท้าขึ้น แล้วเตะร่างของเขาออกไปไกล
เขาเองยังไม่อยากจะเชื่อ ชายชาตรีเช่นเขาจะมาถูกเ้าม้าเตะกระเด็นเช่นนี้ได้ เ้าม้านั่นมีแรงมากขนาดไหนกันนะ ย่อมไม่เท่ากับม้าเพียงตัวเดียวเป็แน่ ถึงได้ยกเท้าขึ้นเตะร่างเขาเพียงทีเดียวก็กระเด็นไปไกลเช่นนี้ได้
ทว่าต่อมาข้างกายเขากลับปรากฏดวงตาสีเขียวของหมาป่าโผล่ขึ้นมา
เขาแทบจะเสียสติขึ้นมาทันใด
เป็ไปไม่ได้ เทพจันทรายังไม่ทันโผล่มา เทพสุริยะก็เพิ่งจะลับไป เ้าพวกหมาป่าจะออกมายามนี้ได้อย่างไร
ทว่าพวกหมาป่าก็ค่อยๆ พากันออกมาแล้ว เพียงแต่คนอื่นๆ กลับไม่เป็อะไรแม้แต่น้อย
ราวกันพวกมันนั้นพุ่งเข้ามาโจมตีเพียงแค่เขา
ทันใดหมาป่าตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามางับมือของเขา ตัวอื่นๆ ก็พากันอ้าปาก แล้วกระโจนเข้ามาทันใด
สุดท้ายสายตายังคงจับจ้องไปที่เด็กหญิง
ดวงตาของเด็กหญิงลึกล้ำราวกับหุบเหวลึก เขาพบแล้ว เขาพบนางแล้วจริงๆ
ทว่าก็ไม่ทันเสียแล้ว…เขาไม่ทันจะได้ร้องออกมา ไม่ทันจะได้เตือนคนอื่นๆ หากว่าเขาสามารถะโออกมาได้จริง ๆ เกรงว่าเพียงแค่ประโยคเดียว เขาเชื่อว่าคนอื่นๆ คงจะฝ่าเข้ามาปลิดชีพนางอย่างไม่เกรงกลัวความตายอย่างแน่นอน
เพราะเื่นี้ต่างหากจึงจะเป็เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา
ทว่าไม่ทันการณ์แล้ว
ความว่องไวของพวกหมาป่าที่บดขยี้ร่างของชายหนุ่มนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนที่พวกมันจะหายลับเข้าไปในพงหญ้าอีกครั้ง
กองทัพจิงยังคงไม่หยุดล่าถอย เมื่อถึงเขตพงหญ้าก็พากันหายลับไป
ชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่ต่อสู้จนลืมความตาย ลืมแม้ความมืดมิด ลืมกระทั่งฝูงหมาป่า จวบจนได้สติจึงเพิ่งจะพบว่า เหล่าคนบนทุ่งหญ้าที่ยังมีชีวิตรอดนั้นล้วนแต่เป็ชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่
ในสภาพที่ต่างก็เืโซมกาย กระทั่งบนร่างของเฉินโย่วก็เต็มไปด้วยเื
เมื่อครู่ที่เ้าอินทรีั์ช่วยเฉินโย่วขวางคมหอกไว้ เืสดๆ ของมันก็พุ่งออกมา อาบย้อมไปทั้งร่างของเฉินโย่ว ทว่าเืที่ััิันั้นกลับซึมหายเข้าไปในร่างนาง มีเพียงเสื้อผ้าเท่านั้นที่ยังชุ่มไปด้วยเื
ทุกคนนั้นล้วนแต่กำลังรักษาชีวิต จึงไม่มีใครสนใจเื่นี้
“พวกเราชนะแล้วหรือ” แม่นางนางหนึ่งะโถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ชุดที่นางสวมขาดวิ่นจนบัดนี้เผยให้เห็นหัวไหล่ไปกว่าครึ่ง ทั้งบนไหล่ยังมีรอยแผลถูกฟันอีกรอยใหญ่ เืยังคงไหลอยู่
เมื่อถามจบ นางก็หัวเราะลั่น
ทุกคนก็พากันยินดีที่รอดชีวิตมาได้เช่นกัน
นายท่านสามเองก็ไม่ต่าง เมื่อครู่นั้นเพราะกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็เอาตายจึงไม่ได้สนใจ บัดนี้ขาทั้งสองกำลังสั่นเสียจนแทบยืนต่อไม่ไหว
“เร็วเข้า พวกเรารีบเก็บของแล้วไปจากที่นี่ ฟ้ามืดแล้ว” นายท่านสามแหงนขึ้นมองฟ้าแล้วะโลั่น
ราชครูพลันส่ายหน้า “ไม่ทันแล้ว รีบจุดไฟเร็วเข้า”
ใบหน้าของทุกคนดูจริงจังขึ้นทันที
ยามราตรีบนทุ่งหญ้าคือสนามเด็กเล่นของเหล่าหมาป่า
และก็เพราะหมาป่าเหล่านี้ที่ทำให้แคว้นจิงไม่อาจยึดครองทุ่งหญ้าอย่างโดยสมบูรณ์
ทุกวันยามราตรีมาเยือน พวกเขาต่างก็พากันจากไป
ทุกคนช่วยกันเก็บร่างไร้ิญญาของเหล่าพี่ชายน้องสาว เหล่าคนที่ได้รับาเ็เล็กน้อยก็ช่วยกันดูแลคนที่าเ็สาหัส แล้วจึงมารวมกันอยู่รอบกองไฟ ยังมีเ้าอินทรีที่ได้รับาเ็ที่บัดนี้ยังยืนอยู่อย่างมึนงงบนทุ่งหญ้า
รอบข้างพลันมีเสียงดังขึ้น
เสียงสวบสาบเป็สัญญาณว่าหมาป่ามาแล้ว
ฝูงหมาป่ากรูกันเข้ามาจนแน่นขนัด จำนวนของมันมีมากจนไม่อาจนับได้
ดวงตาสีเขียวของมันทำให้คนที่สบเข้าเกิดขนหัวลุก
ทุกคนล้วนแต่ตึงเครียดจนแทบหยุดหายใจ เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะจัดการร่างของคนที่สิ้นชีพในามา ยามนี้จึงเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนจะมีแรงสู้กับฝูงหมาป่าหรือไม่
อาลู่ก็เช่นกัน บัดนี้เขาก็เต็มกลืน
ทว่าเขากับเสี่ยวอู่ก็ยังคงหันหลังชนกัน คอยปกป้องน้องสาวอยู่ด้านหน้า
สวบสาบ สวบสาบ สวบสาบ…
ราวกับว่าทั้งทุ่งหญ้าแห่งนี้ ทุกตารางนิ้วล้วนเต็มไปด้วยหมาป่า
พวกเขาถูกฝูงหมาป่าล้อมไว้แล้ว
ทุกคนต่างก็รู้เสียวสันหลัง หนาวะเืไปทั้งกาย
ราชครูเองก็พลันรู้สึกชาไปทุกรูขุมขน พวกเขาเพิ่งจะได้รับชัยชนะมาอย่างยากลำบาก บัดนี้ต้องมาถูกหมาป่ากัดกิน ช่างน่าอเนจอนาถเหลือเกิน
ทันใดก็มีหมาป่าตัวหนึ่งโผล่มา
มันก้มหัวลง ทำหางลู่ แล้วย่างสามขุมเข้ามา ทุกคนต่างพากันเตรียมพร้อม ทว่าเ้าหมาป่ากลับหันไปลากศพของทหารแคว้นจิงที่อยู่ด้านข้างออกมาแล้วจึงหายลับเข้าไปในพงหญ้า
ต่อมาหมาป่าฝูงใหญ่นั้นก็ทำเช่นเดียวกัน ต่างก็ลากศพทหารแคว้นจิงหายลับไปในพงหญ้า
ฝูงหมาป่าตรงหน้านั้นราวกับสายน้ำก็ไม่ปาน ไหลไปเรื่อยๆ ก็หายลับไปเสียแล้ว
ศพของทหารแคว้นจิงก็หายไปด้วยเช่นกัน เหลือไว้เพียงชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่
เหมือนกับเมื่อครู่เป็เพียงความฝันฉากหนึ่ง หากว่าบนร่างกายไม่มีาแ ก็ย่อมไม่มีทางคิดว่าพวกเขาเพิ่งจะสู้รบกับทหารแคว้นจิงมา
กองไฟที่ลุกโชน ทุ่งหญ้าที่แสนกว้างใหญ่ ผืนฟ้ามืดมิดไร้จุดสิ้นสุด และเหล่าชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่ที่เอาชีวิตรอดมาได้
พวกเขาชนะแล้วจริงๆ หรือ?
