เซี่ยโม่ไล่นักเรียนที่มุงดูอยู่ “ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว มีอะไรน่าดูกัน ตอนสอบทำได้ไม่ดี ครั้งหน้าพยายามใหม่ก็ใช้ได้แล้ว”
เมื่อเด็กๆ ที่เคยมุงดูต่างแยกย้ายกันกลับไป เธอจึงเดินไปหานักเรียนที่กำลังร้องไห้ “พลาดหนึ่งครั้งถึงจะฉลาดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ขอแค่ต่อไปขยันจะต้องสอบได้ดีแน่นอน เรามัวแต่มาร้องไห้หรือให้ทุกคนร้องไห้เป็เพื่อนด้วยแบบนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร รีบกลับบ้านเถอะ”
“ขอบคุณมากครับพี่สาว งั้นผมกลับบ้านก่อนนะครับ”นักเรียนคนนี้ตอบด้วยดวงตาที่ยังคงแดงก่ำ
“อื้ม ไปเถอะ”
จากนั้นเธอก็ขี่จักรยานพาเซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวกลับบ้าน
ระหว่างทางเธอเอ่ยถามเด็กชายทั้งสองคน “เฉินเฟิง สือโถว พวกเธอทั้งคู่สอบเสร็จแล้วใช่ไหม สอบเป็ยังไงบ้าง”
“พี่ครับ พวกเราสอบเสร็จแล้ว ผมมั่นใจว่าต้องได้หนึ่งร้อยคะแนนแน่นอน” เซี่ยเฉินเฟิงพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
“ดีมาก แล้วสือโถวล่ะสอบเป็ยังไงบ้าง”
“ผมทำไม่ค่อยได้ครับ” สือโถวน้อยตอบด้วยสีหน้าหม่นเศร้า
“ทำไม่ค่อยได้ไม่ได้แปลว่าผลสอบจะออกมาไม่ดีเสมอไป พวกเธอยังเด็ก การสอบก็แค่จะดูว่าพวกเธอเรียนรู้เื่ไหมเท่านั้น ขอแค่ตั้งใจเรียนก็ไม่ต้องกลัวหรอกการสอบน่ะ”
เด็กทั้งสองคนพยักหน้ารับรู้
เซี่ยเฉินเฟิงถามกลับบ้างด้วยความเป็ห่วง “พี่ครับ แล้วพี่สอบเป็ยังไงบ้างครับ”
“พี่ก็ทำเท่าที่ทำได้ ส่วนคะแนนจะออกมายังไงพี่ไม่สนหรอก ถึงอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยชูกำปั้นขึ้น “พี่ครับ ผมก็จะเอาอย่างพี่ ไม่คิดถึงมันแล้ว”
“แบบนี้สิถึงจะถูก”
เมื่อสองพี่น้องเดินทางกลับถึงบ้าน เซี่ยโม่เห็นคุณยายกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว จึงรีบล้างมือแล้วเข้าไปช่วยทันที
“คุณยายคะ เย็นนี้จะทำอะไรกินเหรอคะ”
“สองวันนี้พวกหลานต้องสอบกลางภาค ยายอยากบำรุงพวกหลานสักหน่อย เลยว่าจะทำเกี๊ยว”
“ได้ค่ะ สับเนื้อหรือยังคะ”
“ยังเลย หลานไปเอาหมูเค็มมาแช่น้ำแล้วช่วยสับให้ที แป้งนวดเสร็จแล้ว เดี๋ยวยายไปเก็บขึ้นฉ่ายในสวนก่อน”
“ได้ค่ะ” พอเห็นคุณยายเดินออกจากห้องครัวไปแล้ว เซี่ยโม่ก็รีบหยิบเนื้อสดจากในโกดังสินค้าออกมาวางบนเขียงแล้วลงมือสับทันที
กินเนื้อหมูป่าติดกันหลายวัน เธอเริ่มรู้สึกเลี่ยนแล้ว เปลี่ยนให้คนในบ้านกินเนื้อสดธรรมดาบ้างดีกว่า
แม้คุณประโยชน์ของเนื้อหมูที่อยู่ในโกดังสินค้าจะสู้เนื้อหมูที่เลี้ยงตามบ้านของยุคนี้ไม่ได้ แต่หากเทียบแล้วดีกว่าเนื้อหมูป่าแน่นอน
ความที่กลัวคุณยายจะสังเกตเห็นว่าปริมาณหมูเค็มไม่ลดลง เธอเลยหยิบมันออกมาสองสามชิ้นแล้วยัดใส่เข้าไปในโกดังสินค้า
หลังจากทำเกี๊ยวเสร็จ ทุกคนก็นั่งล้อมวงกินด้วยกัน
คุณยายเอ่ยถามอย่างสงสัยหลังจากกัดเกี๊ยวเข้าไปหนึ่งคำ “โม่โม่ หลานเอาหมูเค็มมาทำไส้เกี๊ยวใช่ไหม”
เซี่ยโม่พยายามทำสีหน้าขณะตอบให้ดูปกติที่สุด “ใช่ค่ะ แต่หนูเติมน้ำตาล ขิง แล้วก็เครื่องปรุงรสอื่นๆ ดับคาวลงไปด้วย รสััก็เลยเหมือนเนื้อหมูสด”
คุณยายพยักหน้ารับรู้ “มิน่ารสชาติถึงได้ดีแบบนี้”
คุณตาพูดบ่นคุณยายอย่างไม่จริงจังนัก “ต่อไปแกก็เรียนรู้จากหลานมันบ้าง อายุมากแล้ว จะเอาแต่ทำตามวิธีเดิมๆ ใช้ได้ที่ไหน”
“เกี๊ยววันนี้รสชาติอร่อยมาก ยิ่งกินก็ยิ่งหยุดไม่อยู่” คุณปู่จ้าวชมเปาะ
แม้แต่เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยก็ยังชมออกมาเช่นกัน “อร่อยมากครับ”
ทุกคนกินเกี๊ยวมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย บนใบหน้าพวกเขามีแต่รอยยิ้ม
เซี่ยโม่นึกอย่างทอดถอนใจ เพียงเื่น่ายินดีเล็กๆ น้อยๆ หรือกับข้าวอร่อยๆ สักมื้อก็ทำให้คนในบ้านมีความสุขได้แล้ว
เธอทุ่มเทแค่นิดเดียว แต่กลับได้รับคำชมกลับมามากมาย
เมื่อเวลาล่วงเข้า่กลางคืน เซี่ยโม่นึกถึงหยกดิบสองก้อนที่ยังไม่ได้ตัดขึ้นมา คืนนี้เธออยากเข้านอนให้เร็วสักหน่อย จึงเล่านิทานเพื่อกล่อมเซี่ยเฉินเฟิง ใช้เวลาเพียงไม่นานน้องชายก็หลับปุ๋ย
เธอขบคิดอยู่สักครู่ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าคืนนี้ถอดความคิดเข้าไปในโกดังสินค้าเพื่อตัดหินจะดีกว่า
หลังจากนี้น่าจะมี่เวลาที่เธอไม่สะดวกเข้าไปในโกดังสินค้าเอง ถือโอกาสนี้เป็การฝึกฝนไปในตัว จิตเธอจะได้แกร่งกล้าขึ้นด้วย
เธอล้มตัวนอนบนเตียง ดึงความคิดเข้าไปอยู่ในโกดังสินค้าเพื่อตัดหยกดิบอีกสองก้อนที่เหลือ
หยกดิบสองก้อนนี้เธอเลือกมาจากหยกดิบยี่สิบก้อนที่อยู่ในร้านของเก่า ไม่รู้ว่าตัดแล้วจะได้ผลลัพธ์อย่างไร
เซี่ยโม่ใช้เครื่องตัดหินตัดไปตามเส้นสีแดงที่ขีดเอาไว้ เมื่อหยกดิบถูกตัดออกเป็สองซีก เธอถึงกับต้องตะลึง
หยกที่อยู่ด้านในเป็สีขาวใส ครั้นลองใช้มือลูบเนื้อหยกดู พบว่ามันให้ััที่ดียิ่ง
หรือนี่คือหยกขาว?
ในยุคนี้ หยกสีนี้ไม่ค่อยมีราคาเท่าใดนัก หากนำไปขายก็ได้ราคาเพียงน้อยนิด
เธอลงมือตัดตรงส่วนที่เป็หินสีเทา สิบนาทีต่อมาก็ได้ก้อนหยกสีขาวขนาดเท่าก้อนอิฐมาหนึ่งก้อน
ขนาดไม่เล็กเลย เพียงแต่น่าเสียดายที่เป็สีขาว เธอจำได้ว่าหลายปีหลังจากนี้ราคาของหยกสีขาวถึงจะสูงขึ้น
เธอหยิบมันขึ้นมาเพ่งพินิจ เนื้อหยกนั้นใสมากจนแทบมองทะลุเห็นมือเธอที่จับก้อนหยกเอาไว้ได้ ท่าทางจะเป็หยกเนื้อกระจก
มิน่ามันถึงให้ััที่ดี
ถ้าหยกก้อนนี้เป็สีเขียวจะดีแค่ไหนกัน
หากนำไปขาย หยกสีขาวไม่มีทางได้ราคามากกว่าหยกสีเขียว ชัดเจนแล้วว่าความรู้สึกของเธอแยกแยะได้แค่หยกที่ซ่อนอยู่ในหินมีคุณภาพดีหรือไม่ดี แต่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า หยกก้อนนั้นสามารถเอาไปขายได้ราคาสูงหรือไม่
เช่นนั้นการซื้อหยกดิบในวันพรุ่งนี้นับว่าเสี่ยงพอสมควร แม้เธอจะมีเงินเก็บอยู่ในโกดังสินค้าสามพันกว่าหยวน แต่จะใช้จ่ายโดยไม่คิดไม่ได้ อีกอย่างเธอก็ไม่ทราบด้วยว่าจะนำหยกพวกนี้ไปขายได้ที่ไหน
อย่างน้อยต้องเก็บเอาไว้ในโกดังสินค้ามากกว่าสามปีถึงจะนำออกไปขายได้ ความตื่นเต้นดีใจที่เคยมีจึงหายไปอย่างรวดเร็ว
เธอรีบทำเวลา ลงมือตัดหยกดิบก้อนต่อไปทันที
ทันใดนั้นภาพโกดังสินค้าในความคิดพลันสั่นะเื จนเกือบจะทำหยกดิบที่ถืออยู่ในมือร่วงลงพื้น
เซี่ยโม่วางหยกดิบลง ก่อนจะดึงความคิดกลับเข้าร่าง ที่แท้น้องชายเธอก็นอนดิ้น ถีบขามาโดนตัวเธอนั่นเอง
เป็สาเหตุว่าทำไมภาพตัวเธอที่เห็นผ่านความคิดในโกดังสินค้าถึงได้มีอาการสั่นเช่นนั้น
เซี่ยโม่ยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะจับขาของน้องชายกลับไปวางที่เดิม จากนั้นดึงที่นอนของตัวเองให้ห่างออกมาเล็กน้อย อีกฝ่ายจะได้ไม่นอนดิ้นมาโดนอีก
เธอดึงความคิดกลับเข้าไปในโกดังสินค้าเพื่อตัดหินต่อ
สิบนาทีต่อมา ก็ได้หยกเนื้อกระจกสีเขียวมาอยู่ในมือ
มิน่าหยกดิบก้อนนี้ถึงให้ความรู้สึกเย็นรุนแรงกว่าก้อนอื่น เพราะตรงส่วนหินสีเทาที่หุ้มรอบนอกไม่หนามาก หยกข้างในเป็สีเขียวอ่อนใส
สีของหยกเหมือนกับสีใบไม้ที่เพิ่งแตกยอด งดงามอย่างมาก
ถ้านำไปทำเครื่องประดับก็เป็เครื่องประดับที่เหมาะกับวัยรุ่น เธอจะเก็บมันเอาไว้ เผื่อใช้ทำเครื่องประดับในอนาคต
เธอเอาหยกที่ตัดแล้วมาวางเรียงกัน พบว่าแต่ละก้อนยังมีสีเทาติดมาเล็กน้อย ถ้าเป็มืออาชีพ พวกเขาน่าจะมีเครื่องเจียรเพื่อใช้ขัดหยกอีกรอบ
ในโกดังสินค้ามีแต่กระดาษทราย เธอหยิบออกมาแล้วลองขัดดู ใช้เวลาขัดอยู่นานกว่าเศษหินที่ติดมาจะหลุดออก แถมยังออกไปได้แค่นิดเดียว ทันใดนั้นเธอรู้สึกมึนหัวตาลาย น่าจะเพราะเพ่งสมาธิหนักเกินไป
จิตของเธออ่อนแอเหลือเกิน แต่อย่างไรเสียหยกพวกนี้ก็ต้องเก็บเอาไว้ในโกดังสินค้าก่อน หลายปีหลังจากนี้ถึงจะนำออกไปขายหรือใช้ประโยชน์ได้ เธอจึงไม่มีความจำเป็ต้องรีบขัดมัน
คงเป็เพราะใช้สมาธิมากเกินไป เซี่ยโม่เลยรู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เธอรีบเก็บกวาดและใช้ไม้ถูพื้นเช็ดพื้นจนสะอาดเอี่ยม
เธอวางแผนในใจ ตกลงพรุ่งนี้เธอจะซื้อหยกแต่คงซื้อในจำนวนไม่มาก
เธอดึงความคิดกลับเข้าร่าง จากนั้นไม่นานก็ผล็อยหลับไป
เช้าวันต่อมา ขณะที่กำลังนอนหลับฝันหวาน เซี่ยโม่คล้ายได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังปลุกเธอ
“โม่โม่ เฉินเฟิง สายแล้ว ตื่นได้แล้ว…”
