หลี่หรูอี้กล่าวกับจ้าวซื่อด้วยรอยยิ้มว่า “เขาคือช่างตีเหล็กหลิวจากหมู่บ้านหลิวเ้าค่ะ ครึ่งเดือนก่อนข้าให้ท่านพี่ไปสั่งทำเตาอบกับเขาทั้งหมดสี่เตา”
ในหมู่บ้านหลี่ไม่มีช่างตีเหล็ก ส่วนช่างตีเหล็กในตำบลจินจีก็คิดค่าจ้างแพง พี่น้องตระกูลหลี่จึงไปสั่งทำเตาอบกับช่างตีเหล็กหลิวจากหมู่บ้านหลิว
จ้าวซื่อเอ่ยถาม “เตาอบคืออะไร”
“เตาอบก็คือ เตาที่ใช้อบของกินเ้าค่ะ”
“เ้าจะใช้เตาอบทำอาหารอะไรหรือ?”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างมีเลศนัย “ท่านแม่ ให้ข้าเก็บเป็ความลับก่อนนะเ้าคะ อีกสองวันท่านก็จะได้รู้แล้ว ข้ารับประกันเลยว่า ท่านต้องชอบกินอาหารชนิดใหม่ที่ข้าใช้เตาอบทำออกมาแน่นอน”
หลี่เจี้ยนอันและหลี่อิงฮว๋าออกไปต้อนรับแขก
สองพ่อลูกช่างตีเหล็กหลิวเข็นรถเข็นมาที่บ้านหลี่สองคัน บนรถเข็นแต่ละคันมีเตาอบที่ด้านนอกเป็เหล็ก ส่วนด้านในทำจากดินเหนียวในรูปแบบง่ายๆ คันละสองเตา
เตาอบแต่ละเตาสูงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับตัวคน รูปร่างโดยรวมคล้ายกับโถดิน ้าเล็กตรงกลางใหญ่และด้านล่างเล็ก ตรงกลางที่มีขนาดใหญ่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างถึงสี่ฉื่อ ด้านล่างเจาะรูไว้หนึ่งรูเพื่อสำหรับใส่ฟืน
ชาวบ้านหลายคนเดินตามสองพ่อลูกช่างตีเหล็กตระกูลหลิวมาด้วย กำลังมองไปที่เตาอบด้วยความประหลาดใจ ทั้งยังมองพี่น้องบ้านหลี่ด้วยสายตาริษยา
“นำเตาอบไปวางไว้ที่ลานด้านหลังเลยขอรับ” หลี่เจี้ยนอันพาสองพ่อลูกตระกูลหลิวไปยังบ้านมุงจากหลังหนึ่งที่สร้างอยู่บริเวณลานด้านหลัง ชาวบ้านไม่กล้าตามเข้าไปจึงพากันสลายตัว
หลี่หรูอี้ไปทดสอบเตาอบด้วยตนเอง นางหยิบท่อนฟืนใส่เข้าไปในเตาอบเพื่อลองจุดไฟ
เพียงไม่นานเปลวเพลิงสีแดงก็ทำให้เตาอบเริ่มร้อน เป็ไปตามความ้าของหลี่หรูอี้
นางมองแผ่นเหล็กที่บางเรียบเสมอกัน ในใจรู้สึกชื่นชมสองพ่อลูกตระกูลหลิวว่ามีฝีมือในการตีเหล็กสูงส่งยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้พี่น้องบ้านหลี่จ่ายเงินให้สองพ่อลูกหลิวไปหกสิบทองแดงเป็ค่ามัดจำแล้ว ตอนนี้ได้รับสินค้ามาแล้วจึงจ่ายเพิ่มอีกเพียงสามร้อยสี่สิบทองแดง
ใช่แล้ว เตาอบหนึ่งเตาราคาหนึ่งร้อยทองแดง แพงเพราะแผ่นเหล็กด้านนอกนั่นเอง
ในแคว้นต้าโจว อุปกรณ์ที่สร้างจากโลหะมีราคาแพงทั้งสิ้น มีดหั่นผักหนึ่งเล่มราคาสามสิบทองแดง ขวานผ่าฟืนหนึ่งเล่มราคาสามสิบห้าทองแดง
เมื่อครู่ช่างตีเหล็กหลิวเห็นบ่อชักน้ำที่ลานด้านหน้า ตอนที่นำเตาอบไปไว้ในลานด้านหลังก็เห็นลาอีกสองตัว คิดไม่ถึงเลยว่าพี่น้องบ้านหลี่ที่สวมใส่เสื้อผ้าสภาพเก่าๆ จะมีเงินในบ้านมากถึงเพียงนี้ ปิดบังกันได้ดีจริงๆ เขายิ้มจนตาหยี แล้วพูดกับหลี่เจี้ยนอันว่า “ต่อไปหากบ้านของเ้าจะสร้างอะไรก็ให้คนไปบอกข้า พวกเราจะมาคุยที่บ้านเ้าเอง”
หลี่หรูอี้หัวเราะอยู่ในใจ นี่เป็การเสนอขายบริการถึงบ้านแก่ลูกค้าใหญ่สินะ
เหล่าเด็กชายบ้านหลี่รอให้สองพ่อลูกหลิวกลับไปก่อน จึงค่อยถามขึ้นว่า “น้องห้า เ้าจะใช้เตาอบทำอาหารอะไร”
หลี่หรูอี้กะพริบตาทำท่าครุ่นคิด “ยังขาดของไปอย่างหนึ่งเ้าค่ะ ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ต้องรอไปก่อน” เตาอบใช้ทำอาหารได้มากมาย อาหารชนิดแรกที่จะใช้เตาอบทำจะต้องเป็อาหารที่มีเอกลักษณ์เพื่อให้ทุกคนประหลาดใจ และต้องเป็อาหารที่ไม่มีคนลอกเลียนแบบได้ในระยะเวลาสั้นๆ ด้วย
หลี่อิงฮว๋าเป็ผู้มีไหวพริบที่สุดทั้งยังมีปฏิกิริยารวดเร็ว รีบเอ่ยถามขึ้นโดยพลัน “เ้าหมายถึงน้ำมันงาหรือ”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ รอให้ร้านธัญพืชในตำบลมีน้ำมันงามาขายเสียก่อนข้าจึงจะทำอาหารชนิดนี้ได้ จากนั้นครอบครัวของพวกเราจะเปิดขายอาหาร่ก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์สักสองสามวัน”
น้ำมันงาแพงกว่าน้ำมันพืชทั่วไปอีก ทั้งไม่ใช่สินค้าที่ผลิตได้ในท้องที่ ต้องซื้อหาจากภายนอก ร้านธัญพืชในตำบล จินจีเป็ร้านสาขาย่อยของร้านธัญพืชขนาดใหญ่ในเมืองเยี่ยน ผู้ดูแลร้านจะให้คนไปรับน้ำมันงามาจากสาขาใหญ่
ในโลกก่อน ทุกวันที่สิบห้าเดือนแปด ตามปฏิทินจันทรคติ จะเรียกว่า เป็วันไหว้พระจันทร์ ที่แคว้นต้าโจวในชีวิตนี้ก็เรียกว่า วันไหว้พระจันทร์เช่นกัน
“อยากรู้จริงๆ ว่าน้องห้าจะทำอาหารอะไร”
จ้าวซื่อยืนอยู่ที่ประตูห้องโถง มองไปยังต้นแพร์ที่ลานหน้าบ้าน ซึ่งมีลูกแพร์สีเหลืองแขวนประดับละลานตา จากนั้นจึงทอดสายตามองไปทางเมืองเยี่ยนก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีทอดถอนใจ “ไม่ทันไรลูกแพร์ก็สุกแล้ว ใกล้จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว แต่ท่านพ่อกับท่านอารองของเ้ายังไม่กลับมาเลย”
หลี่หรูอี้รีบพูดขึ้นว่า “หิวจัง ข้าไปทำอาหารกลางวันก่อนนะเ้าคะ”
หลี่เจี้ยนอันรีบก้าวยาวๆ ไปที่ห้องครัว “ลำบากพวกเ้าแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปทำอาหารเอง”
“พี่ใหญ่ ท่านพลิกดินปลูกต้นหอมที่ลานด้านหลังไปนะขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะไปทำอาหารเอง” หลี่อิงฮว๋าเดินตามเข้าไปในห้องครัว
หลี่ฝูคังเดินไปยังแปลงเพาะปลูกบริเวณลานด้านหลัง พลางกล่าวว่า “น้องห้า อาหารกลางวันจะทำอะไรกินหรือ”
หลี่หรูอี้ตอบเสียงดัง “เมื่อวานมีหมั่นโถวเหลืออยู่ ข้าจะเอาไปอุ่นเสียหน่อย แล้วทำผัดมะเขือ แตงกวาผัดไข่ และทำน้ำแกงเพิ่ม” ทุกวันนี้อาหารการกินในบ้านล้วนทำตามที่นางกำหนด
หลี่ิ่หานให้อาหารลาเสร็จ ก็ยกบันไดไปที่ลานด้านหน้าเพื่อเก็บลูกแพร์สุกงอมจนหมดต้น คราวนี้เด็ดมาได้แปดลูก เขานำไปล้างจนสะอาดแล้วเอาไปวางในอ่างไม้ในห้องโถง เพื่อไว้ให้ทุกคนกิน
เมื่อปีก่อนครอบครัวหลี่เกิดความเสียดาย พวกเขาไม่กล้ากินลูกแพร์จึงนำไปขายทั้งหมด ทว่าปีนี้จะทำตามคำพูดของหลี่หรูอี้ พวกเขาจะไม่ขายแต่จะเก็บไว้กินเอง ไม่เพียงเท่านั้นครอบครัวหลี่ยังคิดไว้ด้วยว่า หากกินลูกแพร์ของบ้านตนหมดแล้วจะไปขอซื้อจากคนในหมู่บ้านมาอีก
เด็กชายบ้านหลี่แต่ละคนล้วนมือเท้าคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะงานบ้าน ทำอาหาร หรือเก็บผักก็ทำได้ดี แม้จะดูเหมือนมีงานมากมาย แต่เพียงไม่นานก็ทำเสร็จ และพากันไปกินอาหารกลางวัน
ตกบ่าย หลี่เจี้ยนอันกังวลเื่น้ำมันงา จึงไปดูที่ร้านธัญพืชในตำบลจินจี นึกไม่ถึงว่าน้ำมันงาจะมาถึงแล้ว เพิ่งมาถึงเที่ยงวันนี้เอง ในใจจึงรู้สึกยินดีนัก “บ้านข้า้าซื้อน้ำมันงายี่สิบชั่ง รับของวันนี้เลยขอรับ”
ผู้ดูแลร้านธัญพืชมีร่างกายผอมสูง มีเคราบางๆ ที่คาง แววตาเต็มไปด้วยประกายเฉลียวฉลาด เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็พูดออกไปตามใจนึก “หากนำน้ำมันงาไปทำอาหารจะให้กลิ่นหอมมากเชียว”
เด็กในร้านนำน้ำมันงายี่สิบชั่งบรรจุลงในไหแล้วปิดให้เรียบร้อย กระนั้นก็ยังคงมีกลิ่นหอมโชยออกมา
หลี่เจี้ยนอันได้กลิ่นน้ำมันงาก็คิดว่าช่างหอมมากจริงๆ หอมกว่าน้ำมันพืชทั่วไปเสียอีก หากนำน้ำมันชนิดนี้ไปทำอาหารแล้วไม่อร่อยคงแปลกประหลาดแล้ว เขามองดูน้ำมันสีเหลืองจางๆ มีลักษณะเหมือนที่หลี่หรูอี้บอกจริงๆ จึงพูดออกไปตามความรู้สึกว่า “หอม...”
ผู้ดูแลจงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงอิจฉา “บ้านของเ้าช่างมีชีวิตที่ดีจริงๆ ขายแป้งย่างทำเงินได้มากจริงเชียว”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวด้วยท่าทีที่ถ่อมตัว “บ้านข้าทำการค้าเล็กๆ พวกแป้งพวกต้นหอมก็ต้องใช้เงิน คนในตำบลที่มาซื้อของกับพวกเราก็มีน้อย ได้เงินไม่มากหรอกขอรับ”
ผู้ดูแลเห็นว่าถามเอาสิ่งใดก็ไม่ได้จึงพูดออกไปตรงๆ “ต่อไปบ้านเ้าจะมาซื้อน้ำมันงาอีกหรือไม่”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวด้วยแววตาจริงใจ “ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจขอรับ แต่หากจะซื้ออีกต้องมาซื้อที่ร้านท่านแน่นอน”
ราคาของที่ตำบลจินจีถูกกว่าที่อำเภอฉางผิง
หากซื้อน้ำมันงาที่ร้านธัญพืชในอำเภอฉางผิง ราคาชั่งละเจ็ดสิบทองแดง ในตำบลจินจี ชั่งละหกสิบแปดทองแดง ถูกกว่าชั่งละสองทองแดง ซื้อยี่สิบชั่งก็ถูกลงสี่สิบทองแดง
ดวงตาของผู้ดูแลร้านเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น กระซิบบอกว่า “น้องชาย ไม่ปิดบังเ้าแล้ว คราวนี้ร้านข้ารับน้ำมันงามามาก บ้านเ้าซื้อเยอะ หากมาซื้ออีกข้าจะลดให้เ้าชั่งละสองทองแดง”
เดิมทีผู้ดูแลร้าน้ารับน้ำมันงามาจากร้านหลักในเมืองเยี่ยนเพียงสามสิบชั่ง ขายให้บ้านหลี่แล้วยังเหลืออีกสิบชั่ง หากไม่ใช่ว่าใกล้ถึงวันไหว้พระจันทร์แล้วคงไม่มีคนในตำบลมาซื้อเป็แน่
ผู้ใดจะทราบว่า ร้านหลักในเมืองเยี่ยนกลับส่งสินค้ามาสองร้อยชั่ง มากกว่าที่ผู้ดูแลร้าน้าถึงร้อยเจ็ดสิบชั่ง
น้ำมันงาราคาแพงเพียงนั้น ผู้ดูแลกลัวจะขายไม่ออกจึงตัดสินใจลดราคาให้บ้านหลี่
“ได้ขอรับ” หลี่เจี้ยนอันจ่ายด้วยเศษเงินก้อน ทั้งยังซื้องาดำมาอีกสามชั่ง จากนั้นจึงนำไหน้ำมันบรรจุลงตะกร้าสะพายขึ้นไหล่กลับบ้าน เพิ่งเดินออกไปถึงประตูเมืองตำบล ก็เห็นเงาคนคุ้นเคยทั้งสองเงาอยู่ไกลๆ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้