คราวนี้ ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
ข่าวลือในหมู่บ้านนั้นร้ายกาจที่สุด ในบรรดาชาวบ้านไม่กี่คนนี้ โดยเฉพาะนางจาง ทุกครั้งที่เสิ่นม่านเดินผ่านปากทางหมู่บ้าน นางมักจะเป็คนที่แต่งเื่นินทาให้ผู้อื่นฟังนานที่สุด
เสิ่นม่านจำทุกเื่ราวได้เป็อย่างดี
เดิมทีทุกคนมุ่งหวังหนทางแห่งความมั่งคั่ง แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะคว้าน้ำเหลวและถูกด่ากราดกลับไปแทน
เสิ่นม่านออกจากครัวและเห็นหนิงโม่เดินออกจากห้องของเขาพอดี นางจึงยิ้มแย้มทักทาย
“นี่!”
หนิงโม่สะดุ้ง จากนั้นขมวดคิ้วและเอ่ยถามนาง “เ้าทำให้ชาวบ้านขุ่นเคือง ไม่กลัวว่าจะถูกพวกเขาแก้แค้นหรือ?”
เสิ่นม่านยักไหล่ “หาใช่ทุกคนในหมู่บ้านจะขุ่นเคืองข้า เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขารู้ว่า การคิดจะรังแกข้านั้นไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน ส่วนอย่างอื่น ข้ามีแผนรองรับอยู่แล้ว”
ยิ่งพูดก็ยิ่งถูก สตรีผู้นี้รูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่จิตใจกลับมองทุกอย่างได้กระจ่างนัก
หนิงโม่กำลังจะกลับเข้าห้องอีกครั้ง แต่พลันได้ยินเสิ่นม่านะโเรียกเขาไว้
“ขอบคุณที่วันนี้ช่วยข้าคลี่คลายปัญหา คืนนี้เ้าอยากกินอะไร? เทพธิดาอย่างข้าจะเพิ่มอาหารให้เ้าเอง!”
มุมปากของหนิงโม่ยกโค้งขึ้นและอดไม่ได้ที่จะกระแซะ “เทพธิดา? ไม่ใช่ปีศาจหมููเาหรอกหรือ? เ้าต้องประเมินตนเองให้ดี”
เสิ่นม่าน: “...”
เ้าจบเห่แล้ว กลางคืนมารดาจะวางยาพิษในอาหาร ให้คนซื่อบื้ออย่างเ้าขึ้น์ไปเลย!
วันรุ่งขึ้น เสิ่นม่านยังคงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อทำเต้าฮวย จากนั้นยืมเกวียนเข้าไปขายในตำบล
หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เมื่อวาน เวลาที่ชาวบ้านเห็นนางเดินผ่านก็มีคนไม่น้อยเริ่มกล่าวทักทายนาง
เสิ่นม่านไม่ทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองและกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มพอเป็พิธี จนไปถึงตำบล
นางย้ายข้าวของออกจากร้านบะหมี่โจวจี้ไปยังแผงของตนเอง เมื่อไปถึงที่แผง ขณะที่เพิ่งตั้งแผงเรียบร้อยก็มีลูกค้าไม่น้อยมาเยี่ยมเยียน
แผงลอยขนาดเล็กของเสิ่นม่านไม่ได้ตั้งโต๊ะ ลูกค้าบางส่วนจึงยกถ้วยไปนั่งกินข้างทาง แล้วยังมีบางส่วนที่นำภาชนะของตนเองมาห่อกลับไป เพื่อให้คนในครอบครัวได้ลิ้มรสแสนโอชะของเต้าฮวย
การค้าขายค่อนข้างคึกคัก
เสิ่นม่านยุ่งมากจนเท้าไม่ติดพื้น กระนั้นลูกค้าก็ยังไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด รอจนเต้าฮวยในถังเริ่มถึงก้นถัง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นของชายผู้หนึ่งดังขึ้น
“แม่นางเหลย!”
เสิ่นม่านเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นชายกลางคนที่ใบหน้าคุ้นเคยและกำลังส่งยิ้มให้นาง
“ที่แท้เ้าก็คือเ้าของแผงเต้าฮวยหรอกหรือ เช่นนั้นยิ่งดี เ้ายังเหลือเต้าฮวยอีกกี่ถ้วย? ข้าขอเหมาหมด!”
คำพูดของเขาได้สร้างความบาดหมางอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีคนอีกไม่น้อยที่ยังไม่ได้กิน แต่การแต่งกายของชายวัยกลางคนผู้นี้หาได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไปไม่ อีกทั้งเมื่อเห็นเงินก้อนที่เขาล้วงออกมาวางบนโต๊ะแล้ว จึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
เสิ่นม่านนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้คือใคร ครั้งที่แล้วนางสวมรอยวีรบุรุษเหลยเฟิงช่วยทวงคืนถุงเงินให้เขา
มิน่าพอเห็นนางก็เรียกว่า ‘แม่นางเหลย’
เสิ่นม่านถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย จากนั้นมองดูเงินก้อนนั้นและพินิจชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้น “เงินของท่านก้อนใหญ่โตเกินไป ข้าไม่มีทอน อีกอย่างเต้าฮวยของข้าเหลือไม่มากนัก คิดแค่สิบห้าอีแปะก็พอ”
ชายวัยกลางคนแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มอย่างเก้อเขิน
“ข้าเลินเล่อเอง แม่นางเหลยเป็ผู้มีคุณธรรมสูงส่ง แล้วข้าจะเอาเงินมาลบหลู่ได้อย่างไร? ต้องขออภัยจริงๆ วันนี้ข้าออกมารีบร้อนเกินไป จึงไม่ได้นำเงินอีแปะมาด้วย หากเ้าไม่ถือสาละก็ ช่วยนำเต้าฮวยเหล่านี้ไปส่งที่บ้านข้าได้หรือไม่ ข้าจะได้จ่ายเงินย่อยให้เ้า”
เสิ่นม่านตอบขณะที่ตักเต้าฮวย “เช่นนั้นย่อมเป็การดี”
หลังจากเก็บแผงเรียบร้อย เสิ่นม่านก็หอบเต้าฮวยเดินตามชายวัยกลางคนเข้าไปยังเรือนหลังใหญ่ในตำบล
ระหว่างทางได้สนทนากันไม่กี่ประโยค เสิ่นม่านถึงได้รู้ว่า คืนนั้นคนที่นางช่วยไว้ก็คือพ่อบ้านตระกูลจางที่ใหญ่โตในตำบล นามว่าจางอี้
คืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ภรรยาของจางอี้คลอดบุตรและเสียเืเป็จำนวนมาก ประจวบกับหมอประจำตระกูลจางลากลับบ้าน เขาจึงต้องรีบร้อนออกมาเชิญหมอ เงินในถุงก็คือเงินที่เอาไว้สำหรับช่วยชีวิตภรรยาของเขา
หากไม่ใช่เพราะเสิ่นม่าน เดาว่าคืนนั้นภรรยาของเขาคงรอจนหมอมาไม่ไหว
ทั้งคู่เดินสนทนากันระหว่างทาง กระทั่งมาถึงจวนตระกูลจาง
ตระกูลใหญ่สมชื่อ นอกจากประตูใหญ่ด้านนอกที่ดูโอ่อ่าแล้ว พอเข้าไปด้านในก็ยิ่งเหมือนทะลุไปยังอีกหนึ่งโลก
ลำพังสาวใช้ที่เห็นระหว่างทางก็มีนับยี่สิบคนได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงบริเวณโถงทางเดิน และเรือนต่างๆ อีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสวนที่สวยงามไม่แพ้สวนซูโจวในยุคปัจจุบันอีกด้วย
เสิ่นม่านเดินไปพลางครุ่นคิด ต่อไปหากหาเงินได้เยอะๆ นางจะต้องสร้างสวนสวยงามเช่นนี้ให้ได้
สวนดอกไม้ขนาดย่อมนี้ ทั้งที่ใกล้ถึงฤดูหนาวแล้วแต่ดอกไม้หลากหลายสีสันด้านในยังคงบานสะพรั่ง นำความสดชื่นสู่จิตใจยิ่งนัก!
คนทั้งหลายเดินผ่านสวนที่ตกแต่งด้วยศาลาและูเาจำลอง เมื่อเดินผ่านสวนหย่อมที่งดงามเป็พิเศษนี้ไป ก็เจอกับเรือนหลังหนึ่ง เสิ่นม่านรับรู้ได้ทันทีว่า จางอี้รวมถึงบ่าวทุกคนที่เห็นระหว่างทาง ทุกคนต่างก็มีสีหน้าตึงเครียดและไม่กล้าหายใจแรง
หรือว่าเ้าของเรือนหลังนี้จะรับใช้ยาก?
เสิ่นม่านไม่้าสร้างปัญหา จึงตั้งใจแน่วแน่ว่าพอได้เงินก็จะรีบจากไป
ใครจะรู้ว่าเพียงเดินผ่านระเบียงฝั่งตรงข้ามประตู เสิ่นม่านก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังออกมาจากในเรือน จากนั้นก็มีชายไว้เคราแพะคนหนึ่งเดินออกมา โดยสะพายล่วมยาไว้ด้านหลัง เดาว่าคงจะเป็หมอ
ท่านหมอลูบเคราพลางถอนหายใจและส่ายหน้า
“โรคของคุณชายลิ่งนี้ เกรงว่าคงฝืนได้ไม่เกินหนึ่งขวบ ข้าน้อยพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วขอรับ...”
ผู้ที่เดินตามออกมาคือชายหนุ่มอายุยังน้อย รูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน พอได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าก็ซีดขาวและแทบจะยืนไม่มั่นคง
บางทีคงเพราะยอมรับบทสรุปนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ “ไม่มีทางอื่นจริงๆ หรือ? ท่านหมอโปรดเมตตา ลูกของข้าอายุเพิ่งสามเดือน ข้ายินยอมแลกด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี ขอร้องท่านช่วยคิดหาหนทางด้วยเถิด...”
“อนิจจา หมอที่รักษาผู้คนมาครึ่งค่อนชีวิตเช่นข้า เห็นเด็กทารกมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคน ไม่เคยเห็นผู้ใดมีอาการเหมือนคุณชายลิ่งที่ไม่สามารถยอมรับนมจากมารดาได้ กระทั่งข้าวบดกับนมวัวก็ไม่สามารถย่อยได้… เฮ้อ ข้าไม่อาจรักษาโรคแปลกประหลาดเช่นนี้ของคุณชายลิ่งได้จริงๆ ท่านลองไปหาหมอหลวงในเมืองหลวงเถิด!”
หลังจากหมอพูดจบ เขาก็จากไปอย่างหนักใจ
เมื่อเสิ่นม่านได้ยิน นางอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในเรือนด้วยความสงสัยใคร่รู้ นางเห็นเพียงเงาคนด้านในและเสียงสตรีร่ำไห้ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ส่วนชายหนุ่มอายุน้อยผู้นั้นได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยอาการเหม่อลอย ราวกับท่อนไม้ที่แข็งทื่อ
เฮ้อ ช่างน่าเสียดาย อายุยังน้อยแต่กลับต้องแบกรับความโศกเศร้าหนักหนาเช่นนี้
หากต้าเป่าเป็อะไรไป แม้นางจะต้องทุบหม้อข้าวตนเองก็ต้องรักษาเขาให้จงได้
หัวใจของผู้เป็บิดามารดาช่างน่าสงสารนัก! เสิ่นม่านอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
สำหรับทารกในโลกยุคปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่พึ่งพาการดื่มนมจากเต้าหรือข้าวบดนมวัวในการรับสารอาหาร หากไม่สามารถรับสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นนั้นคงเป็ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องแน่นอน
ในระยะยาว เด็กจะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง สิ่งที่ทำได้มีเพียงรอวันเสียชีวิต
ถ้ามีนมผงคงจะดี ไม่แน่ว่าอาจสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
เดี๋ยวก่อนนะ นมผง!
แม้ว่านางจะทำไม่เป็ แต่ในระบบก็มีสูตรนี่นา!
หากว่าสูตรของนางใช้ได้ เช่นนั้นคงจะสร้างสามารถความสุขให้แก่มารดาทั่วทั้งแผ่นดินเป็แน่!
เสิ่นม่านเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหันและสบตากับเ้าบ้านสกุลจางผู้นั้นพอดี นางหักห้ามความตื่นเต้นในใจไว้พร้อมเดินตรงไปด้านหน้าเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ให้ข้าเข้าไปดูอาการของลูกท่านได้หรือไม่? ข้าคิดว่า… ข้าอาจจะพอมีหนทางรักษาเขาได้”
-----