หรงซิวออกมาจากเรือนทิงหลาน เป็เวลาที่แสงจันทร์หนาทึบพอดี แสงสีเข้มสาดลงทั่วพื้นดิน และเงาของต้นไม้ที่ฉายลงบนพื้นกลายเป็ความมืดสนิท
ในคืนฤดูร้อน กบและแมลงก็ร้องกันเจื้อยแจ้วครึกครื้น
แต่ใจของเขากลับหดหู่และโดดเดี่ยว
เส้นทางการเติบโตของคนเรา ก็มักจะสูญเสียตนเองไปบ้าง เขามิได้ไร้ความรู้สึกใดๆ กับหว่านฉือ ดังนั้นถึงแม้ว่านางจะออกอุบาย เขาก็ยังมีความคาดหวังต่อนาง
หวังว่าวันหนึ่งในอนาคต นางจะเปิดใจ แล้วเดินออกมาจากความรักที่ไร้ซึ่งความหวังได้อีกครั้ง
หรงซิวมิได้คิดว่าตนเองดี เขาไม่เคยคิดว่าตนเองเป็คนดีกระไร เพียงแต่ว่าเขาจะเมินเฉยกับคนที่เคยช่วยเขามิได้
ในยามที่เขาหมดสิ้นความหวังและโดดเดี่ยวที่สุด เป็หว่านฉือที่คอยอยูเคียงข้างเขา ให้ผ่านพ้น่เวลาเ่าั้มาได้
เขาต้องรู้บุญคุณคน
ไม่ว่าจุดประสงค์ของนางจะเป็สิ่งใด หากในตอนนั้นนางมิได้ทำเช่นนั้น เช่นนั้นก็คงจะไม่มีเขาในวันนี้
หรงซิวยืนอยู่ท่ามกลางสายลมอยู่นาน ถึงได้เคลื่อนไหว เดินเข้าไปในห้อง
สตรีตัวน้อยอาบน้ำล้างตัวเสร็จนานแล้ว มิได้เห็นหรงซิวก็คิดว่า เขากำลังร่วมหอกับหว่านฉืออยู่ นางจึงเปิดหนังสืออ่านแล้วนั่งรออยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน
ตอนแรกก็พอจะอ่านเข้าไปได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนอน ความสนใจของนางก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยน
จะบอกว่าไม่สนใจเลยก็คงจะไม่จริง แม้ว่าจะรู้ชัดว่าพวกเขามิมีทางทำกระไรกันแน่ แต่นางก็ยังคิดเห็นแก่ตัว อยากจะเขาในทุกกระเบียดนิ้ว
หากนางจะมัดเขาไว้ข้างกาย เอาใส่ถุงไว้ได้ ก็คงจะดีมาก!
ในตอนที่อวิ๋นอี้กำลังคิดมากอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคย ก็เดินเข้ามา ประตูห้องปิดลงอีกครา เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
เงาสูงตรงของบุรุษหนุ่ม อยู่ตรงที่พื้นเป็เส้นยาว จากนั้นเขาก็โผล่หน้าออกมา มีรอยยิ้มบนใบหน้า ขยิบตาให้นางอย่างเ้าเล่ห์ ไม่รอให้อวิ๋นอี้ได้เอ่ยปากถาม ก็พูดหยอกนาง “อดใจไม่ไหวแล้วหรือ?”
ตอนที่เขาไม่มา นางก็คิดถึง ตอนที่เขามาก็เอ่ยแต่คำพูดลามก
ทั้งน่ารังเกียจทั้งมีเสน่ห์
อวิ๋นอี้มองเขาอย่างดุๆ “ทำไมนานจังเล่าเพคะ? พวกท่านทำกระไรกันมาน่ะ?”
นางอดเก็บคำพูดไว้มิได้ ทั้งยังเพราะรู้นิสัยของตนเอง หากไม่รู้ให้ชัดเจน นางก็คงคิดไปเองอีกแน่ๆ หากจะให้คาดเดาไปเองเช่นนั้น นางถามไปตรงๆ ให้ชัดเจนเลยจะดีกว่า
นางจะได้คำตอบกระไรก็ไม่สำคัญ และจริงหรือไม่ เพียงแค่หรงซิวตอบมา นางก็จะเชื่อทันที
หรงซิวเดินเข้ามาหานางพลางถอดเสื้อคลุมออก แล้วโยนมันออกไปที่ฉากกั้น “ข้าคิดเื่อื่นอยู่ด้านนอกน่ะ มิได้ทำกระไรกับนางสักนิด”
อวิ๋นอี้ยกขาเข้ามา ให้พื้นที่กับเขา “คิดกระไรหรือเพคะ?”
“คิดว่าคืนนี้จะปรนนิบัติเ้าอย่างไรดี” เขาเลิกคิ้วอย่างชั่วร้าย “ลองดูหรือไม่?”
“ฝ่าา...” อวิ๋นอี้หน้าแดง มุ่ยปากพูด “หยุดแกล้งผู้อื่นตลอดเช่นนี้ได้หรือไม่เพคะ?”
หรงซิวบีบแก้มของนาง แล้วกดลงนางที่ด้านล่างตัวเขา
ร่างของบุรุษหนุ่มหนา ราวกับผ้านวมผืนใหญ่ ห่อหุ้มนางไว้แน่น ลมหายใจของเขาหนักแน่นมาก มองนางนิ่งๆ ัักับดวงตาคู่นั้น อวิ๋นอี้ก็ต้องชะงัก จากนั้นถึงได้หลับตาลง
นางมิมีทางที่จะปฏิเสธเขาได้เลย
ทั้งสองคนร่วมรักกันจนถึงกลางดึก
หลังจากที่หรงซิวช่วยทำความสะอาดให้นาง เขาก็รีบจัดระเบียบตนเอง ปีนกลับขึ้นไปบนเตียงแล้วกอดนางอย่างอ่อนโยน
นางหมดแรง มิมีแรงแม้จะพูด นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา หลับตาลงอย่างรู้สึกปลอดภัย แล้วฮัมเสียงสบายๆ ราวกับแมวี้เีหลังจากทานอิ่ม
“อวิ๋นเออร์” หรงซิวเรียกนาง เมื่อเห็นเส้นผมเล็กๆ ร่วงลงบนหน้านาง ก็เอาฝ่ามือปัดอย่างอบอุ่น “ก่อนหน้านี้ที่ไปห้องลับมา เ้ายังจำได้หรือไม่?”
“เพคะ” สีหน้าของนางยังคงเป็ปกติ ใบหน้าเล็กๆ ของนางซบออดอ้อนเข้ากับฝ่ามือของเขา แล้วก็พ่นลมหายใจร้อนอย่างซุกซน
หรงซิวหัวเราะ แล้วก็พูดต่อราวกับมีเื่จะพูด “กุญแจมรกตบนโต๊ะนั่น เ้าได้เอาไปหรือไม่?”
“เอามาเพคะ” อวิ๋นอี้ตอบง่ายๆ
กุญแจมรกตนั้นงามจริงๆ ไม่เพียงมีสีบริสุทธิ์เท่านั้น แต่แม้กระทั่งลวดลายบนมันก็ยังวิจิตรงดงาม
เดิมทีนางตั้งใจจะถามถึงว่ากุญแจให้ทำกระไรกับหรงซิว แต่เมื่อได้เห็นงานอภิเษกของหรงซิวนางมีกะจิตกะใจจะไปถามที่ใด นั่งคิดถึงเื่น่ารำคาญใจนั่นทั้งวัน
เมื่อหรงซิวถามขึ้น นางก็คิดออกมาทันใด จึงเบิกตาขึ้นมามองเขา “ฝ่าาให้ข้าเข้าไปในห้องนั้นวันนั้น ข้าก็เห็นเข้าโดยบังเอิญ คิดว่ามันสวยมาก ข้าอยากจะถามว่ามันให้ทำกระไร จึงเอามาเพคะ”
ความสงบของนางตกลงไปในดวงตาที่ลึกราวมหาสมุทรของเขา
อวิ๋นอี้เห็นว่าเขาไม่พูดกระไร เหมือนกับนึกกระไรบางอย่างออก นางก็คลำไปที่ใต้หมอน แล้วยื่นมือออกมาตรงๆ กำมือเล็กๆ ไว้แน่น
นางยิ้มแล้วพูดว่า "ทายสิว่าข้ามีสิ่งใดอยู่ในมือ? ถ้าเดาถูกข้าจะให้"
"กุญแจ" หรงซิวตอบโดยความร่วมมือ
“ว้าว!” นางแสร้งแสดงเกินจริง “ฝ่าาฉลาดมากเลยเพคะ!”
อวิ๋นอี้กางมือออก กุญแจมรกตก็อยู่บนมือ
หรงซิวเหลือบมอง เอื้อมมือไปกุมมือนางด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ในเมื่อเ้าชอบ ข้าก็จะให้เ้าดูแล วันนี้ข้าไปห้องลับมาก็เห็นว่ามันหายไป จึงได้มาถาม ได้รู้ว่ามันอยู่กับเ้า ข้าก็วางใจ"
“ข้าจะเอาไว้ทำไมเล่าเพคะ?” อวิ๋นอี้ดึงมือเขามา แล้วคืนกุญแจให้ “วันนี้เห็นว่าสวยดีจึงหยิบมา ฮิฮิ”
ไปๆ มาๆ ของที่หายไปกลับคืนมา รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
หรงซิวหยิบกุญแจ แล้วเอ่ยปาก “เ้ารู้หรือไม่ว่ามันเอาไว้ทำกระไร?”
“ไม่น่าจะใช้เปิดประตู” เขาถาม นางก็ตอบ “จากการคาดเดาของข้า กุญแจดอกนี้ต้องสำคัญมาก แต่ข้าจะไม่ถาม ข้ารู้ว่าท่านมีเื่ส่วนตัว เื่ที่ฝ่าาบอกข้าได้ ท่านบอกอยู่แล้ว ส่วนเื่ที่บอกมิได้ ข้าถามไปก็จะทำให้เราอึดอัดกันเปล่าๆ”
อวิ๋นอี้พูดถึงตรงนี้ จากท่านอนตะแคงนางก็กลับมานอนราบ นางขยิบตาโตๆ แล้วพูดต่อ “สิ่งที่ฝ่าาบอกข้ามิได้ แม้ว่าข้าจะสงสัย หรือเสียใจเล็กน้อย แต่ข้าก็เข้าใจได้ ก็เหมือนกับข้าที่มีเื่ส่วนตัวเช่นเดียวกัน”
คำพูดที่จริงใจเช่นนี้ เป็สิ่งที่เขาไม่คาดคิด
หรงซิวมองนางนิ่งๆ ก้มหน้าลงแล้วจูบหน้าผากนาง “อวิ๋นเออร์ ขอบใจเ้ามาก ดึกแล้ว เรานอนกันเถิด”
“เพคะ”
“ส่วนเื่กุญแจ...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ครุ่นคิดแล้วพูด “ข้าจะบอกเ้าในเวลาที่เหมาะสม”
“เพคะ” อวิ๋นอี้ยกหัวขึ้นมา เอื้อมมือไปหาเขา “เกี่ยวก้อยสัญญา”
ดูเหมือนว่านางจะเหนื่อยจริงๆ ไม่นานนัก ข้างกายเขาก็มีเสียงหายใจที่สงบดังมา หรงซิวจ้องมองนางภายใต้ความมืดมิด
ได้รับคำตอบที่อยากได้ กุญแจที่หายไปก็ได้คืน ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทางที่ดี เพียงแต่ว่าเขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
มันเป็ที่ตัวอวิ๋นอี้หรือเปล่านะ?
หรงซิวขมวดคิ้ว คิดไม่ออก ได้แต่ลืมตามองฟ้าที่สว่างขึ้นทีละเล็กละน้อย ไม่ง่วงอีกต่อไป
ดวงอาทิตย์ขึ้นข้ามขอบฟ้า อยู่ขึ้นสูงไปอีกไม่เท่าไหร่ ก็มีโองการส่งมาที่จวนจากในวัง
ในตอนนี้พ่อบ้านมาบอกสาร หรงซิวเกรงว่าจะเสียงดังจนทำให้อวิ๋นอี้ตื่น จึงค่อยๆ เดินออกมาอย่างระมัดระวัง
“มาเช้าเช่นนี้เชียวหรือ?” เขาถาม
พ่อบ้านตอบไปตามตรง “พวกแม่นมเข้าวังไปั้แ่เช้ายังไม่รุ่งสางเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ว่าข้าอยากจะพูดมากนะพ่ะย่ะค่ะ แต่ในเมื่อท่านได้ตอบตกลงอภิเษกกับท่านหญิงหว่านฉือแล้ว ก็ควรจะแสดงให้ถึงที่สุด จะได้ไม่ตกเป็ขี้ปากของคนนะพ่ะย่ะค่ะ”
"สิ่งที่ให้นางมิได้ ก็ไม่ควรจะให้ความหวังนางั้แ่แรก" หรงซิวก้มหน้าลง "ไปเถิด ไปรับโองการกัน"
ขันทีที่มาส่งโองการสีหน้าไม่สู้ดี เหลือบมองไปก็ไม่เห็นอวิ๋นอี้ จึงเอ่ยปากถาม “พระชายาเจ็ดเล่าพ่ะย่ะค่ะ? โองการนี้ส่งให้นางพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายโปรดพานางมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าอยู่นี่” เสียงอ่อนโยนของสตรีสาว ดังมาจากที่ไกลๆ สตรีรับใช้ที่นั่งคุกเข่าเรียงกันอยู่พากันมองไปทางนางตามๆ กัน
อวิ๋นอี้นอนหลับไม่สนิทนัก ตาดูบวมๆ นางมาถึงห้องโถง ก็คุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย “รับโองการเพคะ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้