“มีใครอยู่หรือไม่?”
ชุ่ยหลิวจับชายกระโปรงขึ้นมาและชะเง้อออกไปดู ดวงตาคู่สวยกวาดมองรอบทิศ แต่แววตาเผยความดูแคลนเล็กน้อย
เมื่อปรากฏเงาของคนทั้งสาม จึงยิ้ม “ที่แท้ก็พวกเ้าสามพี่น้องนี่เอง พวกเ้าคือแม่นางทั้งสามของครอบครัวฝั่งนี้ตามที่ฮูหยินได้กล่าวไว้!”
แววตาของหลิวเต้าเซียงเต็มไปด้วยความสงสัยจนปิดไม่มิด ฮูหยิน? เด็กสาวทั้งสาม?
นี่คือคำที่ใช้เรียกผู้เป็นายของสาวใช้ไม่ใช่หรือ?
ชุ่ยหลิวอุ้มหลิวชุนเซียงขึ้นมาจากอ้อมอกของหลิวชิวเซียง แล้วมองดูอย่างละเอียด “ข้าขอดูหน่อยสิ หืม เด็กคนนี้หน้าตาน่ารักน่าชังเสียจริง เทียบกับหญิงสาวที่จวนของเราแล้ว นับว่าไม่แย่เลย”
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงเ็าขึ้นเล็กน้อย เอื้อมมือไปอุ้มน้องสามกลับมาจากอ้อมอกของนาง “ตอนนี้นางยังไม่คุ้นเคยกับคน ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าอุ้ม”
ดูเหมือนว่าหลิวชุนเซียงจะเข้าใจความหมายของนาง มือเท้าเล็กๆ เริ่มกรีดกรายไปเรื่อย ซึ่งไม่ชอบคนที่กำลังอุ้มนาง
“เด็กคนนี้แข็งแรงมาก แรงถีบหนักไม่เบา” ชุ่ยหลิวถูกหลิวชุนเซียงถีบไปหลายครั้ง จึงไม่้าอุ้มนางต่อ
“เพราะว่าได้กินข้าวกับน้ำมันมากกว่าคนทั่วไป จึงอวบอ้วนไปหน่อย” รอยยิ้มของหลิวเต้าเซียงไม่ได้ออกมาจากก้นบึ้งในใจ
นางไม่ชอบชุ่ยหลิว แต่นางกับชุ่ยหลิวไม่ได้มีความอาฆาตพยาบาทต่อกันและกัน
นิ่งๆ ไว้ก่อนเช่นนี้ดีแล้ว
ดูเหมือนว่าชุ่ยหลิวจะนึกขึ้นได้ว่ามาที่นี่เพื่ออะไร
“ฮูหยินเรียกให้ข้ามาบอกให้แม่นางทั้งสองไปก่อไฟเตรียมทำอาหาร เดิมทีข้าควรจะช่วยเหลือ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ฮูหยินนั่งรถมาเหนื่อยเพลีย ข้าต้องไปดูเสียหน่อยจึงจะวางใจ”
หลิวชิวเซียงโบกมือและพูดว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง”
แน่นอน หลังจากชุ่ยหลิวเข้าไปในเรือนใหญ่ก็ไม่ได้ออกมาช่วยสองพี่น้องทำอาหารแต่อย่างใด
หลังจากอาหารเสร็จเรียบร้อย ชุ่ยหลิวก็ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูครัว ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม ได้ยินเสียงไพเราะของนางเอ่ย “นี่คือพี่สะใภ้กุ้ยฮัวใช่หรือไม่ เดิมทีข้าต้องออกมาช่วยเหลือ คิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้กลับมาแล้ว ฮูหยินปวดเมื่อยร่างกายเพราะนั่งเกวียนวัวโยกมาตลอดทาง ข้าจึงไปช่วยทุบหลังให้นางในห้อง”
จางกุ้ยฮัวไม่รู้ว่ามีแขกอยู่ที่บ้าน เพียงแต่ชุ่ยหลิวปรากฏตัวที่ประตูแล้ว นางจึงตอบ “ไม่เป็ไร เ้าเป็แขก งานหนักเช่นนี้ให้ข้าทำดีแล้ว”
ไม่ว่านางจะฉลาดเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คือสะใภ้ชนบท ย่อมไม่ได้สังเกตว่าชุ่ยหลิวนั้นเรียกหลิวฉีซื่อว่าฮูหยิน
จากนั้นนางก็ถามสองพี่น้องว่าเกิดอะไรขึ้น
หลิวเต้าเซียงบอกเล่าเื่ราวทั้งหมด จากนั้นจึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “สนิทสนมเป็กันเองไม่น้อย”
นางไม่ได้บอกเื่ที่ตนเองสงสัย เพราะเชื่อว่าคำถามนี้คงจะได้คำตอบในเร็ววันนี้
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ หลิวต้าฟู่ยังคงนั่งดื่มด่ำกับสุราของตนเอง
เหตุผลที่เขาดื่มสุรา ก็เพราะตอนที่หลิวฉีซื่อกลับมาได้นำอาหารที่มีเนื้อและผักมามากมาย ซึ่งเป็สิ่งที่นายในจวนตระกูลให้มา
ที่โต๊ะอาหารค่ำ นางยังอวดเสื้อคลุมผ้าเมืองสู่ที่สวมบนตัว ได้ยินว่าฮูหยินใหญ่มอบให้แก่นาง ปิ่นปักผมทองบนศีรษะนั้นได้มาจากฮูหยินใหญ่เช่นกัน ส่วนชุดกระโปรงนั้นฮูหยินรองให้มา
หลิวเสี่ยวหลันเปลี่ยนเป็ชุดที่สะอาดในมื้ออาหารค่ำ จากนั้นก็สาธยายพร้อมกับหลิวฉีซื่ออย่างไม่หยุดหย่อน คนทั้งโต๊ะมองไปที่ปิ่นปักผมเงินกระดิ่งลวดลายผีเสื้อฝังลูกแก้ว สวมเสื้อเหมียนอ๋าวสีชมพูปักลายดอกไม้ราบเรียบ ตรงเอวมีหยกเมฆมงคลห้อยอยู่ ด้านล่างคือกระโปรงลายผีเสื้อในดงดอกไม้สีเงิน ด้านนอกมีเสื้อคลุมลายกิ่งดอกซากุระสีแดงสลับทองเรียงเป็แถบ หากนางไม่เอ่ยปากพูดก็คงพอดูเหมือนลูกคุณหนูตระกูลร่ำรวยอยู่บ้าง
ดูไปแล้วกึ่งเก่ากึ่งใหม่ เพียงแต่เนื้อผ้าเป็คุณภาพดี
“หลังจากที่หลันเอ๋อร์ของเราไปที่นั่น โชคดีที่ได้รับการแนะนำจากเฉี่ยวเอ๋อร์ ถึงได้รับความเอ็นดูจากแม่หญิงเ่าั้ ดูสิว่า บรรดาแม่หญิงต่างรักใครเอ็นดูนางแค่ไหน ั้แ่หัวจรดเท้าก็ได้รับมาจากแม่หญิงทั้งนั้น เสื้อคลุมตัวนอกของนางนั้นมีมูลค่ายิ่งนัก ผ้าหนึ่งไม้บรรทัดราคาสองตำลึงเชียว การจะทำเสื้อคลุมทั้งตัวเช่นนี้ต้องใช้ยี่สิบถึงสามสิบตำลึง นี่ยังไม่นับไหมทองบนนั้นอีก ปิ่นกระดิ่งเงินบนศีรษะนางอีก พวกเ้าอย่าเห็นว่ามันเป็เพียงแค่เงิน เห็นหรือไม่ว่า้ามีลูกแก้วสีฟ้ากับสีม่วงประดับด้วย ได้ยินว่ามีเงินเท่าไรก็คงซื้อไม่ได้ เพราะเป็ของที่ออกมาจากในวัง มีเพียงแม่หญิงทั้งหลายที่นายท่าน…ฮูหยินใหญ่ทรงคัดมาถึงจะได้มีโอกาสสวมใส่ คนอื่นนั้นหรืออย่าแม้แต่จะคิด”
ลูกแก้วก็คือลูกปัดเทียมที่คนทำขึ้นไม่ใช่หรือ?
หลิวเต้าเซียงไม่ได้เหลียวแล
“เอ๋ เซียงเซียง ที่แท้ลูกปัดคริสตัลในที่ของคุณมีมูลค่ามากหรือครับ?” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดส่งเสียงดีใจอย่างยากที่จะเมินเฉยได้ ถูกต้อง มันคือความดีใจ
“แล้วไง?” หลิวเต้าเซียงไม่ชอบฟังคําโอ้อวดของหลิวฉีซื่อ จึงแอบคุยกับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดในจิตใต้สำนึก
“เฮ้อ ก็ไม่มีอะไรครับ? คุณพยายามเลื่อนขั้นเขตเพาะเลี้ยงของเราสิครับ รอผมเลื่อนจนถึงระดับสูงสุด คุณจะสามารถนำสัตว์ที่เพาะเลี้ยงมาทำการค้ากับผมได้ บริษัทของเราก่อนหน้านี้มีรายการมาใหม่ บอกว่าอิงตามระดับของพวกผม สามารถทำเื่อะไรได้บ้าง”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้ส่งเสียงถาม นางใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณอย่างแท้จริง ไม่ใช่ของปลอม นางเป็เพียงหญิงสาวชนบทธรรมดา หากจู่ๆ เอาของที่เหมาะสมกับสถานะของตนเองออกมา นางกล้าพนันได้เลยว่า ในเวลาอันรวดเร็วต้องได้เข้าไปกินข้าวแดงในคุกลับของราชสำนักแน่นอน
นางรู้ดีว่าด้วยระดับฝีมือในกาแล็กซีของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด งานคริสตัลที่สวยงดงามย่อมมีการผลิตที่ง่ายดาย ด้วยคำเดียวคือ ไม่มีมูลค่า!
ถึงกระนั้น นางก็ยังไม่กล้าหวั่นไหว เพราะกลัวตาย!
หลิวฉีซื่อยังคงโอ้อวดความรุ่งเรืองของจวนตระกูลหวงและความใจกว้างของเ้านายในจวน
หลิวต้าฟู่วางตะเกียบลงและขอให้หลิวเสี่ยวหลันซึ่งกําลังกินอยู่ไปที่ห้องเพื่อหยิบยาสูบแห้งให้เขา
คําพูดของเขาขัดจังหวะหลิวฉีซื่อที่น้ำลายกำลังสาดกระเด็น จึงมิอาจคุยโวต่อไปได้
“ฮูหยิน เร็วเข้า ดื่มน้ำแกงหน่อย” ชุ่ยหลิวเหมือนสาวรับใช้ที่รู้งาน จึงยกน้ำแกงให้หลิวฉีซื่อในจังหวะที่เหมาะสม
หลิวฉีซื่อฉีหยิบชามน้ำแกงแล้วดื่มช้าๆ
“ตาเฒ่า เ้าไปถามหลี่เจิ้งสิว่า หลังจากฤดูใบไม้ร่วง มีคน้าขายที่นาหรือไม่?”
หลิวต้าฟู่รับยาสูบที่หลิวเสี่ยวหลันไปเอามาให้ แล้วใช้ไม้ขีดจุดไฟ จากนั้นก็เริ่มสูบ
“ข้าพูดอยู่ เ้าไม่ได้ยินหรือ? ตกลงจะไปถามหรือไม่?
หลิวฉีซื่อรอเขาอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงเริ่มโกรธเคืองเล็กน้อย
หลิวต้าฟู่เงยหน้าขึ้น ควันเ่าั้ทำให้มองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน
“ข้าถามมาเมื่อวานนี้ เขาบอกว่าครอบครัวจางทางตะวันตกสุดของหมู่บ้านกําลังจะขายที่ดิน”
ใบหน้าของหลิวฉีซื่อแสดงรอยยิ้ม “ครอบครัวจาง? โอ้ เขามีบุตรชายคนเดียวอยู่ในจังหวัด ได้ยินว่าทำงานเป็เสี่ยวเอ้อร์อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เพราะเหตุใด เขาไม่กลับมาแล้วหรือ?”
“อืม ครอบครัวจางมีลูกชายที่ดี และเ้าของโรงเตี๊ยมถูกชะตากับเขา จึงยกลูกสาวเพียงคนเดียวให้เขาและหมั้นหมายกัน ลูกชายแซ่จางคนนั้นเป็คนกตัญญู จึงรับพ่อแม่ไปอยู่ในจังหวัดด้วยกัน”
หลิวต้าฟู่ไม่ได้บอกว่าบุตรชายตระกูลจางคนนั้น้าขายที่เพื่อจะซื้อที่ดินชานเมืองในจังหวัดให้บิดามารดา
“ที่นาดีของครอบครัวมีเพียงแค่สิบไร่” หลิวฉีซื่อเห็นว่าน้อยเกินไป
“บุตรชายของตระกูลจางเป็คนที่มีการศึกษา เขาบอกว่าจะขายพร้อมที่ดินอาศัย” ความหมายของหลิวต้าฟู่ก็คือ หลิวฉีซื่อไม่อาจเล่นแง่อะไรได้
หลิวฉีซื่อเหลือบมองเขาอย่างโกรธจัด “เช่นนั้นก็ต้องซื้ออยู่ดี แม้ว่าบ้านเรือนในหมู่บ้านไม่มีมูลค่า แต่บ้านพร้อมที่ดินก็สามารถแลกเป็เงินได้ ต่อไปก็จ้างคนเลี้ยงหมูสักคน แล้วทำบ้านนั้นให้เป็คอกหมูก็ดี”
นางคิดได้ไกลกว่าคนธรรมดาทั่วไปยิ่งนัก
หลิวต้าฟู่ไม่้าเลี้ยงหมู ที่ครอบครัว้าคือที่นาสิบไร่ ต้องมีวัวจึงจะดีกว่า “เลี้ยงวัวเถอะ ครอบครัวเราก็ไม่ได้ขาดแคลนเล็กน้อยนั้น ซื้อตัวเมียและตัวผู้อย่างละหนึ่งตัว ต่อไปเกิดคลอดลูกวัวจะยังแลกได้เงินอีกหลายตำลึง ในเมื่อจะเพิ่มที่ดิน ก็ไม่สามารถไปเช่าของผู้อื่นได้ ขายลูกวัวไปแล้วเป็ค่าจ้างให้คนเลี้ยงวัว ก็ยังมีเหลือให้เก็บอีก”
หลิวต้าฟู่เห็นว่าหมูกินเยอะเกินไป
“การเลี้ยงวัวสิ้นเปลืองเกินไป หรือไม่ก็เลี้ยงไก่เถอะ!” จากก้นบึ้งในใจของหลิวฉีซื่อ แท้จริงแล้วยัง้าใช้งานคนในครอบครัวฝั่งสาม
หลิวต้าฟู่เริ่มไม่พอใจ ว่ากันว่าเอาข้าวสารไปแลกไก่ ความหมายก็คือไก่กับหมูกินเยอะเหมือนกัน “เลี้ยงไก่เยอะ ก็กินเยอะ ไข่ไก่จะขายได้กำไรอะไรหรือ?”
หลิวฉีซื่อนิ่งเงียบ นางไม่เคยคำนวณในแง่มุมนี้
ดูเหมือนว่า ชุ่ยหลิวจะไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง นางยิ้มแย้มและคีบเนื้อปลาให้หลิวฉีซื่อ “ฮูหยิน รีบชิมเร็วเข้า เนื้อปลานี่สดใหม่จริงๆ”
“ซานกุ้ยไปจับมาจากแม่น้ำ”
ขณะที่นางพูดก็ไม่ได้สังเกตเลยว่านี่มันคือสิ้นเดือนตุลาคมแล้ว น้ำในแม่น้ำเย็นจนสามารถทิ่มแทงเข้ากระดูกได้เลย
ใบหน้าของจางกุ้ยฮัวดูไม่ค่อยดีนัก “ท่านแม่ นี่คือที่หลี่เจิ้งให้คนไปปล่อยน้ำในหนองน้ำตรงหน้าหมู่บ้านจนแห้ง”
“ซื้อหรือ?” หลิวฉีซื่อเริ่มไม่ปลื้ม
“เอาเถิด ขืนไม่กินก็คงไม่มีกับข้าวแล้ว” หลิวต้าฟู่มีความสุขใน่ที่หลิวฉีซื่อไม่อยู่ เขาจึงชิงชังที่หลิวฉีซื่อกลับมาเร็วเกินไป
เขาหันไปกล่าวกับหลิวซานกุ้ยที่เพิ่งทานข้าวเสร็จ “ซานกุ้ย วันนี้อากาศแจ่มใส หากว่ายังเป็เช่นนี้อีกสองวัน นาข้าวของเราคงเก็บเกี่ยวได้แล้ว”
“ท่านพ่อวางใจได้ ข้าบอกกับบ้านของนายช่างเหล็กกับซวนจื่อแล้ว”
ที่นาสามสิบไร่ของตระกูลหลิว หากจะอาศัยกำลังของทั้งสองเก็บเกี่ยวคงไม่ทันการ เขาจึงต้องแลกเปลี่ยนแรงงาน เช่นนี้ครอบครัวของเขาก็จะมีแรงงานหกคนช่วยกันเกี่ยวข้าวในที่นาดีสามสิบไร่
“่เกี่ยวข้าว ทำอาหารการกินให้ดีหน่อย ไปซื้อเนื้อในตำบลมาด้วย!”
เนื้อในตำบลมีราคาถูกกว่าเนื้อของร้านค้าเล็กๆ ในหมู่บ้าน ดังนั้นหลิวต้าฟู่จึงเอ่ยคําพูดเช่นนี้
หลิวฉีซื่อไม่เต็มใจจะจ่ายเงิน “ซื้อเนื้ออะไรกัน เราก็เอาอาหารจากจวนตระกูลหวงมามากมายไม่ใช่หรือ? ตอนนี้อากาศหนาว หาโอ่งมาใส่อาหารเหล่านี้แล้ววางไว้กับพื้น มันก็ไม่ได้เน่าเสียสักหน่อย”
ที่สําคัญกว่านั้นคือ นางเองก็สามารถโอ้อวดทรัพยากรของตนเองแก่คนในหมู่บ้านได้อีกด้วย
“ใช่แล้ว ท่านปู่ เราเก็บไว้ให้คนที่มาช่วยงานกินเถอะ” หลิวเต้าเซียงเอ่ยขึ้น
สำหรับอาหารของจวนตระกูลหวง หลิวเต้าเซียงแทบไม่อยากกระดิกตะเกียบ นางภาวนาให้มีคนอื่นรีบกินให้หมด
สำหรับนางที่มีนิสัยรักความสะอาด การกินอาหารเหลือของผู้อื่นเป็สิ่งที่นางรับไม่ได้
นางยินดีที่จะกินโจ๊กกับผักดีกว่ากินกุ้งอบขมิ้น ลูกชิ้นหมูตุ๋นน้ำแดง หรือขาหมูตุ๋นต่างๆ ที่จวนตระกูลหวงให้มา
ชุ่ยหลิวยิ้มอยู่ด้านข้าง “ฮูหยิน หลานสาวคนรองช่างเป็เด็กดีเหลือเกิน”
“นางไม่ใช่คนรอง คนรองคือเฉี่ยวเอ๋อร์ ในบรรดาหลานสาวจูเอ๋อร์โตสุด” หลิวฉีซื่อไปที่จวนตระกูลหวงมาหนึ่งรอบ ดูเหมือนว่าจะชื่นชอบในเื่การมีกฎระเบียบมากขึ้น
จากนั้นได้ยินนางบอกกับชุ่ยหลิวว่า “ชิวเซียงเป็คนที่สาม ส่วนนางคือคนที่สี่ คนที่ห้าก็คือเด็กน้อยที่เ้าเห็นตรงหน้านี่แล ยังกินนมอยู่!”
หลิวฉีซื่อดูจะชื่นชอบชุ่ยหลิวยิ่งนัก
-----
