หลิวตงจวิ้นยกมือขึ้นลูบผมนุ่มของบุตรสาวที่เอ่ยปลอบใจเขาเหมือนผู้ใหญ่ด้วยสายตาอ่อนโยน เจิ้งซูอี้ไม่เคยชินกับสายตาเช่นนี้ของหลิวตงจวิ้นเพราะนางใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษตลอดมา จึงรู้สึกเกร็งและขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะนี่ก็สายมากแล้ว จะได้รีบกลับมาให้ทันมื้อเย็น”
เจิ้งซูอี้พยักหน้าให้หลิวตงจวิ้นจากนั้นทั้งสองก็ขึ้นเขาไป หวังเจียอี๋มองตามสองพ่อลูกไปด้วยความเป็ห่วง เมื่อขึ้นเขามาได้สักพักเจิ้งซูอี้จึงพาหลิวตงจวิ้นมาดูหลุมดักสัตว์ที่นางและหลิวซีฮันขุดเมื่อวาน หลิวตงจวิ้นมองรอยเืที่แห้งกรังข้างหลุมขนาดไม่ใหญ่นัก เขาไม่รู้ว่าเป็เพราะฝีมือหรือดวงของบุตรสาวของเขาที่มันดีมากกันแน่ ถึงได้จับหมูป่าได้ทั้งที่ใช้แค่หลุมเล็กๆ เท่านั้น
“อันเอ๋อ ครั้งหน้าลูกอย่าเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้คนเดียวอีกถึงแม้ลูกจะบอกว่าลูกมั่นใจในฝีมือตนเองแต่พ่อก็ยังเป็ห่วงอยู่ดี เคยได้ยินหรือไม่ว่านายพรานมักจะพลาดเพราะสัตว์ป่าที่ตนเองล่า”
เจิ้งซูอี้เข้าใจที่เขาเป็ห่วงหลิวอันอัน นางพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
“เ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
่เย็นตะวันคล้อยใกล้ลาลับ หวังเจียอี๋ยืนอยู่หน้าเรือนอย่างกระวนกระวายใจรอคอยคนที่นางเป็ห่วงทั้งสอง สองร่างที่มองเห็นอยู่ไกลๆ คนหนึ่งสูงใหญ่อีกคนตัวเล็กเดินตามกันออกมาจากูเา บนไหล่ของหลิวตงจวิ้นมีกวางกำลังแตกหนุ่มตัวใหญ่ ด้านหลังของเขามีเจิ้งซูอี้สะพายตะกร้าตามมา ในตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่มีไก่ป่าที่ถูกยิงด้วยธนูหลายตัว สองพ่อลูกวางสัตว์ที่พวกเขาล่าเอาไว้หลังบ้านเพราะเจิ้งซูอี้ไม่อยากให้เป็ข่าวลือเหมือนครั้งหมูป่า นางรำคาญคนตระกูลหลิวเกรงว่าหากพวกเขารู้แล้วจะกลับมาก่อกวนที่นี่อีก
“ว้าว!!ท่านแม่มาดูสิ ไก่ป่าเต็มเลย”
หลิวซีฮันะโโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจ เขาไม่เคยเห็นท่านพ่อล่าสัตว์ได้มากมายขนาดนี้มาก่อนเลย ครั้งนี้หลิวตงจวิ้นไม่ได้ไปตามสหายให้มาช่วย เขากับเจิ้งซูอี้ทำกันแค่สองคน
เจิ้งซูอี้เมื่อครั้งอยู่ที่กองทัพนางเคยขึ้นเขาล่าสัตว์กับคนสนิทที่ติดตามนางบ่อยครั้ง เมื่อต้องชำแหละเนื้อกวางนางจึงชำนาญกว่าหลิวตงจวิ้นนัก ไม่นานกวางทั้งตัวก็ถูกแยกชิ้นส่วนออกอย่างสวยงาม หลิวตงจวิ้นหวังเจียอี๋และหลิวซีฮันไม่เคยเห็นเนื้อมากมายขนาดนี้มาก่อน พวกเขามองมันด้วยสายตาตกตะลึง
“ท่านพ่อท่านอยากจะขายเนื้อพวกนี้หรือว่าเก็บเอาไว้กินเ้าคะ”
เจิ้งซูอี้ถามหลิวตงจวิ้นที่ยังไม่หลุดออกจากภวังค์ของตนเอง เขาหันมามองบุตรสาวเมื่อได้ยินนางเรียก
“ขะ..ขายพรุ่งนี้พ่อจะเป็คนนำเนื้อพวกนี้กับไก่ป่าไปขายเอง”
เจิ้งซูอี้นิ่งคิดเล็กน้อย นางอยากจะเข้าไปในอำเภอเช่นเดียวกัน เพื่อหาข่าวเกี่ยวกับตระกูลเจิ้ง
“ท่านพ่อพรุ่งนี้ให้ข้าตามท่านไปด้วยได้หรือไม่ ข้ามีบางอย่างที่อยากได้เ้าค่ะ”
เจิ้งซูอี้หาข้ออ้างเพื่อตามหลิวตงจวิ้นเข้าไปในอำเภอ ทั้งที่ความจริงนางไม่ได้อยากได้อะไรเลย
“นั่นสิ อันอันของเราก็โตเป็สาวแล้วนี่นา เนอะ”
ประโยคสุดท้ายหลิวตงจวิ้นหันมาพูดกับภรรยาของตน ทั้งสองคนยิ้มให้กันท่าทางดูมีความสุข หลิวซีฮันยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านข้างเขาดึงแขนเสื้อของเจิ้งซูอี้เบาๆ
“ท่านพี่ข้าก็อยากไปเที่ยวอำเภอเหมือนกัน”
เจิ้งซูอี้ก้มมองร่างเล็กของน้องชาย
“ได้สิ”
นางรับปากเด็กชายที่ตัวสูงเลยเข่าของนางมาไม่มาก เพราะตลอดห้าปีพวกเขาไม่เคยได้ทานอาหารดีๆ เลยสักมื้อ ร่างกายของหลิวซีฮันจึงโตช้ากว่าเด็กทั่วไปที่อายุเท่ากัน
“ชะ..เช่นนั้นข้าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง”
เจิ้งซูอี้เลิกคิ้วมองเด็กชายที่มีท่าทางดีใจเหมือนกำลังทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนว่านี่จะเป็ครั้งแรกที่ที่หลิวซีฮันได้เข้าไปในอำเภอ
“เลิกตื่นเต้นได้แล้วมาทานข้าวกันเถอะ”
หวังเจียอี๋ดันหลังบุตรชายคนเล็กให้เดินเข้าไปในเรือน เจิ้งซูอี้มองตามทั้งสองจากนั้นนางจึงหัวเราะออกมาอย่างจนใจ
“หัวเราะทำไมหรือ หรือว่าลูกไม่ตื่นเต้นนี่ก็เป็ครั้งแรกของลูกที่ได้เข้าไปในอำเภอเหมือนกันนะ”
หลิวตงจวิ้นพูดทิ้งเอาไว้เพียงเท่านั้นเขาก็เดินตามสองแม่ลูกเข้าไปในเรือนปล่อยให้เจิ้งซูอี้ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกตามลำพัง หลิวอันอันอายุเท่าไหร่กันสิบสี่หรือสิบห้า เหตุใดนางถึงไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย ที่เจิ้งซูอี้สงสัยเช่นนั้นก็ไม่แปลกเพราะแม่เฒ่าจางกดขี่คนในบ้านหลิวตงจวิ่นให้ทำงานตลอด อย่าว่าแต่ออกจากเรือนเลยแค่หายไปเวลานางเรียกหาก็ต้องถูกตีแล้ว เจิ้งซูอี้ส่ายหัวเลิกคิดถึงเื่นั้น
วันต่อมาใน่เช้ามืดหลิวตงจวิ้นและเจิ้งซูอี้ได้เตรียมเนื้อกวางและไก่ป่าที่พวกเขาจับมาเมื่อวานใส่ในรถลากที่หลิวตงจวิ้นยืมมาจากสหายของเขา หลิวซีฮันยังคงสะลึมสะลือเพราะตอนนี้ยังไม่สว่างดี หวังเจียอี๋ท่านแม่ของเขาต้มน้ำให้เด็กชายล้างหน้าจากนั้น ทำเจียนปิ่งไส้เนื้อให้พวกเขาทั้งสามคนนำติดตัวไปกินระหว่างทาง
อำเภอหลิงจือห่างจากหมู่บ้านตระกูลสือราวยี่สิบลี้ พวกเขาออกเดินั้แ่เช้ามืดใช้เวลาลาราวหนึ่งชั่วยามก็มาถึงแล้ว เมื่อฟ้าสางหลิวตงจวิ้นและเจิ้งซูอี้ก็เดินมาถึงทางเข้าอำเภอ พวกเขาเข็นรถลากตรงไปที่เหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอหลิงจือที่มีชื่อว่าเหลาอาหาร ฮุ่ยเหอ ด้านข้างมีชาวบ้านหลายคนที่นำวัตถุดิบมาขายให้ที่นี่ หลิวตงจวิ้นเองก็เป็ขาประจำเช่นกัน
“อ้าวหลิวตงจวิ้นมาแล้วหรือหายไปหลายวันเลยนะวันนี้มีอะไรมาเล่า”
ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีทักทายหลิวตงจวิ้นด้วยท่าทางเป็กันเอง
“พอดีมีธุระนิดหน่อยเลยไม่ได้ขึ้นเขาขอรับ ผู้ดูแลหม่าวันนี้ข้ามีเนื้อกวางมาด้วยชำแหละเรียบร้อยไม่ทราบว่าท่านจะรับซื้อหรือไม่”
หลิวตงจวิ้นคุยกับผู้ดูแลกหม่าด้วยท่าทางนอบน้อม เจิ้งซูอี้มองภาพนั้นแล้วนางได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ เหตุใดเขาต้องทำถึงเพียงนี้หากที่นี่ไม่รับซื้อก็แค่ไปที่อื่น จำเป็ต้องทำตนเองให้ดูต่ำต้อยขนาดนี้เลยหรือก็แค่ผู้ดูแลเหลาอาหารเล็กๆ เท่านั้น
เพราะนางอยู่ที่สูงมาตลอดนางเลยไม่เคยเข้าใจชาวบ้านธรรมดาที่ต้องหาเช้ากินค่ำ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำตัวเย่อหยิ่งเพราะสำหรับผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือแล้วนั้นเพียงแค่โบกมือเบาๆ พวกเขาก็ย่อยยับแล้ว สำหรับชาวบ้านตาดำๆ ความนอบน้อมเท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขาอยู่รอดได้
“อันเอ๋อวันนี้เราขายเนื้อกวางกับไก่ป่าได้ตั้งห้าตำลึงเชียว ลูกบอกมาเลยว่าอยากได้อะไร พ่อจะซื้อให้ทั้งนั้น”
หลังจากขายเนื้อกวางและไก่ป่าเสร็จพวกเขาก็เดินย้อนกลับมาทางตลาด เผื่อว่าบุตรสาวและบุตรชายจะอยากซื้ออะไรบ้าง หลิวซีฮันที่นั่งอยู่ในรถลากจ้องมองสิ่งต่างๆ ที่ดูแปลกใหม่เต็มไปหมด เขาไม่เคยเห็นคนมากมายเพียงนี้ ท่าทางตื่นเต้นจนเกินเหตุของเขาทำให้เจิ้งซูอี้หัวเราะออกมาอย่างจนใจ
“ข้าอยากกินถังหูลู่”
สายตาวิบวับของหลิวซีฮันเรียกรอยยิ้มของสองพ่อลูกได้เป็อย่างดี เจิ้งซูอี้เดินไปซื้อถังหูลู่ที่เด็กชายอยากกินมาให้เขาสองไม้ แต่นางยังไม่ทันที่จะได้ยื่นถังหูลู่ให้เด็กชายก็ถูกคนเดินกระแทกจนถังหูลู่สองไม้หล่นจากมือนาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้