ขณะที่พวกเขาส่งเสียงดังเอะอะโวยวายและแย่งกันปรุงรสเนื้อแกะย่าง ซวี่เฉินฟางก็วางไหสุราลง ก่อนสาวเท้าขึ้นหน้าอย่างเกียจคร้าน เขายกเท้าเตะพวกอันธพาลในหมู่บ้านไปด้านหนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มลึกนุ่มนวลเจือกลิ่นสุราหอมกรุ่น “ระวังหน่อย ประเดี๋ยวพวกเ้าจะย่างแกะดีๆ จนเสียรสชาติ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เขาดึงมีดเล่มเล็กออกมากรีดเนื้อแกะเป็รอยบางๆ เปลวไฟลามเลียเนื้อแกะส่งเสียงดังฉ่าๆ น้ำมันหยดติ๋งๆ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วลานเรือน
จากนั้นเมื่อพวกอันธพาลโรยเกลือและยี่หร่าลงบนเนื้อแกะอย่างตื่นเต้น เขาก็ไม่ขัดขวาง นอนสุขอุราอยู่บนเก้าอี้เอนพลางจิบสุราเงียบๆ ก่อนเงยหน้ามองดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้ายามราตรี
บางครั้งซวี่เฉินฟางก็ยกไหสุราขึ้น แล้วยื่นไปทางอินเหิงอย่างเอ้อระเหย อินเหิงก็ถือไหสุราไว้ในมือเช่นกัน สีหน้าเขาเรียบเฉยขณะชนไหสุรากับซวี่เฉินฟางกลางอากาศ แล้วต่างคนต่างดื่ม
ทั้งสองคนไม่พูดคุยกัน แต่กลับเหมือนเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา
เมิ่งอู่มองภาพตรงหน้าด้วยความตะลึงลาน ที่แท้ระหว่างพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางเพิ่งจะรู้วันนี้เอง!
เมิ่งอู่ไม่มีสุราให้ดื่ม ความจริงแล้วนางเองก็อยากลองลิ้มชิมรสมากเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่นางเซี่ยไม่อนุญาต นางจึงได้แต่นั่งแทะแตงกวาอยู่ข้างๆ และเฝ้ามองด้วยความกระหายอย่างช่วยไม่ได้
"อาอู่" นางเซี่ยเอ่ยเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจากด้านหลัง
เมิ่งอู่เหลียวกลับไป "เ้าคะ?"
นางเซี่ยยืนอยู่ใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลอบอุ่น รอยยิ้มอ่อนโยนรักใคร่เอ็นดู "ตามแม่เข้ามาในห้อง"
เมิ่งอู่คาบแตงกวาไว้ในปากพลางเดินตามนางเซี่ยเข้าไป
เมื่อเข้าห้องแล้ว แม่ลูกคู่นี้ก็ปิดประตูนานครึ่งค่อนวันก็ไม่ออกมา
ต่อมาพวกอันธพาลในลานเรือนก็ะโเรียก “หัวหน้าใหญ่! ท่านแม่ของหัวหน้าใหญ่! เนื้อแกะใกล้สุกแล้ว ออกมากินเนื้อแกะกันเถิด!”
จากนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด ทุกคนเหลียวกลับไปมองเป็ตาเดียว
เด็กสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงกรอบประตูที่มีแสงไฟสาดส่อง
แตกต่างจากรูปลักษณ์ปกติของนางอย่างสิ้นเชิง
บรรยากาศในลานเรือนพลันเงียบกริบ มีเพียงเสียงฟืนลุกไหม้ดังเปรี๊ยะๆ
เมิ่งอู่อยู่ในชุดกระโปรงยาว ชุดใหม่นี้เป็นางเซี่ยเพิ่งตัดเย็บให้ เสื้อผ้าเรียบร้อย แบบเสื้อน่ารักอ่อนหวาน รัดเอวด้วยผ้าคาดเอว ชายกระโปรงยาวถึงข้อเท้า เรือนร่างแบบบางอรชรอ้อนแอ้นแฝงไว้ด้วยความเยาว์วัยที่กำลังแบ่งบาน
เรือนผมที่ปกติมักจะมัดรวบไว้ เวลานี้ปล่อยสยายลงมา ั์ตาทั้งคู่ของนางราวกับบรรจุดวงไฟประปราย สว่างยิ่งกว่าดาราบนเวหา
ชุดที่นางสวมไม่ใช่ชุดหรูหรา เป็เพียงชุดกระโปรงธรรมดาๆ แต่กลับดูแล้วงดงามและมีรสนิยมดี… หากนางไม่คาบแตงกวาเอาไว้ก็จะดูดีกว่านี้
ยามอยู่ในห้องนางเซี่ยไม่ทันห้าม เมิ่งอู่ก็เปิดประตูออกไปเสียแล้ว
เดิมทีชุดกระโปรงนี้เป็ของขวัญวันเกิดที่นางเซี่ยตั้งใจมอบให้เมิ่งอู่ แต่ไม่อยากให้นางสวมใส่ออกมาให้บุรุษกลุ่มนี้ยล!
เมิ่งอู่ยืนอยู่ใต้ชายคาพลางปลอบนางเซี่ย “ท่านแม่เ้าคะ ชุดนี้ตัดเย็บมาเพื่อให้ผู้อื่นมองมิใช่หรือ อีกอย่าง ยังเรียกให้พวกเขาช่วยดูว่าชุดนี้งามหรือไม่”
กล่าวจบ เมิ่งอู่ก็หมุนตัวหนึ่งรอบเป็วงกลมอย่างไม่ระมัดระวัง ชายกระโปรงพลิ้วไหว ทำเอาพวกอันธพาลถึงกับคร่ำครวญ “โอ้”
อินเหิงกับซวี่เฉินฟางไม่ส่งเสียงใด เพียงมองนางด้วยสายตาที่แตกต่างกัน คนหนึ่งมีดวงตาลุ่มลึกดุจมหาสมุทร อีกคนหนึ่งหรี่ตามองนางอย่างยากจะคาดเดาความหมาย
เมิ่งอู่ถาม “อาเหิง งามหรือไม่?”
ไม่รอให้อินเหิงตอบ พวกอันธพาลก็พยักหน้ารัวๆ “งามมาก งามมาก! ไม่คิดเลยว่าหัวหน้าใหญ่ใส่ชุดกระโปรงแล้วจะดูเป็สตรีถึงเพียงนี้!”
พอเมิ่งอู่ได้ชุดกระโปรงใหม่ก็เดินอวดโฉมไปทั่วลานเรือน
นางเซี่ยปวดหัวมาก กล่าวว่า “สตรีสมควรวางตัวสำรวม ระมัดระวังคำพูดและกิริยา เ้าทำแบบนี้ไม่งามเลย! กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าประเดี๋ยวนี้!”
เมิ่งอู่กล่าวอย่างยินดีปรีดาว่า “ข้าไม่เปลี่ยน หากไม่ใส่ยามนี้ ประเดี๋ยวก็หมดวันแล้วนะเ้าคะ”
จากนั้นทุกคนถึงได้รู้ว่า วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของเมิ่งอู่
เมิ่งอู่จำวันเกิดของตนเองไม่ได้ แต่นางเซี่ยยังจำได้ หากไม่ได้นางเซี่ยช่วยเตือน วันนี้ของนางจะต้องผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ
วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดครั้งแรกของนางในโลกนี้ ชุดกระโปรงนี้ก็เป็ของขวัญชิ้นแรกที่นางได้รับ แน่นอนว่าเมิ่งอู่ย่อมมีความสุข
พวกอันธพาลไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน หากรู้ล่วงหน้า พวกเขาคงเตรียมของขวัญมาให้
เมิ่งอู่จึงสั่งให้พวกเขาร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้นาง พวกเขาก็ไม่ขัดข้อง แต่ก่อนยามที่ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในหมู่บ้าน ก็เคยเรียนรู้เพลงรักมาไม่น้อย แม้แต่ยามเกี้ยวซวี่เฉินฟางก็ยังเคยท่องบทกวีให้ฟัง ดังนั้นจึงได้แต่ร้องเพลงรักและท่องบทกวีเสียงดังฟังชัด ทำเอาเมิ่งอู่หัวเราะท้องแข็ง
นางเซี่ยได้ยินก็อดขำไม่ได้ ต่อมาก็แก้ไขให้พวกเขาอย่างจริงจัง โดยสอนบทกวีที่ถูกต้องให้
ซวี่เฉินฟางนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้เอน ปลดหยกที่เอวออกอย่างสบายๆ ก่อนยกหยกขึ้นส่องกับแสงจันทร์ นิ้วเขาลูบไล้ลวดลายบนหยกนั้นประหนึ่งกำลังมองดูอดีตที่สลักเสลาไว้บนหยก
จากนั้นเขาก็กล่าวกับเมิ่งอู่ “อาอู่ เ้ามานี่สักครู่”
เมิ่งอู่เดินเข้าไปหา ซวี่เฉินฟางวางหยกไว้บนฝ่ามือของนาง
เมิ่งอู่อึ้งงัน ซวี่เฉินฟางแย้มยิ้มอย่างเกียจคร้าน “เก็บไว้ให้ดี หยกชิ้นนี้มีเพียงชิ้นเดียวในหล้า ต่อไปไม่ว่าเมื่อใดที่เ้าถือหยกชิ้นนี้มาหาข้า ข้าย่อมจำได้”
หยกชิ้นนี้ทั้งใสทั้งเย็น ขาวสะอาดไร้ตำหนิ งดงามสุดคณนา
เมิ่งอู่เก็บหยกไว้ในอกก่อนเอ่ย “เป็ของขวัญวันเกิดของข้าหรือ? เช่นนั้นต่อไปหากข้าไม่มีเงิน นำไปขายได้หรือไม่?”
ซวี่เฉินฟางถอนหายใจ “เฮ้อ ญาติผู้น้องอาอู่ เช่นนั้นเ้าต้องขายให้ได้ราคาดีๆ นะ”
ซวี่เฉินฟางมองอินเหิงแล้วกล่าว “หวังสิง เ้าจะมอบอันใดเป็ของขวัญวันเกิดให้อาอู่?”
เมิ่งอู่มองอินเหิงด้วยแววตาทอประกาย อินเหิงเงยหน้ามองนาง
ทุกคนอดเงี่ยหูรอฟังไม่ได้ สายตาก็อดเหลือบมองมาทางนี้ไม่ได้
ในดวงตาของอินเหิงเปล่งประกาย ไร้ขอบเขตและลึกล้ำ เขาเปิดปากกล่าว “ข้าไม่มีสิ่งของมีค่า มีเพียงตนเองที่มอบให้เ้าได้ อาอู่ เ้า้าหรือไม่?”
เมิ่งอู่พยักหน้าตามตรงอย่างอิ่มเอมใจ “้า ย่อม้าอยู่แล้ว”
พวกอันธพาลส่งเสียงโห่ร้องไม่ขาดสาย
เวลานั้นดูคล้ายนางจะเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของเขาอย่างเลือนราง เขากล่าว "เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้เ้าผิดหวังตลอดชีวิตนี้"
พวกอันธพาลเร่งเร้าอย่างกระตือรือร้น “วันนี้ก็เข้าหอเถิด! เข้าหอเถิด! เข้าหอเถิด!”
มีอันธพาลคนหนึ่งกล่าวเสียงสั่นเครือแ่เบา “ขาของพี่ใหญ่ไม่ดีจะเข้าหอได้หรือ?”
อันธพาลอีกคนตบหลังศีรษะของอันธพาลคนที่ตั้งคำถาม ก่อนถ่มน้ำลาย “เ้าโง่หรือเปล่า ขาไม่ดีก็ไม่ได้หมายความว่าตรงนั้นใช้การไม่ได้! เข้าหอบ้านเ้าใช้แค่ขาหรืออย่างไร?”
อันธพาลคนนั้นกุมศีรษะด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ข้าไม่เคยเข้าหอสักครั้งนี่นา”
มีอันธพาลกระซิบกระซาบกัน “นั่นสิ! พวกเ้าไม่เคยเห็นหรือ ต่อให้ขาของพี่ใหญ่ไม่ดีก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ของเขา ไม่แน่ว่าพอถึงเตียงแล้วอาจจะเก่งกาจยิ่งกว่า!”
ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มส่งเสียงโห่ร้องอีกครั้ง “เข้าหอเถิด! เข้าหอเถิด!”
นางเซี่ยโมโหเอ่ยว่า “เข้าหออันใดกัน หากในหนึ่งวันยังไม่มีแม่สื่อมาเจรจาและจัดพิธีวิวาห์ ก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าหอ!”
เมิ่งอู่แอบยินดีปรีดายิ่ง เอ่ยว่า “อาเหิง ไยถึงไม่เลือกฤกษ์งามยามดีแล้วเ้าแต่งเข้าบ้านข้าเล่า”
ซวี่เฉินฟางกล่าวเอื่อยเฉื่อย “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอจนกว่าขาของหวังสิงจะหายดีก่อน มิเช่นนั้นจะเป็การตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ชั่ววูบ หากขาของเขาไม่หายตลอดชีวิต แล้วกลายเป็ภาระของเ้า จะทำอย่างไรเล่า?”
นางเซี่ยเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ญาติผู้พี่ของเ้าพูดถูกแล้ว”
เมิ่งอู่หันไปหาซวี่เฉินฟางแล้วกลอกตาใส่ ก่อนเอ่ยว่า “ถึงฝนจะตกก็ข้าจะแต่งงาน ไม่ใช่เื่ของเ้า”