อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงงงงวยและสับสนก็คือ นางรอแล้วรออีก รอให้ไทเฮาเฒ่าโจมตีนางจนแทบจะรอไม่ไหว
ไม่รู้ว่าเป็เพราะ่นี้นางไม่ได้ออกไปไหนหรือไม่ จึงไม่ทราบข่าวคราวจากวังหลวงเลย ไม่รู้ว่ายามนี้องค์หญิงอันหย่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
ตอนแรก มู่จื่อหลิงยังคงสงสัยว่า นี่จะเป็ความสงบก่อนเกิดพายุ [1] หรือไม่?
ต้องรู้ว่า ความเงียบสงบเช่นนี้ มันทำให้จิตใจของนางร้อนรนด้วยความไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา ด้วยเกรงว่า จู่ๆ ไทเฮาจะลงมือกับนางโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เช่นนั้นอาจทำให้นางเป็ทุกข์ได้
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเวลาผ่านไปนานวันเข้า ยิ่งมู่จื่อหลิงคิดเกี่ยวกับเื่นี้มากขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็ไปไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่านางจะไม่ค่อยทะเลาะเบาะแว้งกับไทเฮาเฒ่ามากนัก แต่นางก็เข้าใจในตัวของไทเฮาเฒ่าไม่มากก็น้อย สำหรับการรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเช่นนี้ เป็สิ่งที่เป็ไปไม่ได้สำหรับไทเฮา
แม้ว่าไทเฮาเฒ่าจะมีความร้ายกาจไม่ต่างไปจากฮองเฮา แต่นางไม่ได้มีความรอบคอบและระมัดระวังพิถีพิถันเหมือนดั่งฮองเฮา
ต้องรู้ว่าคนอย่างไทเฮาผู้ครองตำแหน่งสูงสุดในวังหลัง การอดทนอยู่อย่างสงบสำหรับนาง เป็สิ่งที่ไม่มีอยู่มาแต่เดิม
แต่เนื่องจากมันเป็ไปไม่ได้ เช่นนั้นเหตุใดไทเฮาจึงนิ่งเงียบไปนานเช่นนี้? นี่เป็สิ่งที่ไม่สอดคล้องกันเลย
เมื่อลองคิดซ้ายตรองขวา [2] ดูแล้ว มู่จื่อหลิงก็ยิ่งงุนงง ด้วยมีเหตุผลที่ว่าไทเฮาเฒ่าทรงเกลียดชังนางแทบตาย นอกจากนี้ คราวนี้นางยังปฏิเสธที่จะช่วยองค์หญิงอันหย่า เหตุใดไทเฮาเฒ่าจึงยังนิ่งเฉยอยู่ได้
และเื่ที่องค์หญิงอันหย่าพิโรธจนล้มป่วย ซึ่งเป็เื่ที่นางสันนิษฐานว่านางกำนัลทั้งสองควรจะคาดหัวนางไว้โดยตรงไม่ใช่หรือ ดังนั้นไทเฮาเฒ่าจะไม่เกลียดนางมากยิ่งขึ้นหรอกหรือ?
องค์หญิงอันหย่าไม่ใช่ดวงใจของไทเฮาเฒ่าหรอกหรือ? มีบางอย่างเกิดขึ้นกับองค์หญิงอันหย่า ไทเฮาเฒ่าจะสงบอยู่ได้อย่างไร หรือว่าไทเฮาเฒ่าจะใจนเป็ลมสิ้นสติไปเหมือนครั้งที่แล้ว?
มู่จื่อหลิงไม่เข้าใจเื่ที่ไทเฮายังไม่มีการเคลื่อนไหวจริงๆ
-
ผ่านไปหลายวัน ทุกที่ผ่านไปยังคงเงียบสงบเช่นเดิม
ดูเหมือนว่า่นี้หลงเซี่ยวอวี่จะยุ่งกับเื่อื่น เขาหายตัวไปเป็เวลาหลายวันติดต่อกัน ช่างลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก ไม่ต่างจากเทพัเห็นหัวไม่เห็นหาง [3]
หลงเซี่ยวอวี่หายไปไม่เห็นแม้เงา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะกลับมาทุกคืน
เพราะสิ่งนี้ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกเสียใจ หนักใจและหดหู่ใจ
เนื่องจากนางนอนหลับสบายบนเตียงของตนในทุกค่ำคืน แต่ในยามที่นางตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น นางมักจะนอนอยู่บนเตียงหยกเหมันต์ในห้องโถงชั้นในอยู่เสมอ
ในครั้งแรกที่ตื่นขึ้นมาที่นั่น มู่จื่อหลิงใจนผงะ คิดว่าจู่ๆ นางก็เดินละเมอ นางถึงได้มานอนอยู่บนเตียงหยกเหมันต์ในห้องโถงด้านในได้อย่างน่างุนงง
แต่ผ่านไปอีกสองสามวันก็ยังเป็เช่นนี้...นางนอนหลับไปบนเตียงของตนเอง แต่ในวันรุ่งขึ้นกลับตื่นขึ้นมาบนเตียงหยกเหมันต์
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกครั้งที่หลับใหล มู่จื่อหลิงมักจะรู้สึกอย่างคลุมเครือว่ามีใครบางคนเข้ามาแอบจูบและฉวยโอกาสเอาเปรียบนาง
มีกลิ่นหอมสดชื่นของดอกเหมยเย็น เป็กลิ่นลมหายใจที่ช่วยทำให้นางหลับใหลได้อย่างเป็สุขตกค้างอยู่...
ทุกครั้งที่มู่จื่อหลิง้าลืมตาเพื่อมองดู แต่อาการวิงเวียนศีรษะทำให้นางลืมตาไม่ขึ้น ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นความละโมบซึ่งเป็รสชาติที่คุ้นเคย ในท้ายที่สุดมันก็ทำให้นางหลับลึก
จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่า
ไม่จำเป็ต้องคิด มู่จื่อหลิงก็รู้ว่ามีคนพานางเข้ามา ชายมากเล่ห์ผู้นั้นโอบอุ้มนางมาโดยไม่บอกกล่าวด้วยซ้ำ ทั้งยังแอบจูบและฉวยโอกาสจากนาง
เมื่อนึกถึงการถูกใครบางคนเอาเปรียบทุกคืน ความรู้สึกที่ซับซ้อนในหัวใจของมู่จื่อหลิงนั้นแทบจะอธิบายเป็คำพูดได้ยาก
สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงประหลาดใจที่สุดคือ
ใน่เวลานี้ นอกจาก่เวลาที่นางรู้สึกได้รางๆ ว่านางกำลังถูกคนเลวเอาเปรียบ ใน่เวลาอื่นในบางครั้งนางกลับไม่รู้สึกเลย
ใน่เวลานั้น นางนอนหลับสนิท หลับยาวจนถึงรุ่งสาง ดูเหมือนต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่มีการสั่นคลอน [4]
ไม่เพียงแค่นั้น ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา มู่จื่อหลิงรู้สึกสดชื่นไปทั้งตัว จิตใจแจ่มใส รู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูก ร่างกายดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังงาน
แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มู่จื่อหลิงก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าหลงเซี่ยวอวี่คนเ้าเล่ห์ผู้นั้น เหตุใดมีเตียงใหญ่อุ่นสบายถึงไม่ยอมให้นางนอน แต่กลับปล่อยให้นางนอนบนเตียงหยกเหมันต์ที่หนาวเหน็บถึงกระดูก
ท้ายที่สุดแล้วมันเป็เพราะเหตุใด? มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ใจมากจนนางเกือบจะข่วนผนัง แต่นางก็ไม่ได้้าเข้าใจเหตุผลอย่างแท้จริง
แม้ว่าสำหรับนางแล้ว การนอนบนเตียงหยกเหมันต์ที่หนาวเหน็บจะไม่ต่างจากการนอนบนเตียงธรรมดา แต่ผู้ใดจะรู้ว่าการนอนบนเตียงที่เย็นะเืเช่นนี้เป็เวลานานจะทำให้ร่างกายของนางเกิดความเสียหายหรือไม่?
เมื่อมาถึงจุดนี้ มู่จื่อหลิงจึงเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
ในที่สุด ในคืนหนึ่ง มู่จื่อหลิงจึงพยายามทุกวิถีทาง เพื่อที่จะไม่ปิดเปลือกตาของตนจนกว่าจะถึงรุ่งสาง นางรอให้หลงเซี่ยวอวี่ปรากฏตัวเพื่อจะได้สอบถามให้กระจ่าง
แต่ผู้ใดจะไปรู้ ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด ในภายหลังนางก็ยังหลับสนิท
หลังจากนั้น เมื่อตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น ไม่จำเป็ต้องพูด...นางนอนอยู่บนเตียงหยกเหมันต์ที่เย็นะเือีกครั้ง
การฝืนไม่ให้ตนเองหลับเพื่อรอให้ใครบางคนปรากฏตัว เห็นได้ว่าไม่อาจทำตามแผนการนี้ได้
ในเวลาต่อมา เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบอีก ในยามค่ำคืนมู่จื่อหลิงจึงตรงไปที่เตียงหยกเหมันต์อย่างเชื่อฟังในยามที่นางกำลังจะเข้านอน
ไม่รู้ว่าเป็เพราะความประหม่าของนางหรือเปล่า...ที่แน่ๆ ในยามที่กำลังหลับในยามค่ำคืน นางไม่รู้สึกถึงการถูกใครบางคนเข้ามาเอาเปรียบอีก
แต่ใครจะรู้ว่ามู่จื่อหลิงยังคงถูกแอบเอาเปรียบอยู่หรือไม่?
-
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปเช่นนี้...
ใน่ครึ่งเดือนที่ผ่านมา ในตอนแรกมู่จื่อหลิงยังสามารถอยู่ในจวนได้สองสามวัน แต่นางไม่อาจทนอยู่ในจวนอย่างเชื่อฟังและไม่ออกไปได้ตลอดไป
หลังจากนั้นในทุกวัน นอกเหนือจากการค้นคว้าเกี่ยวกับยาใหม่ๆ และการกลั่นยาพิษแล้ว มู่จื่อหลิงยังไปที่หอเยวี่ยอวี่เพื่อกินแล้วชักดาบ [5] เป็ครั้งคราว
ส่วนเหตุใดนางถึงสามารถกินแล้วชักดาบได้น่ะหรือ? นั่นเป็เพราะการหายตัวไปของเย่จื่อมู่ใน่เวลานี้ ดูเหมือนว่าเขาจะหายไปและไม่มีผู้ใดพบร่องรอยของเขา
มู่จื่อหลิงไม่เคยลืมความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้นางเคยถูกเย่จื่อมู่ หลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชายฉลาดแกมโกงอย่างเย่จื่อมู่ผู้นี้ ไม่ง่ายเลยที่จะหล่นลงไปในกับดัก แต่ผู้จัดการเย่กลับหล่นลงมาอย่างง่ายดาย สำหรับมู่จื่อหลิง นางสามารถกล่าวได้เพียงห้าคำว่า นั่นไม่ใช่ปัญหา
ดังนั้นมู่จื่อหลิงผู้ซึ่งมักจะ ‘แก้แค้นต่อความคับแค้นใจ’ มาโดยตลอด จึงใช้ประโยชน์จากการที่เย่จื่อมู่ไม่อยู่ วางอุบายใส่ผู้จัดการเย่ กินแล้วชักดาบกับมื้ออาหารแสนอร่อยสองสามมื้อ
ดังนั้น ผู้จัดการเย่ผู้น่าสงสารที่เห็นการกระทำที่กินแล้วชักดาบของมู่จื่อหลิง จึงทำได้เพียงร้องไห้อย่างเงียบๆ ภายในใจ แต่เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้!
ผู้ใดใช้ให้เถ้าแก่ของพวกเขาบอกไว้เมื่อนานมาแล้วว่า บรรพบุรุษตัวน้อยอย่างเถ้าแก่มู่นั้นไม่มีใครสามารถเข้าไปแตะต้องได้ เขาจึงไม่สามารถพูดสิ่งใดได้
เป็ผลให้ในอีกไม่กี่วันต่อมา ในยามที่ผู้จัดการเย่เห็นมู่จื่อหลิง เขาจึงมีท่าทางราวกับลูกหนี้หลบหนี้เ้าหนี้ นอกจากการหลบซ่อนแล้วก็ไม่ทำอะไรอีก
สำหรับ่เวลาอื่น มู่จื่อหลิงมักจะแต่งตัวเป็ผู้ชายเพื่อเข้าดูแลหลิงซั่นถังของนาง
ก่อนหน้านี้นางก็ทำเพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ชุดชายหนุ่มโดยไร้ซึ่งการประทินโฉมใดๆ ด้วยในยามนั้นนางเป็เพียง ‘ผู้มาใหม่’ อีกทั้งนางก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเื่นี้
แต่ยามนี้หลิงซั่นถังเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้ามาและออกไป มีคนจำนวนมากกว่าในยามที่ต้องจัดการกับเื่ในวังหลวงเสียอีก หากยังใช้ใบหน้าของฉีหวางเฟยอีก มันจะเป็การง่ายต่อการจดจำ
ดังนั้น ในยามนี้มู่จื่อหลิงจึงทำทั้งแต่งตัวและแต่งหน้า ทุกครั้งที่นางออกไปข้างนอก นางจะกลายเป็เด็กผู้ชายที่ดูธรรมดามาก
การปรากฏตัวของนางในเสื้อผ้าผู้ชายนั้นดูเรียบง่าย เรียบจนแทบจะจมอยู่ในฝูงชน เป็การยากที่จะค้นพบ
ดังนั้นเมื่อนางไปถึงหลิงซั่นถัง นอกจากผู้จัดการร้านและพนักงานไม่กี่คนที่รู้ว่านางเป็เถ้าแก่แล้ว ทุกคนล้วนคิดว่านางเป็พนักงานใหม่ของหลิงซั่นถัง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้นางสะดวกขึ้นมาก
นับั้แ่เปิดหลิงซั่นถังมา กิจการเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังดำเนินไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม มู่จื่อหลิงไม่ทราบว่า ในอีกไม่นาน หลิงซั่นถังซึ่งดำเนินการอย่างราบรื่นกำลังจะเผชิญกับปัญหาใหญ่
แม้จะผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากไทเฮา แต่มู่จื่อหลิงไม่เคยคิดว่าเื่จะจบลงเช่นนี้เลย
แต่ถึงแม้ว่านางจะออกมายังภายนอก นางก็ยังไม่ได้ยินข่าวลือใดๆ จากวังหลวง
ในท้ายที่สุด มู่จื่อหลิงก็ทนความสงสัยในใจไม่ได้ นางจึงเรียกหากุ่ยเม่ย
“กุ่ยเม่ย เ้าจงไปตรวจสอบว่าใน่นี้เกิดอะไรขึ้นภายในวังหลวง” มู่จื่อหลิงสั่งเสียงต่ำ ก่อนจะพูดสองสามคำเบาๆ ว่า “ไปดูว่าไทเฮาเฒ่ายังสบายดีอยู่หรือไม่”
“ขอรับ” กุ่ยเม่ยประสานมือคารวะ แล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
มู่จื่อหลิงมองไปทางที่ภาพติดตาจางหายไป รอยยิ้มเปล่งประกายในดวงตาของนาง
นับั้แ่ที่นางถูกลอบสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลงเซี่ยวอวี่จึงได้ทิ้งกุ่ยเม่ยไว้เพื่อปกป้องนางอย่างลับๆ
กล่าวได้ว่าเป็การปกป้อง ทั้งยังกล่าวได้ว่าเป็การเฝ้าระวัง
มู่จื่อหลิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร แม้ว่าจอมมารหลงเซี่ยวอวี่ผู้นั้นจะสัญญากับนางแล้ว ว่าจะไม่ห้ามให้นางออกไปข้างนอกอีก
นางสามารถออกไปได้ทุกเมื่อตามที่้า แต่สิ่งนั้นย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายเป็การแลกเปลี่ยน
ไม่ว่านางจะไปที่ใดล้วนถูกติดตามไปทุกที่ แม้จะมองไม่เห็นในความมืด แต่มู่จื่อหลิงก็ยังหงุดหงิดอยู่มาก
แต่แล้วนางก็คิดออกว่าการมีผู้เชี่ยวชาญตามคุ้มกันยามนางออกมาด้านนอกนับว่าเป็เื่ดี
แม้ว่าการลอบสังหารจะเป็ฝีมือของฮองเฮา แม้ว่ายามนี้ฮองเฮาจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่ศัตรูของนางก็จะไม่ลดลงไปด้วยเหตุนี้ ดังนั้นนางจึงต้องระมัดระวังในจุดที่นางควรระวัง
ยิ่งไปกว่านั้นใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมากุ่ยเม่ยยังสามารถช่วยเหลือนางได้เป็อย่างมาก มู่จื่อหลิงจึงสงบลงมาก อยากตามก็ตามมา นางจะไม่ออกไปทำอะไรไม่ดี เหตุใดนางถึงต้องกลัวที่จะถูกติดตาม?
ในยามนี้มู่จื่อหลิงและเสี่ยวหานกำลังเลือกและจัดเรียงวัตถุดิบทำยาที่โตเต็มที่ในสวนด้านหลังของตำหนักอวี่หาน
ไม่นานกุ่ยเม่ยก็นำข่าวจากวังกลับมา
อย่างที่ทุกคนทราบ ข่าวครั้งนี้ทำให้มู่จื่อหลิงตกตะลึง
คราวนี้ อาการประชวรขององค์หญิงอันหย่าร้ายแรงมาก มันหนักหนายิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ฉีอ๋องตรัสว่า ‘นางเป็หมาแมวที่ไหนก็ไม่รู้’ เมื่อหลายปีก่อนเสียอีก
กล่าวได้ว่ารุนแรงยิ่งกว่า
ดังนั้น หมอหลวงกลุ่มใหญ่ในวังจึงก้มหน้าลงอย่างสั่นสะท้านด้วยความกลัว ไม่หลับไม่นอนเป็เวลากว่าสามวันสามคืนแล้ว และในที่สุดก็สามารถช่วยองค์หญิงอันหย่ากลับจากประตูนรกได้
มู่จื่อหลิงเดินออกจากสวนสมุนไพร ยืดเอวของนางอย่างเกียจคร้านเป็เวลานาน ก่อนจะยิ้มอย่างเหยียดหยาม “มันเป็เวรเป็กรรมจริงๆ”
นางเพิ่งพูดเมื่อไม่นานมานี้ว่า ต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้จะตายง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร? แม้จะเจ็บหนักมากถึงเพียงนั้น แต่อย่างไรก็ยังรอดกลับมาได้ มันเป็เวรเป็กรรมจริงๆ!
“แล้วไทเฮาเล่า สถานการณ์ของไทเฮาเป็อย่างไร?” มู่จื่อหลิงปัดสิ่งสกปรกบนมือของนางอย่างตั้งใจ ในขณะเดียวกันก็เอ่ยถามกุ่ยเม่ยไปด้วย
กุ่ยเม่ยรายงานต่อไป
ปรากฏว่าในวันที่องค์หญิงอันหย่าประสบอุบัติเหตุจนวันนี้ ไทเฮาเฒ่าที่อยู่ภายในวังหลวงก็ยังไม่ได้พักผ่อนเลย
ในตอนแรกไทเฮาได้มีรับสั่งออกมาหลายครั้ง เพื่อนำตัวมู่จื่อหลิงมาตำหนิ
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ ผู้รับคำสั่งมาหากไม่สะดุดล้มตาย หรือประสบเข้ากับดินถล่มจนถูกหินทับตาย ก็ต้องพบโจรระหว่างทาง ทั้งร่างของเขาถูกปล้นชิงจนไม่เหลือแม้แต่เป้ากางเกง
โดยรวมแล้ว ใน่เวลานี้ ตราบใดที่มีคนออกมาจากวัง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็ผู้ใด ตราบใดที่เดินทางมาในทิศทางของจวนฉีอ๋อง พวกเขามักจะประสบอุบัติเหตุที่น่าเศร้าและโศกนาฏกรรมมากมาย
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ความสงบก่อนเกิดพายุ (暴风雨来临前的宁静) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ่เวลาแห่งความสงบ ความมั่นคง ก่อนความทุกข์ยากหรือความขัดแย้งจะมาถึง หรือความสงบก่อนเกิดเหตุการณ์สำคัญที่อาจทำให้ต้องสูญเสีย
[2] คิดซ้ายตรองขวา (左想右想) เป็สำนวน มีความหมายว่า พิจารณารอบด้าน
[3] เทพัเห็นหัวไม่เห็นหาง (神龙见首不见尾) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ผู้ที่ชอบทำตัวลึกลับ ไม่เปิดเผย
[4] ฟ้าผ่าก็ไม่มีการสั่นคลอน (雷打不动) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า มีความหนักแน่น หรือเหตุการณ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
[5] กินแล้วชักดาบ (吃霸王餐) เป็คำสแลง มีความหมายว่า กินฟรี หรือกินแล้วไม่ยอมจ่าย