เมื่อป้าหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นกลับถอนหายใจ ก่อนอธิบาย “นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกเ้าค่ะ มิได้เรียนท่านแม่ก่อน ก็เป็เพราะข้าเกรงว่าเมื่อท่านแม่ได้รับฟังแล้วจะพลอยวิตกกังวลไปด้วย ก่อนหน้านี้มีคนของต้าโจวมาพบิเกอร์ อยากจะให้ิเกอร์เข้าไปเป็พวกด้วย ใน่เวลานั้นได้บอกเื่ราวเกี่ยวกับฮ่องเต้ของพวกเราว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ และยังบอกด้วยว่า ท่านอ๋องผางเซียวเป็ผู้กล้าหาญ และกองทัพกีบเหล็กเสือที่เขานำทัพอยู่ตอนนี้นั้น ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องทำใหู้เาและแม่น้ำของเราแบนราบเ้าค่ะ...”
สตรีทั้งหลายซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นได้ยินคำพูดดังกล่าว ทุกคนต่างก็รู้สึกหายใจไม่ออก
ฮูหยินติ้งกั๋วกงขมวดคิ้วแน่น
ป้าหญิงรองใและปิดปากตัวเอง
อุปนิสัยของซุนซื่อนั้นซื่อตรง จึงดึงมือป้าหญิงใหญ่เอาไว้ “พี่สะใภ้ใหญ่ ราชวงศ์ต้าเยี่ยนนี้ทำให้คนไม่สบายใจจริงๆ คำพูดเหล่านี้หากได้ยินไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ จะไม่โดนคนครหาเอาหรือ แล้วถ้าให้โทษพวกเราว่ามีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นศัตรูละก็ จะดีได้อย่างไรกัน”
“ก็เพราะว่าเื่ได้ยินไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้แล้วอย่างไรล่ะ ิเกอร์ปฏิเสธคำครหาเ่าั้ด้วยความจริงจัง อีกทั้งยังถอดเครื่องแบบขุนนางเพื่อขอรับผิดด้วยตนเอง พวกเ้าก็รู้ ฮ่องเต้ของพวกเรา ...คิดมาก แต่ในที่สุดก็พ้นภัย จึงผ่านจุดนี้ไปได้”
ฉินหยีหนิงไม่ค่อยเข้าใจเื่ของคนชั้นสูงสักเท่าใดนัก แต่พอได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฮ่องเต้อยู่บ้าง
ในชั้นราษฎร คนที่ตำหนิฮ่องเต้ว่าเป็คนเลวนั้นมีเยอะแยะถมไป ว่าเป็ตาแก่ตาไม่ดี ไร้ความสามารถ หลงรักและเชื่อในปีศาจ ทำให้การทุจริตเป็อำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้สารเลว เชื่อพ่อตานั่นก็คือฉาวไท่ซือ ปล่อยให้รัชทายาทต่อสู้กันเองภายในราชวงศ์ ดังนั้นตอนนี้ราชสำนักของต้าเยี่ยนครึ่งหนึ่งก็อยู่ในมือของฉาวไท่ซือ ทำให้รัชทายาทสิ้นพระชนม์ไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงรัชทายาทแค่องค์เดียวเท่านั้น จะเลือกให้เป็ฮ่องเต้ก็ไม่มีให้เลือกเสียแล้ว
ป้าหญิงใหญ่ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเอ่ยอย่างเนิบๆ “ิเกอร์ทำอะไรไว้กับคนต้าโจวเยี่ยงนี้ อีกทั้งยังเป็นกนำทางมาตั้งหลายปี ข้าละเป็ห่วงเหลือเกิน อย่าเห็นว่าเขาอุปนิสัยอ่อนโยน แต่ถ้าแข็งข้อขึ้นมาละก็ควายเก้าตัวก็ลากกลับมาไม่ได้”
“เอาเถอะ เื่มันก็ผ่านไปแล้ว ยังดีที่ฮ่องเต้เชื่อมั่นในตัวิเกอร์” ฮูหยินติ้งกั๋วกงตบมือลูกสะใภ้ใหญ่เบาๆ สายตาอ่อนโยนและมีเมตตา กำลังบอกกับนางเป็นัยๆ ว่าลูกๆ อยู่ตรงนี้ด้วย อย่าพูดอะไรมากเลย
ตอนนี้ป้าหญิงใหญ่จึงอดกลั้นข่มความกังวลไว้ นางยิ้มและเอ่ยขึ้น “เวลาก็พอประมาณแล้ว ท่านแม่เ้าคะ ข้าไปดูที่ครัวก่อนนะเ้าคะ อีกสักครู่จะต้องรับประทานอาหารแล้ว พวกเราไปรับประทานอาหารกันในเรือนอุ่น ดีหรือไม่เ้าคะ?”
“แน่นอนว่าดี”
ป้าหญิงใหญ่ก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ขอตัวออกไป
ป้าหญิงรองก็เรียกพี่น้องที่เดินตามมาด้วยเมื่อสักครู่นี้เพื่อมาแนะนำ “หยีเจี่ยร์ นี่คือพี่ชายห้าของเ้า นี่คือพี่ชายแปดของเ้า พี่ชายสอง พี่ชายสี่ต่างก็ไปร่วมอยู่ในทัพทหารอยู่ ตอนนี้ไม่ได้อยู่บ้าน”
ฉินหยีหนิงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อคำนับพี่ชายห้าและพี่ชายแปด
ผู้ชายในบ้านซุนต่างก็มีรูปร่างสูงใหญ่ มีคิ้วเข้มและจมูกโด่ง นี่เป็จุดเด่นของพวกเขา พี่ชายห้ามีอายุยี่สิบปี พี่ชายแปดมีอายุสิบแปดปี ทั้งสองคนต่างคำนับคืนให้กับฉินหยีหนิงอย่างสุภาพ อาจจะเป็เพราะว่าอายุต่างกันมาก หรืออาจจะเป็เพราะว่าชายหญิงมีความแตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างจึงไม่ได้พูดคุยอะไรมาก
เมื่อนั่งลงอีกครั้ง ก็มีการสนทนาตามประสา ฉินหยีหนิงเพิ่งรู้ว่าพี่ชายทั้งห้าท่านของบ้านซุน นอกจากพี่ชายใหญ่ซุนหยู่แล้ว คนอื่นๆ นั้นได้แต่งงานกันหมดแล้ว ตอนนี้ลุงใหญ่กับลุงรองประจำการที่ป้อมป้องกันเมืองหลวงที่เมืองซีฮวา ซึ่งไม่ได้ไกลจากเมืองหลวงเท่าใดนัก พี่ชายสองกับพี่ชายสี่ก็พาครอบครัวไปอยู่ที่เมืองซีฮวาด้วย กลับมาที่บ้านนานๆ ครั้ง ภรรยาของพี่ชายห้าและพี่ชายแปดต่างก็กำลังท้องอยู่ คนหนึ่งท้องแก่และใกล้คลอดอีกไม่นานแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเป็ท้องแรก ทารกไม่ค่อยแข็งแรงนัก ไม่สามารถเดินลุกไปไหนมาไหนได้ ทำให้วันนี้ไม่ออกมา
“พี่สะใภ้ไม่ค่อยสะดวกมา อีกหน่อยยังมีเวลาอีก ไม่กลัวว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนะ?” ฉินหยีหนิงยิ้มและเอ่ยขึ้น “ก็ฝากพี่ชายทักทายพี่สะใภ้แทนข้าด้วยเถิด”
พี่ชายห้าและพี่ชายใหญ่ต่างก็ยิ้มตอบรับพร้อมพยักหน้า “วันข้างหน้าไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หน่อย ยังมีโอกาสได้เจอกันอีกเยอะ”
เมื่อเห็นหลานๆ คุยกันอย่างกลมเกลียว ทำให้ฮูหยินติ้งกั๋วกงยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น มีบ่าวคนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก “ฮูหยิน อาหารได้เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ ใต้เท้ากั๋วกงกับคุณชายใหญ่ก็ได้ไปที่เรือนอุ่นเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ ก็ขอเชิญฮูหยิน คุณหนูและคุณชายไปที่เรือนอุ่นได้แล้วเ้าค่ะ”
“ไปกันเถอะ พวกเราไปที่เรือนเล็กกันเถอะ” ฮูหยินติ้งกั๋วกงยิ้มและลุกขึ้นยืน
บ่าวซึ่งติดตามเ้านายมาที่ห้องข้างในก็รับใช้เ้านายแต่งตัว จากนั้นก็เฮฮากันไป พูดคุยหัวเราะจนถึงเรือนเล็ก
เรือนเล็กเผาตี้หลง หลังเข้ามาในห้องจะรู้สึกได้ถึงไอร้อนมาแตะที่ใบหน้า ตามด้วยกลิ่นอาหารที่หอมโชยมาเป็พักๆ ทำให้คนรู้สึกว่ามีไอแห่งความอบอุ่นของบ้านอยู่ด้วย
ห้องนี้มีการกั้นด้วยไม้ไผ่ทาน้ำมันดำ ทำให้โต๊ะทั้งสองแยกออกจากกัน ฝั่งหนึ่งเป็ฝั่งผู้ชาย และอีกฝั่งหนึ่งเป็ฝั่งของผู้หญิง เป็โต๊ะกลมนั่งด้วยกัน
หลังผ่านประตูเรือนอุ่น ฮูหยินติ้งกั๋วกงก็จับมือฉินหยีหนิงมาโดยตลอด เมื่อนั่งลงแน่นอนว่าฉินหยีหนิงต้องนั่งข้างๆ ฮูหยินติ้งกั๋วกง ซุนซื่อนั่งอยู่ใกล้แม่ของตนอีกข้างหนึ่ง
ฉินฮุ่ยหนิงเลียริมฝีปากแดง ก้มหน้าก้มตานั่งลงข้างๆ ซุนซื่อ จากนั้นเป็พี่สาวน้องสาวนั่งถัดไปตามลำดับ
ป้าหญิงใหญ่กับป้าหญิงรองยืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินติ้งกั๋วกง ต่างนำตะเกียบกลางช่วยคีบกับข้าวให้
ฮูหยินติ้งกั๋วกงยิ้มออกมา “วันนี้พวกเ้าไม่ต้องทำตามกฎระเบียบก็ได้ รีบนั่งเถิด พวกเราครอบครัวเดียวกัน มารับประทานอาหารด้วยกันเถิด”
ป้าหญิงใหญ่คีบปลาเปรี้ยวหวาน เอาก้างออกและวางไว้ในจานของฮูหยินติ้งกั๋วกงที่ออกแบบมาอย่างประณีต พลางเอ่ยว่า “ท่านแม่เอ็นดูและรักลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้ก็ไม่สามารถละเลย ไม่ทำไม่ได้เ้าค่ะ”
ป้าหญิงรองก็กล่าวต่อ “ใช่เ้าค่ะ ดูแลท่านแม่รับประทานอาหารจนชินแล้ว ท่านแม่อย่าได้ปฏิเสธเลยเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงมองสายตาป้าหญิงใหญ่และป้าหญิงรองโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ใครเห็น ค้นพบว่าพวกนางทั้งสองจริงใจจริงๆ และมีความรักมากๆ ไม่ใช่พูดเท็จแต่อย่างใด
นอกจากนั้นฉินหยีหนิงกลับรู้สึกว่าบรรยากาศมีความผ่อนคลายและมีความสุข เมื่อรอจนทุกคนรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว บ่าวได้นำคนโท ถ้วยน้ำชา กะละมังเครื่องทองเหลือง ผ้าเช็ดมือมาให้เ้านายเพื่อกลั้วปากและล้างมือ พอเรียบร้อยแล้วจากนั้นจึงเริ่มยกน้ำชา
ฉินหยีหนิงกลับมาอยู่ในบ้านผู้ดีเป็ครั้งแรก แน่นอนว่านางเป็จุดสนใจในสายตาจากคนอื่นๆ พี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ แอบมองและสังเกตที่นาง ฮูหยินติ้งกั๋วกงก็ยิ่งสังเกตท่าทางทุกอิริยาบถของฉินหยีหนิง พบว่าท่าการนั่งของนางนั้นสง่าผ่าเผย หลังเหยียดตรง นางดูมีพลัง มีความมั่นคง และมีในสิ่งที่ลูกผู้ดีพึงมี นั่นก็คือ มีกาลเทศะกับความนอบน้อม ท่าทางและมารยาทไม่มีผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย หากไม่มีคนบอกเกี่ยวกับอดีตของนาง คงไม่มีผู้ใดทราบว่านางเพิ่งกลับเข้าตระกูลมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ฮูหยินติ้งกั๋วกงพยักหน้าโดยที่ไม่มีใครเห็น
เด็กคนนี้มีความขยันที่จะเรียนรู้ มีความฉลาดเฉลียวด้านสติปัญญาก็เป็อีกด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งนั้นนางสามารถเข้าใจสถานการณ์และปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม เมื่อนางรับรู้สถานการณ์ได้ชัดเจนแล้ว จากนั้นก็มีความแน่วแน่ด้านการปฏิบัติ
ซุนซื่อมีคนเช่นนี้อยู่ข้างๆ กาย ถ้ามีปัญหาอย่างน้อยก็สามารถบอกซุนซื่อได้หลายประโยค ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ซุนซื่อตัวคนเดียวและเป็ปืนให้ฉินฮุ่ยหนิง ตอนนี้ฮูหยินติ้งกั๋วกงก็สามารถวางใจเล็กน้อย
“พวกเ้าเอาฉากกั้นออกไปเถิด ต่างก็ไม่ใช่คนนอก หยีเจี่ยร์ก็ควรเจอท่านตาของเ้าเสียที”
“เ้าค่ะ” บ่าวหลายคนมาช่วยยกฉากไม้กั้นออกไป
แม่นมเปาเดินไปที่หน้าประตู นางมองไปที่บ่าวข้างในห้องเพียงแค่พริบตาเดียว บ่าวทั้งหลายก็รับรู้และต่างพากันเดินตามแม่นมเปาออกไปจากห้องอุ่น จากนั้นก็ปิดประตูและมายืนรออยู่ที่ประตูหน้าเรือนเผื่อเ้านาย้าเรียกใช้
ข้างในห้องเหลือแค่คนในครอบครัวเท่านั้น
ติ้งกั๋วกงกับฮูหยินติ้งกั๋วกงต่างก็ลุกขึ้นยืน มานั่งยังเก้าอี้อีกตัว พี่สาวน้องสาวต่างก็นั่งอยู่ข้างๆ ตามลำดับสถานะของตน
ฉินหยีหนิงคุกเข่าอยู่บนพรมลายดอกไม้หลายสีเพื่อคำนับให้กับติ้งกั๋วกง “หยีเจี่ยร์ กราบท่านตา”
“ลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงของติ้งกั๋วกงค่อนข้างทุ้มต่ำ เสียงชัดเจนราวกับระฆัง หลังจากฟังก็รู้ได้ว่าร่างกายของติ้งกั๋วกงนั้นแข็งแรงดีมาก
ฉินหยีหนิงแหงนหน้ามองอย่างรวดเร็ว พลางพินิจขณะที่ใช้เวลาในการมองนั้น ติ้งกั๋วกงอายุเกือบเจ็ดสิบปี ร่างสูง ผิวพรรณแดงก่ำและดวงตาเต็มไปด้วยพลัง เป็ชายชราที่สง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง
ติ้งกั๋วกงเอ่ยถามผู้เป็ฮูหยิน “ไม่ใช่ว่าเ้ามีของขวัญแรกเจอให้กับหยีเจี่ยร์หรอกหรือ?”
“ข้ากำลังจะคุยกับหยีเจี่ยร์อยู่พอดีเลย” ฮูหยินติ้งกั๋วกงยกถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ยื่นส่งไปให้ติ้งกั๋วกง จากนั้นก็แกล้งทำเป็โกรธและเอ่ยขึ้น “ก็มีเ้านี่แหละที่เป็คนดี คำพูดที่ข้าจะพูด กลับถูกเ้าแย่งข้าพูดไปอีกแล้ว”
ติ้งกั๋วกงหัวเราะดัง “ฮ่าๆ” จนชาที่เพิ่งดื่มไปอึกหนึ่งเกือบถูกพ่นออกมา “พวกเ้าดูสิดู อายุเท่าไรแล้ว ยังกล่าวหาข้าอีก”
คุณหนูทั้งหลายและคุณชายใหญ่ต่างก็คุ้นเคยกับท่าทีของท่านตากับท่านยายเช่นนี้ จึงส่งเสียงหัวเราะออกมา
ฉินหยีหนิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปด้วย
ความสัมพันธ์ของท่านตากับท่านยายดียิ่งนัก
ครอบครัวนี้ทุกคนล้วนเป็คนดี หากเปรียบเทียบกับจวนอัครมหาเสนาบดี ที่นั่นมีความเ็ามากกว่า ผู้คนก็ยากที่จะสานสัมพันธ์มากกว่าด้วย
ฮูหยินติ้งกั๋วกงโบกมือเรียกฉินหยีหนิง
ฉินหยีหนิงเดินไปอยู่ข้างๆ ฮูหยินติ้งกั๋วกงอย่างเชื่อฟัง
“เด็กดี หลายปีมานี้เ้าอยู่ข้างนอกลำบากมามาก วันนี้ถือเสียว่าเป็ต้นทางร้ายปลายทางดี” ฮูหยินติ้งกั๋วกงตบหลังฉินหยีหนิงเบาๆ ด้วยความรักและความเอ็นดู จากนั้นพูดต่ออีกประโยค
“ตอนนี้ยายขอมอบ ‘จ้าวหยุนซือ’ ให้แก่เ้า หลังจากนี้เป็ต้นไป เ้าจะต้องรับผิดชอบในการจัดการกิจการนี้ และผลกำไรของกิจการจะเป็ของเ้าคนเดียว เ้าไม่จำเป็ต้องมอบมันให้กับแม่ของเ้าหรือใครก็ตาม ให้กิจการการค้าแก่เ้า ข้อหนึ่ง ก็เพื่ออยากจะให้เ้าได้เรียนรู้การจัดการกิจการและฝึกฝนทักษะ ในอนาคตเ้าจะต้องออกเรือนไป จะต้องจัดการงานบ้านงานเรือน เ้าจะได้มีพื้นฐานความรู้เอาไว้อยู่แล้ว ข้อสอง นี่ก็ถือว่าเป็เงินที่ยายให้เ้าเล็กๆ น้อยๆ มีหลายเื่ที่จะต้องใช้เงินนะ”
ฉินหยีหนิงฟังคำพูดของท่านยายอย่างเชื่อฟัง ปลายหางตาชำเลืองมองผู้คนโดยรอบเห็นปฏิกิริยาของทุกคนนั้นผิดปกติไปเล็กน้อย โดยเฉพาะฉินฮุ่ยหนิง เพราะทันทีที่ถ้อยคำดังกล่าวจบลง นางกัดริมฝีปากล่างของตนอย่างแรง นางก็คงจะรู้ว่าจ้าวหยุนซือเป็ของดี
ทว่าจ้าวหยุนซือเป็กิจการเกี่ยวกับอะไร ฉินหยีหนิงกลับไม่ทราบเลย
นางรู้แค่เพียงว่า กิจการนี้จะต้องมีกำไรไม่น้อย เป็กำไรที่มหาศาลเลยทีเดียว ให้นางอย่างเรียบๆ ง่ายๆ เช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย ดังนั้นสัญชาตญาณของนางเริ่มมีความสงสัยเกิดขึ้นมาแล้ว
ฉินหยีหนิงมองไปที่ฮูหยินติ้งกั๋วกงด้วยอาการกระวนกระวาย “ท่านยาย ข้าจัดการเป็เสียที่ไหนเ้าคะ”
“เ้าเด็กโง่ เบื้องล่างแน่นอนว่ามีคนทำงานให้เ้าอยู่ ข้าจะส่งเอกสารต้นฉบับของหัวหน้าจงต้ามาให้เ้าทั้งหมด เขาเป็คนที่ใช้ได้ เ้าวางใจก็ได้แล้ว”
หมายความว่าฉินหยีหนิงมีชื่อเป็เ้าของ วันข้างหน้าก็นั่งรอกินผลกำไรอย่างนั้นหรือ?
นางยิ่งเพิ่มความกังวล
ฉินหยีหนิงไม่เคยคิดว่าบนโลกนี้จะมีอาหารกลางวันให้กินฟรีโดยไม่ต้องแลกกับอะไร แต่นางก็รู้ว่าท่านยายไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน
ซุนซื่ออยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเข้า นางก็นั่งไม่ติด “ท่านแม่ นางเป็เพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น จะไปเข้าใจวิธีดูแลกิจการได้อย่างไรกันเ้าคะ กิจการจ้าวหยุนซือใหญ่โตถึงเพียงนั้น นางอาจไม่เข้าใจเื่การจัดการก็ได้ ขาดทุนเป็เื่เล็ก แต่หากไปกระทบกระทั่งกับคนอื่นเข้า จะไม่ใช่การหาเื่ใส่ตัวให้คนในครอบครัวหรือเ้าคะ? อีกอย่างข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนจ้าวหยุนซือมีิเกอร์เป็เ้าของไม่ใช่หรือเ้าคะ? ตอนนี้กลับให้หยีเจี่ยร์ จะได้อย่างไรกันเ้าคะ”
ฉินหยีหนิงตกตะลึง จากนั้นเบนสายตาไปที่ซุนหยู่ซึ่งกำลังมองมาที่นางด้วยสายตาอ่อนโยน
“ท่านอาหญิงไม่ต้องคิดมาก งานในราชสำนักของข้ารัดตัวเหลือเกิน ไหนจะต้องอ่านหนังสือ ไหนจะต้องไปพบปะผู้คน ไม่สามารถเอาเวลาไปจัดการจ้าวหยุนซือได้หรอกขอรับ ท่านยายได้ใช้ที่นากับร้านค้ามาแลกกับข้าแล้ว ข้าเพียงแค่นั่งรอกินผลกำไรก็ได้แล้ว” ซุนหยู่ยิ้มพูด “วันข้างหน้าคงต้องให้น้องหญิงทุ่มเทในการดูแลกิจการนี้แทนพี่แล้วละขอรับ”