ดูเหมือนว่าคนตระกูลิจะใจกว้างไม่น้อย ถึงได้ให้ข้านั่งรถม้าคนเดียวโดยไม่ต้องเบียดกับใครเพื่อเดินทางไปยังสถานีรถไฟ
และพอขึ้นรถไฟก็พบว่าในโบกี้แทบจะไม่มีคนอื่นถุงเนื้อขนาดสองร้อยกิโลของข้าจึงวางตรงไหนก็ได้ตามสบายความรู้สึกสบายจนเกินเหตุทำให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไร
คนที่เห็นว่าข้ากำลังสงสัยอยู่อย่างหยางไซว่จึงพูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ“ท่านจอมยุทธ์ ตระกูลิซื้อรถไฟตู้นี้เพื่อความเป็ส่วนตัวจึงไม่มีคนอื่น”
ข้าถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน มีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้สินะ!
...
เนื่องจากมีไม่กี่คนอยู่ในโบกี้จึงทำให้มันดูโล่งๆ
ิฉายนั่งอยู่ตรงข้ามกับข้าด้วยสีหน้าจริงใจก่อนจะพูดขึ้น“ท่านจอมยุทธ์น้อย ท่านช่วยชีวิตลูกชายของข้าเอาไว้คนตระกูลิอย่างพวกเราจะต้องตอบแทนท่านอย่างงามแน่นอน...ไปนำของตอบแทนมาสิ!”
“ขอรับ เ้านาย”
องครักษ์คนนั้นว่าแล้วก็ไปนำกล่องกล่องหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าของข้า“รับของสิ่งนี้ไว้ด้วยเถอะขอรับ ท่านจอมยุทธ์”
“ของนี่มันคือ...อะไร?”
“ท่านเปิดดูก็จะรู้เองแหละขอรับ”ขณะที่ข้าเปิดฝากล่องก็ต้องหลับตาเพื่อหลบแสงสว่างจ้าที่ส่องออกมาภายในกล่องคือของล้ำค่าเช่นเงินทอง และไข่มุกอะไรพวกนั้น โดยไข่มุกเม็ดนั้นมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นนอกจากนั้นยังมีทองคำวางเรียงเป็แท่งๆและธนบัตรใบละหนึ่งหมื่นเหรียญหลงหลิงกองรวมกันเป็ปึกหนาซึ่งคาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยใบ
ข้าที่ไม่เคยเห็นเงินทองมากมายขนาดนี้ก็มองจนตาแทบหลุดออกจากเบ้า
แต่เพียงไม่นานข้าก็ผลักของพวกนั้นกลับไปแล้วพูดขึ้น“ของพวกนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกขอรับท่านิฉายเพราะสำหรับผู้ฝึกฝนิญญาแล้วของพวกนี้เป็แค่เพียงตัณหาภายนอกเท่านั้น”
ิฉายที่ได้ยินถึงกับตะลึงแต่ิไซว่กลับหัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้น “คราวนี้ท่านเชื่อหรือยังท่านพ่อข้าบอกแล้วว่าพี่ใหญ่เป็พวกมีคุณธรรมเป็อันดับหนึ่งและไม่ได้สนใจเงินทองพวกนี้เลยข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องเอามาดูถูกพี่ใหญ่ของข้าท่านก็ไม่เชื่อ! ”
ตอนนี้เป็ิฉายเองที่ค่อนข้างจะผิดคาดก่อนจะพูดขึ้น“ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ท่านจอมยุทธ์ นึกไม่ถึงว่าเื่จะเป็แบบนี้ได้ ในเมื่อท่านจอมยุทธ์เป็ผู้ฝึกฝนิญญาถ้าอย่างนั้น...ให้คนไปนำของที่ข้าเตรียมไว้ให้ลูกิเอ๋อร์มาสิ!”
“ขอรับ นายท่าน!”
องครักษ์นำตลับอันหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ และเมื่อเขาเปิดก็มีแสงสีครามอ่อนๆส่องประกายออกมา ข้าถึงได้รู้ว่ามันคือเข็มขัดเส้นหนึ่ง ทว่าเข็มขัดเส้นนี้ถูกฝังด้วยอัญมณีที่รายล้อมและเต็มไปด้วยพลังิญญาที่แข็งแกร่ง แค่นี้ก็ทำให้รู้ได้เลยว่ามันคืออาวุธิญญาและไม่ใช่อาวุธิญญาธรรมดาอีกต่างหาก!
“ท่านจอมยุทธ์ นี่คือเข็มขัดเจ็ดดาวอาวุธิญญาระดับทองชั้นดีข้าสั่งให้คนไปซื้อมาจากเมืองรุ่งอรุณทองคำ ซึ่งมันจะทำให้พลังิญญาบริเวณเอวของท่านแข็งแกร่งขึ้นรวมทั้งการบำเพ็ญก้าวหน้าเร็วกว่าเดิม และยังเป็อาวุธคุ้มครองผู้เป็นายชั้นดีอีกด้วยเดิมทีข้าจะเก็บไว้ให้ลูกชายที่ไม่เอาไหนของข้าใช้แต่ดูเหมือนว่าท่านจอมยุทธ์จะเหมาะกับมันมากกว่าดังนั้นข้าจึงอยากจะมอบมันให้ท่าน”
ข้าได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย“เอาของที่ท่านจะมอบให้ลูกชายมาให้ข้าแบบนี้มันจะดีเหรอขอรับ?”
พอิไซว่ได้ยินแบบนั้นก็รีบพูดขึ้นมา “ท่านเป็พี่ใหญ่ของข้าของชิ้นนี้ให้ท่านไปข้าก็ไม่เสียดายหรอกน่า มันก็แค่อาวุธิญญาระดับทองเดี๋ยวข้าซื้อใหม่อีกอันก็ได้ไม่เห็นจะยาก!”
ให้ตายเถอะ คนมีเงินมันดีจริงๆ เลย!
เข็มขัดเจ็ดดาวชิ้นนี้สามารถเพิ่มความเร็วของการบำเพ็ญได้แม้ว่าสำหรับข้าแล้วจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรแต่สำหรับซ้งเชียนมันกลับเป็ของล้ำค่าที่ขาดไม่ได้!
พอคิดได้แบบนี้ข้าจึงพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอรับไว้แล้วกันขอบคุณมากขอรับ ท่านิฉาย!”
“ไม่ต้องเกรงใจ!”
พอรับเข็มขัดมาวางไว้บนมือก็รับรู้ได้ถึงพลังที่อัดแน่นอยู่ภายในอาวุธระดับทองชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ...ถ้านำไปขายที่ร้านหอเจ็ดเทพจะต้องได้เงินกว่าสิบล้านเหรียญหลงหลิงเป็แน่ถือว่าเป็ของที่ดีมากจริงๆ!
เมื่อเห็นข้าชอบใจกับของสิ่งนี้ิฉายก็พูดขึ้นอย่างเต็มใจ“ท่านจอมยุทธ์ ตอนนี้ลูกชายของข้านับถือท่านจนให้เป็พี่ใหญ่แล้วท่านก็เสมือนเป็แขกชั้นสูงของตระกูลิวันข้างหน้าถ้าเกิดมีเื่อะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ ขอเพียงท่านเอ่ยปาก คนตระกูลิก็พร้อมจะช่วยอย่างสุดกำลังแน่นอน!”
“อืม ขอบคุณท่านมากขอรับ”
ข้ามองสองพ่อลูกสลับกันไปมาแล้วพูดขึ้น“ข้าว่าวันข้างหน้าอย่าให้ิไซว่ไปที่นั่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเลยจะดีกว่าเพราะมีคนที่รู้หน้าไม่รู้ใจในหุบเขาหลิงหยุนอยู่มากมาย หรือถ้าจะไปจริงๆก็ควรมีองครักษ์ในขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพคงจะดีที่สุด”
“ใช่...พี่ใหญ่พูดถูก!” ิไซว่พยักหน้ารับรัวๆ
หลังจากนั้นไม่นานรถไฟก็มาถึงเมืองหลินเสี่ยเฉิง ข้าบอกลาสองพ่อลูกตระกูลิแล้วก็แบกถุงเนื้อขนาดใหญ่กลับไปยังสำนักหมื่นิญญาเนื่องจากตอนนี้เป็่บ่ายพอดีจึงมีศิษย์จำนวนไม่น้อยกำลังเข้าเรียนคาบการฝึกเพลงกระบี่ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสาวน้อยที่กำลังเรียนอยู่ในห้องของสำนักจวี๋ฉีที่สนามฝึกที่เจ็ด
ซูเหยียน ตั้นไถเหยาและคนอื่นๆ กลับมาจากการบำเพ็ญแล้ว!
ไม่นานแม่นางทั้งสองก็วิ่งเข้ามาโดยเป็ซูเหยียนที่ถามขึ้นด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ“เ้าคนกินจุ ทำไมเ้าถึงแต่งตัวเป็ขอทานจนข้ากับอาเหยาจำไม่ได้ขนาดนี่ล่ะ”
ข้ายิ้มรับก่อนจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของนางที่มีพลังมากกว่าเดิมก็เลยถามขึ้น“เสี่ยวเหยียน ตอนนี้เ้าเข้าสู่ขั้นบำเพ็ญของเทวิญญาแล้วใช่ไหม?”
“แฮ่ๆ โดนเ้ารู้ทันแล้วสินะ!” นางว่าแล้วยืดอกแบบภาคภูมิใจก่อนจะพูดต่อ
“แล้วเ้าล่ะเห็นอาจารย์หลันเท้อบอกว่าเ้าเข้าไปที่หุบเขาหลิงหยุน ได้อะไรกลับมาบ้าง?”
“ข้าก็บำเพ็ญจนเข้าขั้นเทวิญญาแล้วเหมือนกัน!”
“ฮะ!?”นางถึงกับต้องอ้าปากค้าง ดูเหมือนว่าการพัฒนาของข้าจะเร็วกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
ส่วนตั้นไถเหยาที่ได้ยินก็พูดแบบไม่สบอารมณ์เท่าไร “อาจารย์ปู้ทำไมเ้าถึงพัฒนาเร็วขนาดนี้นะ! ดูเหมือนว่าอัจฉริยะอย่างพวกเ้าจะนำไปเสียแล้วสิเพราะตอนนี้ข้าเพิ่งจะอยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้น์เอง”
ซูเหยียนกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถามขึ้นอีกรอบ “แล้วเ้าเอาหนังหมีหมอกห่ออะไรกลับมาด้วยน่ะ?”
“เนื้อเสือั”
นางพูดต่อแบบไม่อยากจะเชื่อ “เนื้อเสือั? อย่าบอกนะว่าเ้าลงมือสังหารเสือัตัวคนเดียว?”
“เ้าเดาถูกแล้ว!”
ซูเหยียนถึงกับอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เพราะคนที่สามารถสังหารเสือัได้จะต้องไม่ใช่คนที่อยู่ในขั้นเทวิญญาธรรมดาอย่างแน่นอนและก็คงจะเป็อย่างนั้นเพราะข้ามีทั้งวิชาลมหายใจัและพลังของเคล็ดวิชาาฉะนั้นต่อให้อยู่ในระดับต้นของขั้นเทวิญญาแต่พลังของข้าเทียบได้กับระดับสมบูรณ์ของการบำเพ็ญในขั้นนี้ได้เลยล่ะ!
ข้าแบกถุงเนื้อเดินไปพลางถามขึ้น “เย็นนี้มากินข้าวที่โรงเกลากระบี่กับข้าไหมล่ะ? จะได้ต้มเนื้อเสือักินกัน”
“ดีเลยๆ” นางทั้งสองดีใจจนออกนอกหน้าก่อน
ขณะนั้นก็มีเสียงของอาจารย์ผู้สอนคนหนึ่งดังขึ้น “ซูเหยียนตั้นไถเหยา พวกเ้าจะไปไหนกัน? ตอนนี้เรากำลังเรียนกันอยู่นะ ทำไมพวกเ้าถึงได้เดินออกไปอย่างนั้นล่ะ?”
พอได้ยินแบบนี้พวกศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะออกมา
ซูเหยียนแลบลิ้นปลิ้นตาก่อนจะว่าพลางยิ้ม “อาจารย์บ่นแล้วล่ะข้ากับอาเหยาไปเข้าเรียนก่อนนะ เอาไว้เจอกันตอนเย็น!”
“อืม ไว้เจอกัน!”
...
หลังจากกลับมาถึงโรงเกลากระบี่ได้ไม่นานทั้งซ้งเชียนและจ้าวห้าวก็รีบมาหา
ขณะที่ข้าดึงกระบี่สยบัออกจากกองเนื้อ ทั้งสองคนต่างก็ใจนชะงักไป“นี่อย่าบอกนะว่ามันเป็เหมือนสุภาษิตที่ว่า ซ่อนดาบในกองเนื้อ?...”
“ซ่อนบ้าอะไรล่ะ! เสี่ยวเชียน เ้าเอากระบี่นี่ไปล้างให้ข้าที”
“ได้เลยพี่เชวียน”
หลังจากนั้นพอกระบี่สยบักลับมาเงางามดังเดิมก็มีแสงสีเงินเปล่งประกายออกมาจนทำให้คนต้องตกตะลึงถึงแม้มันจะเป็อาวุธิญญาระดับเงินแต่ระดับความคมของมันก็แตกต่างจากกระบี่เล่มอื่นมาก
“เ้าพกกระบี่สยบัเล่มนี้ติดตัวไว้เถอะ” ข้าพูดขึ้น
ซ้งเชียนที่ได้ยินถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง “อะไรนะ!?...เอากระบี่ดีๆแบบนี้มาให้ข้ามันจะไม่เสียเปล่าเหรอพี่เชวียน”
“เสียเปล่าอะไรกัน ข้ามีกระบี่คมจันทรา จ้าวห้าวก็มีเพลงหมัดเหลือก็แต่เ้าที่ไม่มีอาวุธอะไรเลย”
ว่าแล้วข้าก็ล้วงเอาเข็มขัดเจ็ดดาวออกมาแล้วโยนให้เขาไปก่อนจะพูดขึ้น“ระหว่างทางข้ายังนำเ้านี่มาให้ด้วยเข็มขัดเจ็ดดาวคืออาวุธระดับทองที่จะช่วยให้เ้ามีการพัฒนาที่เร็วขึ้นแล้วอย่าลืมใส่ไว้ใต้เสื้อเชิ้ตด้านในล่ะ จะได้ไม่มีใครเห็น”
ตอนนี้ทั้งซ้งเชียนและจ้าวห้าวต่างตะลึงจนแข็งทื่อไม่กล้าขยับก่อนจ้าวห้าวจะพูดขึ้นหลังจากผ่านไปนานพอสมควร “ขนาดอาวุธิญญาระดับทองท่านก็ให้คนอื่นง่ายๆขนาดนี้เลยเหรอ? พี่เชวียนแล้วเ้ามีของมาให้ข้าบ้างหรือเปล่า?”
“มีสิ” ”
ข้าว่าแล้วก็หยิบจินตานระดับเจ็ดกับกำไลกระดูกเสือออกมา“ข้ามีจินตานระดับเจ็ดซึ่งเหมาะกับการบำเพ็ญของเ้าในตอนนี้ที่สุดมาให้ ส่วนกำไลกระดูกเสือที่สามารถเพิ่มพลังิญญานี้ก็เอาให้เ้าด้วยนอกจากนั้นก็จะเป็เนื้อเสือัอีกสองร้อยกว่ากิโลที่ข้าคงกินคนเดียวไม่หมด่นี้พวกเ้าก็มากินเพื่อเป็ประโยชน์ต่อการบำเพ็ญด้วยก็แล้วกัน”
จ้าวห้าวร่างกายสั่นระริก พร้อมกับแววตาที่ซาบซึ้งก่อนจะพูดขึ้น“หลังจากที่ข้าเข้ามาในสำนักหมื่นิญญาผู้คนต่างก็เรียกข้าว่าเ้าโล้นกันทั้งนั้นจะมีก็แต่พวกเ้าที่ดีกับข้าขนาดนี้...”
“เ้าโง่ ก็พวกเราเป็เหมือนพี่น้องกันอย่างไรล่ะ!”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่โล้น!” ซ้งเชียนพูดเสริมก่อนจะตบบ่าของเขาเบาๆแบบเป็กันเอง
เห็นแบบนั้นข้าจึงพูดต่อ “เอาล่ะ รีบเก็บของเตรียมทำอาหารได้แล้วข้าเรียกซูเหยียนกับตั้นไถเหยามากินข้าวที่นี่ด้วย พวกเ้าคงไม่อยากให้พวกนางมาเห็นของรกๆพวกนี้หรอกใช่ไหม? รีบเก็บของเร็ว!”
“ได้เลย”
พวกเราสามคนรีบเก็บของอย่างรวดเร็วไม่นานก็ทำความสะอาดจนโรงเกลากระบี่เหมือนทำใหม่ และยังก็ฆ่าไก่อีกสองตัวแล้วก็ไปเด็ดเอาฝักถั่วเหลืองหลังแผนกล้างท่อมาทำเป็ไก่อบถั่วเหลืองนอกจากนั้นยังมีต้มเนื้อเสือั ซุปปลาเค็มเนื้อกระต่ายน้ำแดงที่พอจัดวางแล้วก็มีอาหารหลากหลายครบห้าหมู่!
หลังจากเลิกคาบเรียนซูเหยียนกับตั้นไถเหยาก็ไปอาบน้ำพร้อมกับฉีดน้ำหอมจางๆแล้วมาที่โรงเกลากระบี่
โต๊ะสี่เหลี่ยมถูกยกมาวางไว้กลางโรงเกลากระบี่ท่ามกลางแมลงปอที่บินว่อนอยู่ทั่วบริเวณและพออาหารถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะทั้งซูเหยียนและตั้นไถเหยาก็มีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความสุข
ข้าเห็นแล้วจึงถามขึ้น“มากินข้าวที่โรงกระบี่มันมีความสุขกว่ากินที่ร้านจุ้ยเซียนใช่ไหมล่ะ?”
“อืม!”
ซูเหยียนพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้นอีก“ข้ามากินข้าวที่นี่มันรู้สึกสบายๆ ให้ความรู้สึก...อืมมันเป็ความรู้สึกที่พูดไม่ออกเหมือนกัน อาเหยาเองก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม?”
ตอนนี้ตั้นไถเหยากำลังกินน่องไก่อยู่จึงพูดแบบปัดๆ ไป “เ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละเอาที่เ้าสบายใจเลย...”
ซูเหยียนลอบยิ้มก่อนจะหันมาพูดกับข้า “เ้าคนกินจุข้าปิดตัวบำเพ็ญโดยมีคำชี้แนะจากท่านปู่คอยสอนในตอนนี้ข้าก็บรรลุขั้นที่แปดของวิชาลมหายใจัแล้วล่ะ!”
“ฮะ? เร็วขนาดนี้เลยเหรอ? แล้วท่านปู่ของเ้าคือ...”
“ก็คือท่านปู่ของข้าอย่างไรล่ะ!”
ข้าถามอย่างสงสัย “พลังของท่านปู่เ้าจะต้องจะต้องเก่งกว่าท่านพ่อของเ้าใช่ไหมล่ะหรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือพลังจะต้องมีมากกว่าเทพศาสตราวุธเป็แน่”
นางยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านปู่ของข้าไม่สนพวกโลกภายนอกมานานแล้วล่ะแถมยังไม่รับคำเชิญจากการจัดอันดับเทพศาสตราวุธอีกทำให้รายชื่อของเขาไม่ได้อยู่ในนั้น”
ข้าพยักหน้ารับถึงแม้เขาจะไม่มีรายชื่อในการจัดอันดับของเทพศาสตราวุธแต่พลังของเขาจะต้องแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน เพราะคนที่สามารถทำให้ซูเหยียนบรรลุได้รวดเร็วขนาดนี้จะต้องไม่ใช่แค่คนธรรมดาเป็แน่...
...
หลังจากกินอาหารเย็นอิ่มแล้วก็ไปหาพี่เสวียนยินแล้วก็เฉิ่นปู้หยุนตามลำดับเพื่อฟังคำสั่งสอนพอฝึกจนร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อแล้วก็กลับมายังโรงเกลากระบี่ส่วนเนื้อเสือัจำนวนเกือบสองร้อยกิโลที่เหลืออยู่ก็เอาไปเก็บไว้ในห้องเย็นของสำนักเพื่อเก็บรักษาก็ถือว่าขจัดความกังวลว่ามันจะเน่าเสียของข้าได้ไปเื่หนึ่ง
ก่อนนอนก็เผลอนึกถึงเื่บัตรเครดิตที่สามพี่น้องตระกูลเว่ยฉื่อนั่นให้มาและลืมไปตรวจสอบเื่ที่พวกนั้นบอกว่ามีเงินอยู่ในนั้นกว่าสามสิบล้านเหรียญจริงหรือเปล่าแต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปดูก็จะรู้เองแหละ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้