โม่จ้านจิบสุราข้าวบาร์เล่ย์คำเล็ก ก่อนมองสำรวจบรรยากาศโดยรอบ
แม้โรงสุราจะมิใหญ่นัก ทว่าก็มิได้คับแคบและเสียงดังเช่นที่ตนคิดเอาไว้ ต่างจากภาพลักษณ์ภายนอกอย่างเห็นได้ชัด นอกจากพวกโม่จ้านสองคน ก็มีผู้ที่แต่งตัวเช่นองครักษ์มิกี่คนที่กำลังพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย
“ปกติที่นี่เป็แหล่งรวมตัวของทหารรับจ้าง แต่เพราะมิกี่วันนี้มีการประเมินจอมเวท คนในกิลด์มีจำนวนมิพอ จำนวนการส่งมอบภารกิจและประสิทธิภาพการทำงานล้วนแต่ถดถอย เหล่าทหารรับจ้างก็คร้านจะแออัดอยู่ในตัวเมืองเช่นกัน”
เมื่อดูออกถึงสิ่งที่โม่จ้านสงสัย หวาเอ่อร์คลี่ยิ้มอธิบาย
“อีกทั้งเหล่าจอมเวทยังมีข้อห้ามเครื่องดื่มที่รบกวนสมอง พวกเขาคล้ายจะมิเคยแปดเปื้อนกลิ่นอายภายในโรงสุรามาก่อน แน่นอนว่าโรงสุราย่อมต้องว่างงานขึ้นมาเสียแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นท่านมีสิ่งใดอยากจะถามข้า? หากท่าน้าถามว่าข้ามาจากที่ใด ข้าคงตอบได้เพียงว่าข้ามาจากเขตป่าใบดำ”
โม่จ้านนำมือทั้งสองข้างเท้าคาง สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดขณะมองสบตากับบุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะฝั่งตรงข้าม
“ข้ากับเก๋อจือเพียงบังเอิญพบกัน จึงถือโอกาสมาหางานทำสักเล็กน้อย ท่านมิต้องกังวลว่าข้าจะคิดวางแผนทำอันใดเขา”
“ผู้ที่คุณชายน้อยพอใจ หากมีแผนการใดต่อเขา เขาก็มิอาจต้านทานอยู่ดี...”
บุรุษวัยกลางคนเผยรอยยิ้มจนปัญญา หวนนึกถึงความทรงจำเ่าั้ที่ทำให้ผู้อื่นหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก
“คราก่อน นึกมิถึงว่าคุณชายน้อยเก๋อจือจะไปตีสนิทกับหัวหน้ากองทัพเผ่าสัตว์กลายร่างที่มาเยี่ยมเยียนจนเกือบจะถูกจับตัวไปเพราะเข้าใจผิดว่าเป็มือสังหาร”
...ช่างเป็เด็กโง่ที่ใสซื่อเสียจริง
โม่จ้านกลั้นหัวเราะ “บุตรชายของหัวหน้าสาขาย่อยกิลด์จอมเวทตรงไปตรงมาเช่นนี้ คาดว่าคงจะถูกคนในครอบครัวปกป้องดูแลเป็อย่างดีกระมัง”
“เป็เช่นนั้น ถูกดูแลเป็อย่างดี” หวาเอ่อร์ยกยิ้มตาหยีขึ้นมา นิ้วชี้ลูบตอหนวดตรงปลายคางแ่เบา
“หลังจากคุณผู้หญิงเคอซือไปแดน์ นายท่านเคอซือก็รักใคร่เอ็นดูคุณชายน้อยเก๋อจือมาโดยตลอด นอกจากเื่วิชาเวทก็จัดการดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง กระทั่งการฝึกงานในสถานศึกษาก็ยังแอบส่งอัศวินตามไปสอดส่อง ยามนี้คุณชายน้อยเก๋อจือได้กลายเป็จอมเวทกึ่งระดับกลางที่อายุน้อยที่สุดของเมืองเฟยปู้หย่าแล้ว”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข ทว่าคล้ายโม่จ้านจะััได้ถึงความมิชอบมาพากลบางอย่าง
“...ขอผู้น้อยกล่าวตามตรง พร์ด้านวิชาเวทของคุณชายน้อยเก๋อจือมิเลว เพียงแต่หากแม้นออกไปฝึกฝนข้างนอกยังส่งคนไปตามคุ้มกัน จะเป็การขัดขวางการพัฒนาของเขา”
“หึ คาดว่านายท่านเคอซือคงจะมีการตัดสินใจที่รอบคอบของตนเอง”
หวาเอ่อร์คลี่ยิ้มพลางยกแก้วสุราขึ้น กระดกดื่มสุราข้าวบาร์เล่ย์จนหมดรวดเดียว
“นายท่านสามารถสอนสั่งคุณชายน้อยคู่เล่อได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น คุณชายน้อยเก๋อจือก็จะต้องทำได้เช่นกัน”
“...คุณชายน้อยคู่เล่อ?”
“อา เห็นทีคุณชายน้อยเก๋อจือจะยังมิได้บอกท่าน นายท่านเคอซือมีบุตรชายสองคน คุณชายน้อยคู่เล่อคือบุตรชายคนโต”
“ทำให้ท่านหวาเอ่อร์กล่าวชมได้เช่นนี้ เห็นทีคุณชายน้อยคู่เล่อคงต้องเก่งกาจมากเป็แน่”
โม่จ้านคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า บอกใบ้พนักงานให้เติมสุราอีกแก้วหนึ่ง
“นายท่านเคอซือยอมรับในความสามารถของคุณชายน้อยคู่เล่อเป็อย่างยิ่ง มิเช่นนั้นคงมิมีทางให้คุณชายน้อยคู่เล่อติดตามข้างกายั้แ่เมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งยังให้เขาร่วมจัดการงานในกิลด์ด้วย”
หวาเอ่อร์โบกมือบอกพนักงานว่ามิต้องเติมสุรา จากนั้นหยัดกายลุกขึ้น ค้อมกายบอกลาโม่จ้าน
“ข้ามิอาจดื่มมากเกินไป ในตลาดยังรอให้ข้าไปจัดการดูแล ให้ข้าส่งท่านกลับโรงเตี๊ยมก่อนเถิด คุณชายน้อยเก๋อจือเข้ารับการประเมินเสร็จก็จะกลับไป”
......
ขณะนั่งอยู่บนเตียงในโรงเตี๊ยม โม่จ้านหวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของหวาเอ่อร์
เดิมทีตนคิดว่าหวาเอ่อร์้าไต่สวนตนอย่างระแวดระวังเพื่อความปลอดภัยของเก๋อจือ เพียงแต่หลังจากถูกตนพูดออกไปตามตรง หวาเอ่อร์กลับมิเอ่ยถึงอีก เื่นี้ทำให้ตนรู้สึกประหลาดใจเป็อย่างยิ่ง ด้วยความฉลาดของหวาเอ่อร์ จะต้องมิมีทางเชื่อคำพูดที่ว่าตน ‘มาจากชายป่า’ อย่างแน่นอน เช่นนั้นเท่ากับยอมรับแล้วว่าตนมิยินดีจะเปิดเผยตัวตน
ด้วยความคุ้นเคยที่หวาเอ่อร์มีต่อตระกูลเคอซือ หากมิใช่อดีตพ่อบ้านก็ต้องเป็คนสนิท ทว่ากลับเปิดเผยเื่ราวภายในครอบครัวเ้านายอย่างง่ายดายเช่นนี้ต่อหน้าผู้ที่มิยินดีจะเปิดเผยตัวตนอย่างเขา มิว่าจะมองอย่างไรเื่นี้ก็ดูน่าแปลกเกินไป
แท้จริงแล้วตนพอจะรับรู้ได้ถึงความหมายในคำกล่าวของหวาเอ่อร์ บิดาเลี้ยงดูคู่เล่อในฐานะผู้สืบทอด มีความเป็ไปได้ที่จะเลี้ยงเก๋อจือให้เสียคน ทว่า เื่นี้เกี่ยวอันใดกับคนแปลกหน้าอย่างเขา? หวาเอ่อร์เปิดเผยเื่พวกนั้นอย่างอ้อมค้อม จุดประสงค์ของเขาคือสิ่งใดกัน?
โม่จ้านพยายามคิดอย่างหนัก กระนั้นก็ยังมิเข้าใจ
ทันใดนั้นในหัวพลันมีความคิดหนึ่งวูบผ่านเข้ามา หรืออีกฝ่ายอยากจะ...
‘แกร๊ก’
เมื่อได้ยินเสียงเก๋อจือผลักประตูเข้ามา โม่จ้านที่กำลังใคร่ครวญอย่างเอาจริงเอาจังพลันได้สติกลับคืนมาทันที ตนคลี่ยิ้มทักทายอีกฝ่าย
“ประเมินเสร็จแล้วหรือ? ราบรื่นดีหรือไม่?”
“ย่อมต้องเป็เช่นนั้น คุณชายน้อยอย่างข้าถึงระดับจอมเวทระดับกลางั้แ่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว เพียงแต่มีเื่ในตระกูลทำให้ล่าช้าไปสักหน่อย จึงมามิทันเข้าร่วมการประเมินเท่านั้น”
เก๋อจือมิต่างจากลูกไก่ตัวผู้จอมเย่อหยิ่งที่เริ่มยืดอกส่งเสียงขัน
โม่จ้านถูกท่าทางมั่นใจของเก๋อจือทำให้นึกขบขันเสียแล้ว เขาลูบผมสีแดงยุ่งเหยิงของเก๋อจือเบาๆ เก๋อจือพลันปัดมือของโม่จ้านออกด้วยสีหน้ารังเกียจ
“อย่ามาทำตัวตีสนิทกับคุณชายน้อยอย่างข้าซี้ซั้ว ท่านพ่อของข้ายังมิเคยลูบหัวข้าเลยด้วยซ้ำ”
โม่จ้านนิ่งงัน สายตาพลันเปลี่ยนเป็แฝงความหมายลึกซึ้ง “คงมิใช่ว่าคุณชายน้อยเก๋อจือเพิ่งจะเคยถูกข้าลูบเป็คนแรก...”
“แหวะ! อย่าได้เอ่ยวาจาน่าสะอิดสะเอียนเช่นนั้น!”
เก๋อจือที่พะอืดพะอมคว้าคทาสั้นเขวี้ยงไปทางโม่จ้าน ทว่ากลับถูกโม่จ้านที่หัวเราะดังลั่นหลบได้อย่างคล่องแคล่ว
“นับแต่ข้าจำความได้ คล้ายกับพวกเราจะมิเคยััเนื้อตัวกันมาก่อน ท่านพ่อชอบตีหน้านิ่งต่อหน้าพวกเราสองพี่น้อง หากมิไล่ท่านพี่ออกไปอ่านตำราก็จะไล่ข้ากลับไปอ่านตำรา”
โม่จ้านที่ประสาทััว่องไวรับรู้ได้ถึงการใช้คำที่ต่างออกไป “...ให้พี่ชาย ‘ออกไป’ กับให้เ้า ‘กลับไป’ ?”
“ใช่สิ ยามท่านพ่ออยู่ในกิลด์จะให้ท่านพี่อยู่ข้างกายตลอด เพื่อให้เขาเรียนรู้วิธีดูแลจัดการ ยามใดที่ข้าไปเล่นที่กิลด์ล้วนต้องแอบเข้าไป หากถูกท่านพ่อพบเข้าจะต้องไล่ข้าไปฝึกวิชาเวท ‘สิ่งเ่าั้ที่เ้าเรียนไร้ประโยชน์ มิสู้กลับไปทบทวนวิชาเวท’
ขณะมองเก๋อจือที่อารมณ์กลายเป็หดหู่อย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดโม่จ้านก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนอยู่นอกเมือง สายตาของอีกฝ่ายจึงได้มีความมืดสลัววูบผ่าน
ที่แท้เป็เพราะถูกตนพูดแทงใจดำเข้าให้ กษัตริย์ทำเพื่อผูกมัดกิลด์ใหญ่แต่ละกิลด์ ได้มอบสิทธิ์สืบทอดบรรดาศักดิ์ให้แก่เหล่าหัวหน้ากิลด์ย่อย ผู้นำกิลด์ล้วนมีบรรดาศักดิ์เป็ดยุค หัวหน้าสาขาย่อยของกิลด์ย่อมมีบรรดาศักดิ์เป็ลอร์ดเช่นกัน แม้จะบอกว่าสามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้ กระนั้นกลับยังมีข้อเรียกร้องที่มากเกินไป --- จำต้องรับตำแหน่งสิบปีขึ้นไป อีกทั้งอย่างน้อยจะต้องมีเอิร์ลสองท่านยินดีแสดงเจตจำนงว่าจะยอมรับใช้จนตัวตาย จึงจะสามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้สำเร็จ
“ท่านพ่อรับตำแหน่งเกินสิบปีนานแล้ว หาก้าให้ท่านพี่สืบทอดบรรดาศักดิ์ ภายในตระกูลจะต้องมีเอิร์ลสองคน เดิมทีท่านอาหวาเอ่อร์เป็พ่อบ้านในคฤหาสน์ ทว่าเพราะเป็คนธรรมดาไร้บรรดาศักดิ์ จึงถูกส่งออกมาดูแลตลาดอยู่ข้างนอก”
เก๋อจือถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นั่งลงข้างกายโม่จ้านอย่างค่อนข้างคอตก มือทั้งสองข้างวางลงบนขอบโต๊ะ
“เ้าจะบอกว่ายามนี้พ่อบ้านมีบรรดาศักดิ์เอิร์ล และเ้าก็ต้องพยายามเพื่อให้กลายเป็ท่านเอิร์ล จึงจะสามารถทำให้ท่านพ่อส่งต่อบรรดาศักดิ์ให้พี่ชายได้?”
ความรู้สึกภายในใจของโม่จ้านค่อนข้างซับซ้อน สิ่งที่อำนาจสามารถทำให้สั่นคลอนมีมากมายเหลือเกิน กระทั่งความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกก็ยังยากหลีกเลี่ยง
“ยังจะมีหนทางใดอีกหรือ? ต่อให้ข้าจะทำให้แผนการมิอาจลุล่วงเพราะมิเต็มใจก็ยังคงไร้ประโยชน์ ยามนี้ทางออกเดียวของข้าคือฟังคำสั่งของท่านพ่อ เมื่อกลายเป็จอมเวทระดับสูงย่อมต้องได้รับบรรดาศักดิ์เอิร์ลเอง”
โม่จ้านขยับไปข้างกายเก๋อจือแล้วลูบผมเขาแ่เบา เก๋อจือที่กล้ำกลืนความมิเป็ธรรมอย่างยิ่งฟุบหมอบลงกับพื้น ระบายความในใจกับโม่จ้านจนหมดเปลือกมิต่างกับเทเมล็ดถั่วลงบนกระบอกไม้ไผ่
“...จอมเวทระดับสูงเป็ง่ายเพียงนั้นเสียเมื่อไร ทั่วทั้งเมืองเฟยปู้หย่าก็มีอยู่เพียงมิกี่คน ท่านพ่อช่างประเมินข้าสูงเหลือเกิน”
เก๋อจือลุกขึ้นนั่งด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจะล้วงเอาตราแสดงยศบ่งบอกระดับขั้นจอมเวทออกมาจากเสื้อคลุมแล้วโยนใส่มือโม่จ้าน
“เห็นเลขที่อยู่้านั่นหรือไม่ จวนจะถึงสี่ร้อยอยู่แล้ว ในนั้นยังมีพวกตาแก่ตายยากกลุ่มใหญ่ที่นั่งบนตำแหน่งจอมเวทกึ่งระดับสูงมิยอมไปไหนมาสี่สิบกว่าปี มีผู้ใดมิมีชื่อเสียงมิมีประสบการณ์บ้าง? กระทั่งพวกเขาทั้งหมดยังมิผ่านการประเมินขั้นสูง ข้าจะไปกล้าเพ้อฝันได้อย่างไร”
โม่จ้านมองตัวเขียนเป็เลข “377” เลี่ยมทองบนตราแสดงยศ ตนลอบถอนหายใจที่มิว่าจะเป็การแข่งขันใดล้วนดุเดือดเช่นนี้ เขาปลอบใจเก๋อจือ
“เ้าอายุยังน้อย ยังมีโอกาส มิเหมือนข้าที่อายุเข้าสู่เลขสาม...อุ๊บ...”
หลังเอ่ยไปครึ่งประโยค โม่จ้านเพิ่งจะรู้ตัวว่ามิถูกต้องและฝืนกลืนคำพูดกลับลงไป
“...แค่กๆ อายุไล่เลี่ยกับเ้า แต่มิรู้กระทั่งวิชาเวทเสียด้วยซ้ำ”
เก๋อจือที่ใบหน้าฉายแววดูถูกเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางโม่จ้านแล้วกลอกตาขาว
“พูดมาถึงครึ่งค่อนวัน เ้ายังคิดว่าข้ามิได้ยินหรืออย่างไร? ด้วยใบหน้านี้ของเ้า เลิกคิดจะแสร้งวางมาดเป็ผู้ใหญ่ไปเสียเถอะ”
โม่จ้านกุมขมับ มิใช่ว่าข้าอยากเสแสร้ง เพียงแต่มันคือความจริง ต่อให้ข้าพูดไปเ้าก็คงมิมีทางเชื่อ
“ข้าว่านะโม่เจ๋อเอ่อร์ ครอบครัวของเ้าเคยพาเ้าไปทดสอบธาตุของพลังเวทหรือไม่? มิสู้ข้าพาเ้าไป?”
หลังเผยเสียงในใจ อารมณ์ของเก๋อจือดีขึ้นบ้างแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกใกล้ชิดกับโม่จ้านยิ่งกว่าเก่า
“เอ่อ คือว่า แน่นอนว่าเคยทำ เ้าก็น่าจะรู้ผลลัพธ์ ฮ่าๆๆๆ...”
โม่จ้านนิ่งงัน หันหน้าไปด้านข้างแล้วเริ่มหัวเราะเสียงดังลั่น คิดอยากจะใช้วิธีกลบเกลื่อนให้พ้นจากการไต่สวน ตลกหรืออย่างไร ตัวเขาเองก็มิรู้เช่นกันว่าร่างกายของเผ่าปีศาจจะได้ผลลัพธ์อย่างไรหลังเข้าทดสอบ หากเกิดะเิตูมตามจนเผยตัวตนขึ้นมาเช่นนั้นก็ขอผ่านแล้วกัน
“...ก็ใช่ ถึงแม้จะมีเพียงความสัมพรรคกับเวทมนตร์เหนือผู้คน ก็มิมีทางคิดจะอาศัยการใช้แรงงานหากิน มิใช่ ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น ข้าจะบอกว่าต่อให้เ้าอาศัยเพียงทักษะฝีมือหากินก็ยังดีกว่าคนถือคทาพวกนั้น เอ๊ย มิถูก ข้าก็เป็พวกที่ถือคทาเช่นกัน...”
เก๋อจือเกาหัวอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกว่าตนเองมิว่าจะพูดอย่างไรตนก็พูดผิดและเห็นได้ชัดว่าอึดอัดใจ
โม่จ้านที่ขายผ้าเอาหน้ารอดถอนหายใจโล่งอก คลี่ยิ้มพลางยัดตราแสดงยศใส่มือของเก๋อจือ
“เอาล่ะ รู้แล้วว่าเ้ามิได้มีเจตนามิดี จุดหมายต่อไปคือกิลด์นักดาบพเนจรใช่หรือไม่ พวกเราจะเริ่มออกเดินทางเมื่อใด?”
“วันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ข้ามิอยากเร่งเดินทางข้ามคืน” เก๋อจือบิดเอวไล่ความเกียจคร้าน จากนั้นทิ้งหัวลงหมอน
โม่จ้านเดินออกไปนอกห้องและลงกลอนประตูแ่เบา สีหน้ายังคงเจือรอยยิ้มที่มิอาจสังเกตเห็นโดยง่าย คุณชายน้อยเก๋อจือที่นิสัยตรงไปตรงมามิเพียงแต่ระบายความในใจ นึกมิถึงว่าจะยังรู้จักรักษาความรู้สึกของ ‘คนป่า’ อย่างโม่จ้าน เห็นทีคงอยากเป็สหายกับตนจากใจจริง
เพียงแต่ ผู้ที่สามารถกลายเป็จอมเวทกึ่งระดับกลางลำดับมิเกินสี่ร้อยของหนึ่งอาณาจักร...มิว่าอย่างไรก็มิน่าจะเป็พวกธรรมดาสามัญใช่หรือไม่?