เจิ้งหยวนเดินตรงไปยังห้องอาหารเพื่อหาสเต๊กเนื้อมาจานหนึ่ง พร้อมหยิบมีดกับส้อมมา เธอทานเพียงไม่กี่คำพลางส่ายหัว อาหารในงานแต่งมักเป็เช่นนี้ แม้วัตถุดิบจะใช้ได้แต่รสชาติกลับธรรมดา ล้วนเป็ฝีมือลูกศิษย์ของผู้ช่วยเชฟ ในขณะที่กินอยู่ ในใจพลันเกิดความรู้สึกอันตรายอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีใครบางคนกำลังมาทางนี้ เธอไม่สนใจอาหารตรงหน้าอีกต่อไป แล้วรีบเร่งเพ่งความคิดเพื่อออกมาจากมิติ เธอร้อนรนยกหลังมือเช็ดน้ำซอสที่เลอะริมปาก วินาทีต่อมาประตูห้องก็ถูกเปิดออก
ผู้มาเยือนคือพี่สะใภ้ของเธอ เฝิงิเยว่
เฝิงิเยว่กับบ้านสามีของเจิ้งหยวนมาจากตระกูลเดียวกัน และอยู่ในกองการผลิตเดียวกันด้วย เธอโตมากับเจิ้งเทียนิผู้เป็พี่ชายั้แ่เล็ก เรียกได้ว่าชีวิตคู่ของสองคนนี้เป็รักอิสระอย่างแท้จริง เฝิงิเยว่หน้าตาดี เกือบจะเหมือนที่เฉาเสวี่ยฉิน [1] บรรยายถึงเซวียเป่าไชใน
《ความฝันในหอแดง》 ปากแดงแม้ไม่แต้มชาด คิ้วงามงอนแม้ไม่วาด ถึงใบหน้าจะกลม
แต่กลมแบบที่มีคางเรียวเล็กงดงาม เจิ้งเทียนิเองก็หล่อเหลา สูง 175 เิเซึ่งถือว่าสูงในยุคนี้
แม้ผิวจะค่อนข้างคล้ำจากการตากแดดทำนาตลอดทั้งปี ทว่าด้วยเกิดมาเครื่องหน้าดี
เลยยังรูปงามอยู่
หากปีนั้นขาของพี่ชายเธอไม่หัก พวกเขาสองสามีภรรยาอาจจะรักหวานชื่นไปตลอดชีวิต น่าเสียดายที่ต่อมาพี่ชายขาหัก ไม่กี่ปีทั้งสองก็หย่าร้างกัน เจิ้งหยวนสอบถามทีหลังถึงทราบว่าเป็เพราะพี่สะใภ้นอกใจมานาน และบุตรชายคนเล็กของพี่ชายแท้จริงแล้วเกิดจากชายอื่น ไม่ใช่พี่ชายของเธอ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพบเฝิงิเยว่กะทันหัน สายตาเจิ้งหยวนจึงฉายความไม่ชอบใจเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
เฝิงิเยว่กลับไม่คิดมาก นึกเพียงว่าเจิ้งหยวนถูกตีเลยอารมณ์ไม่ดี เธอชูขวดเล็กในมือขึ้นแล้วว่า “นี่เป็น้ำมันดอกไม้ขาวที่พี่ชายเธอซื้อมาก่อนหน้านี้ หยวนหยวน เธอถอดเสื้อออกให้ฉันดูหน่อย ฉันจะทายาให้”
เจิ้งหยวนขมวดคิ้ว “พี่ชายซื้อน้ำมันดอกไม้ขาวมาตอนไหนกัน?” พี่ชายเธอาเ็ั้แ่เมื่อไร เหตุใดเธอไม่รู้?
เฝิงิเยว่อธิบาย “เพิ่งซื้อมานี่เอง เขาทำงานแล้วข้อเท้าแพลง ถึงจะบอกว่าไม่เป็ไร แต่ฉันกลัวเขาาเ็ถึงเส้นเอ็น เลยให้เขาไปซื้อยามาทาน่ะ”
“อื้อ” เจิ้งหยวนรับคำ เมื่อเห็นเฝิงิเยว่เดินเข้ามานั่งลงข้างเตียง จึงรีบเอื้อมมือไปหมายจะคว้าน้ำมันดอกไม้ขาวแล้วเอ่ยว่า “ฉันทำเองดีกว่า”
ทว่าเฝิงิเยว่กลับเบี่ยงมือหลบ ไม่ให้น้ำมันดอกไม้ขาวแก่เธอ ก่อนเอ่ยขึ้น “เธอจะทาแผลที่หลังยังไง? ให้ฉันทำแทนเถอะ”
เจิ้งหยวนคิดดูก็ใช่ เธอมองไม่เห็นแผลบนหลัง เลยไม่คิดจะกระมิดกระเมี้ยนอีก เธอจึงหันหลังและถอดเสื้อเชิ้ตออก
เฝิงิเยว่พลันตกตะลึงกับรอยฟกช้ำบนตัวเจิ้งหยวน “ตายจริง! ทำไมตีแรงขนาดนี้เนี่ย?”
เจิ้งหยวนไม่ตอบอะไร เธอััได้ถึงความเย็นชุ่มชื้นของน้ำมันสมุนไพรบนแผ่นหลังที่กำลังบรรเทาอาการปวดบนร่าง ในใจอดย้อนคิดถึงมิติตนเองไม่ได้
ครั้งที่เฝิงิเยว่เพิ่งเข้ามา เธอรู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง ย่อมหมายความว่ามิตินี้มีฟังก์ชันแจ้งเตือนอยู่ ขอเพียงเธอเข้ามิติแล้วคนรอบข้างเข้ามาใกล้ เธอจะรู้ในทันที อีกทั้งเวลาในมิติยังหยุดนิ่ง ทว่าข้างนอกกลับหมุนตามปกติ พูดให้ชัดเจนก็คือ หากเธออยู่ในมิติสิบนาที โลกภายนอกก็ผ่านไปสิบนาทีเช่นกัน ราวกับว่ามิติอยู่นอกเหนือกฎแห่งกาลเวลา เธอเลยเหมือนอยู่จุดที่เชื่อมระหว่างมิติกับโลกภายนอก สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ แต่ไม่รู้หลังจากเธอเข้าไปแล้ว อายุขัยจะอิงตามหลักของมิติหรือโลกภายนอกกันแน่ หากเข้าไปแล้ว อายุขัยเธอหยุดชะงักด้วย เช่นนั้นหากหลบในมิติตลอดแล้วออกมาเป็ระยะๆ จะมีชีวิตอยู่นับหมื่นปีไหมนะ?
แน่นอน เธอไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก แต่คิดว่าการคาดเดานี้น่าสนใจดี เหมือนการทดลองเล็กๆ น้อยๆกระมัง?
[1] เฉาเสวี่ยฉิน หมายถึง นักประพันธ์สมัยราชวงศ์ชิง เป็ที่รู้จักดีในฐานะผู้แต่งความฝันในหอแดง ซึ่งเป็วรรณกรรมชั้นยอดของจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้