15
“เราขอปฏิเสธนะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าปฏิเสธไง ปฏิเสธทุกข้อเสนอไม่ว่านายจะเสนออะไรมา เราก็ขอปฏิเสธทั้งหมด” บนดาดฟ้าที่เดิมที่เคยพบเจอ เจแปนก็บอกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เมื่อเขาได้ไตร่ตรองมาดีแล้วและคิดว่าการตัดสินใจนี้ มันคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
เจแปนรักพอร์ต ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรักกำลังจะกลับมาดีอีกครั้ง เพราะงั้นเจแปนก็ไม่ควรทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง
“งั้นเราขอถามเหตุผลหน่อยได้ไหมว่าทำไม” พัตเตอร์ถามกลับมาหน้านิ่ง ไม่มีการแสดงออกว่าเ้าตัวกำลังรู้สึกแบบไหนอยู่ หลังได้รับการปฏิเสธจากเจแปน
“ทุกอย่างในชีวิตเรามันกำลังเป็ไปได้ดีแล้ว เราไม่อยากให้มันต้องพังลงไป”
“กำลังเป็ไปได้ดีงั้นเหรอ” อีกฝ่ายถามกลับทันที คล้ายกับไม่อยากเชื่อหูว่าเจแปนจะพูดแบบนี้จริง ๆ
“ทำไมถึงคิดว่าชีวิตของตัวเองกำลังเป็ไปได้ดีล่ะ อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น?”
“ที่ผ่านมาชีวิตของเรามันก็เป็ไปด้วยดีมาโดยตลอดนะ เพียงแต่ว่า...”
“ความรักมันห่วยแตก” พัตเตอร์เติมคำพูดให้ และนั่นก็ทำให้เจแปนถึงกับชะงักไปเล็กน้อย อยากจะเถียงกลับไปแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะมันคือเื่จริง
มันก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่านั่นแหละ เื่เดียวในชีวิตของเจแปนที่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จเลย นั่นก็คือเื่ความรักของเขา
“นั่นแหละ มันเคยห่วยแตกแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้วไง” เจแปนว่าพร้อมจ้องพัตเตอร์ด้วยสายตานิ่ง ๆ เหมือน้าสื่อความหมายบางอย่างให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“คราวนี้มันมาหลอกอะไรอีกล่ะ ถึงได้กลับไปหลงมันแบบหัวปักหัวปำแบบนั้น” พัตเตอร์ถามต่อ ทว่านั่นกลับไม่ใช่ประเด็นที่เจแปนจะต้องให้ความสนใจ
“นี่นายพูดถึงเ้าของร่างตัวจริงแบบนั้นได้ยังไง ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีนายนะ” เขาท้วง
“แล้วใครจะสน? มันนับว่าเป็บุญคุณหรือไง”
“...”
“ขอร้องล่ะเจแปน โลกของเรามันไม่มีเื่บาปบุญหรือบุญคุณอะไรแบบนั้นหรอกนะ” ว่าจบ คนตรงหน้าก็กลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“โอเค ฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะ” เจแปนพูดเสียงแ่แล้วพูดเข้าประเด็นอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ทั้งสองเสียเวลากันมากกว่านี้
“ตกลงเอาตามนี้นะ ฉันขอปฏิเสธข้อเสนอของนาย ส่วนนายจะทำอะไรต่อก็เื่ของนายแล้วกัน ฉันขอไม่ข้องเกี่ยวอะไรทั้งนั้นแล้วก็จะทำเป็ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของนายด้วย” เจแปนร่ายยาว เมื่อจู่ ๆ เขาก็อยากผลักปัญหาออกให้พ้นตัวเสียดื้อ ๆ ไม่อยากจะมาแก้ปัญหาอะไรทั้งนั้น เพราะเขาคิดว่าเขาไม่สามารถแก้มันได้
“ทำอะไรก็ได้ แปนหมายความว่าแบบนั้นจริง ๆ ใช่ไหม”
“...”
“พอเราถามก็เงียบใส่กันอีก”
“แล้วนายคิดจะทำอะไรล่ะ?” เจแปนถามกลับไปอย่างไม่ไว้ใจ เมื่อเขาเห็นสายตานึกสนุกของพัตเตอร์ แม้มันจะปรากฏขึ้นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น แต่เจแปนก็มองเห็นมันอยู่ดี ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลย
“ยังคิดไม่ออกเลยแฮะ แต่ต่อให้เราคิดออกเราก็ไม่บอกแปนหรอก เพราะแปนเพิ่งบอกกับเราว่าเราจะทำอะไรมันก็เื่ของเรานี่” พัตเตอร์ตอบกลับมาทั้งหน้าตาย และนั่นก็ทำให้เจแปนเริ่มเกิดความลังเลขึ้นมาว่าสรุปแล้วเขาคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ตัดสินใจแบบนี้
ดูเหมือนพัตเตอร์จะมีเื่สนุกที่มันสามารถสร้างความปวดหัวให้เขาได้รอเอาไว้อยู่
“ขอเปลี่ยนคำพูดได้หรือเปล่า” เจแปนตัดสินใจพูดมันออกไป หลังเขาคิดว่าตัวเองไม่สามารถหันหลังแล้วเดินออกมาจากปัญหานี้ได้จริง ๆ
“จะเปลี่ยนคำไหนล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับมา
“เื่การตัดสินใจ” เขาเอ่ย “เราขอเอาเื่นี้ไปคิดอีกครั้งก็แล้วกัน”
“แล้วถ้าเราบอกว่าเราไม่ให้เวลากลับไปคิดแล้วล่ะ แปนจะว่ายังไงต่อ?” พัตเตอร์ถามกลับมา ทำเอาเจแปนที่ตั้งใจจะถอยกลับไปตั้งหลักก่อนเกิดอาการชะงักไปเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่คิดว่าพัตเตอร์จะบอกแบบนี้
“เราไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ นั่นก็หมายความว่าแปนจะต้องตัดสินใจั้แ่ตอนนี้เลยว่าจะเอายังไงกันแน่” อีกฝ่ายพูดต่อเสียงเรียบ “มันมีทางเลือกแค่สองทางเองนะแปน ถ้าแปนลังเลที่จะเลือกอีกทางหนึ่ง นั่นก็หมายความว่าแปนต้องเลือกอีกทางหนึ่งสิ”
“...”
“ทุกอย่างมันก็มีแค่เท่านี้เอง แล้วแปนจะทำให้มันซับซ้อนไปทำไม”
“ก็การตัดสินใจเรามันส่งผลต่ออนาคต เราก็ต้องใช้เวลาคิดเป็พิเศษสิ” เจแปนแย้งกลับไป
“ถ้าแปนเลือกเรา ทุกอย่างมันจะดีแน่นอน... เชื่อเราสิ” พัตเตอร์พูด พยายามจะโน้มน้าวกันอย่างสุดกำลัง
“แล้วอะไรที่ทำให้นายมั่นใจแบบนั้น” เจแปนถามกลับไปด้วยความใคร่รู้ โดยเขาก็เลือกที่จะหยิบเอาคำพูดที่อีกฝ่ายเคยถามกันในตอนแรกขึ้นมาใช้
“ก็เพราะเรารู้ไงว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในหลังจากนี้” พัตเตอร์ให้คำตอบกลับมา ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้ขยายความต่อว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่
“เย็นนี้พวกกูว่าจะแวะไปดูสตูดิโอ มึงอยากไปด้วยกันไหม”
“งั้นก็หมายความว่าพวกมึงจะทำนิตยสารก่อนเหรอ”
“อือ พอคิด ๆ ดูแล้ว มันก็คงต้องเป็งั้นแหละ เพราะถ้าเทียบกันนิตยสารมันใช้เวลานานกว่าเขียนบทอีกนะ เพราะเราต้องทำงานร่วมกับคนอื่นด้วย พวกนายแบบนางแบบอีก สรุปมึงจะไปดูด้วยกันไหม?” บัวถามขึ้น ระหว่างที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่ในโรงอาหารแล้วรอให้เพื่อนคนอื่น ๆ เดินทางมาที่นี่
“เดี๋ยวกูแวะไปด้วยก็ได้ ถ้าถูกใจก็จะได้หารด้วยก็แล้วกันนะ ว่าแต่ว่ามึงได้คนมาขึ้นปกแล้วเหรอ” เจแปนถามกลับไป
“ได้แล้ว กูให้แฟนของน้องชายมาขึ้นปกให้อ่ะ แล้วมึงได้หรือยัง”
“ยังไม่ได้หาด้วยซ้ำ”
“อ้าว ไหนตอนแรกมึงบอกจะให้แฟนมึงมาขึ้นปกให้ มันไม่ยอมช่วยหรือไง” เธอรีบถามต่อ เพราะตอนแรกเจแปนก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นจริง ๆ
“ก็มีคุยไว้บ้าง แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก” เจแปนบอกกลับไป ไม่กล้าแม้แต่จะพูดความจริงว่าเพราะเื่นี้นี่แหละ เขากับพอร์ตถึงได้ผิดใจกันมาจนมันบานปลายเช่นนี้
“มันก็ยังเป็ผู้ชายที่ใช้ไม่ได้แบบเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ นะ แต่ทำไมตอนที่ไปกินข้าวด้วยกัน มันถึงดูรักมึงจังวะ”
“...”
“เหมือนคนที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้อ่ะ ขอแค่มึงเอ่ยปากขอมันเท่านั้น ซึ่งเื่นี้มันก็เป็เื่เล็ก ๆ เอง แค่ช่วยงานแฟนอ่ะ เพราะตัวมึงก็ยังไปช่วยงานแล็บมันอยู่บ่อย ๆ เลย ทำไมไม่ลองพูดเื่นี้กับมันอีกรอบดู จะได้ประหยัดงบของตัวเองด้วย” เธอร่ายยาว ในขณะที่เจแปนก็ได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่นเท่านั้น
ใจจริงเขาอยากจะพูดทุกอย่างให้เพื่อนได้รับรู้ทั้งหมด แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง... นั่นจึงทำให้เจแปนเลือกที่จะเก็บงำความจริงนั้นไว้เพียงลำพังก็พอ ถ้าเขาไม่พูดออกไปมันน่าจะดีกว่า
หรือว่าเจแปนควรจะให้พัตเตอร์มาช่วยงานตรงส่วนนี้ของเขาดี? ่ค่ำของวัน ขณะที่เจแปนกับเพื่อนกำลังเดินทางไปดูสตูดิโอที่ตั้งใจจะเช่าใช้ถ่ายงานนิตยสารส่งอาจารย์ จู่ ๆ ประโยคนี้ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อตัวของเจแปนก็อยากทำงานนี้ให้เสร็จพร้อมกับเพื่อนเหมือนกัน
“สตูดิโอถูกใจอยู่นะเนี่ย สวยกว่าในรูปอีก ถ้าถ่ายกับแสงธรรมชาติตอนกลางวันน่าจะดีมากเลย มึงอยากหารด้วยกันไหมแปน”
“กูขอเวลาคิดก่อนนะ” เจแปนตอบเพื่อน ระหว่างที่เขาก็กำลังเดินสำรวจสตูดิโอเช่นกัน
โดยเจแปนก็ยืนคิดอยู่นานพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะให้คำตอบกับเพื่อน หลังเขาตัดสินใจว่าจะลองคุยกับพอร์ตอีกสักครั้งดูและถ้าอีกฝ่ายยังปฏิเสธเช่นเดิม เจแปนก็จะให้พัตเตอร์เป็คนมาทำหน้าที่นี้เอง เนื่องจากเขาอยากให้พอร์ตมาขึ้นปกงานนิตยสารของเขาจริง ๆ อยากจะให้ทุกอย่างมันเป็ไปตามภาพที่เขาคิดเอาไว้ในหัว ไม่อยากให้อะไรมันเปลี่ยนแปลงไป
“แล้วพวกมึงจะเช่าที่แบบครึ่งวันหรือเต็มวันอ่ะ” เจแปนถามออกไป เพราะไม่ได้มีแค่บัวเท่านั้นที่สนใจอยากเช่าสตูดิโอนี้ถ่ายงาน แต่มันยังมีเพื่อนคนอื่น ๆ ด้วย
“พวกกูคุยกันว่าพวกกูจะเช่าแบบเต็มวัน”
“โอเค ถ้างั้นกูหารค่าเช่าด้วยนะ” เจแปนตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์หาคนรัก เพื่อสอบถามว่าคืนนี้อีกฝ่ายจะมานอนด้วยกันอีกหรือเปล่า
เวลาต่อมา หลังพูดคุยเื่ค่าใช้จ่ายกับเ้าของสตูดิโอเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็รับหน้าที่ไปส่งเพื่อนสนิทไว้ที่หน้าหอพักแล้วค่อยเดินทางกลับคอนโด ซึ่งระหว่างการเดินทางกลับห้องเจแปนก็มีการคิดไปด้วยว่าเขาควรจะเริ่มคุยเื่นี้กับพอร์ตยังไงดี มันถึงจะทำให้คนรักยอมตอบตกลงเขา และทั้งสองจะไม่มีการทะเลาะกันอีก
เพราะตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มันกำลังเป็ไปได้ดีแล้ว เจแปนจึงไม่อยากจะให้มันมีปัญหาระหองระแหงเกิดขึ้น
“แล้วทำไมมันถึงต้องยากขนาดนี้ด้วยนะ ก็แค่ให้แฟนมาช่วยงานเอง” ขณะที่กำลังนั่งอยู่บนรถ เขาก็มีการพูดกับตัวเองด้วยความหงุดหงิดใจ อยากจะหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพัตเตอร์ด้วยซ้ำ แต่มันติดอยู่ที่ว่านั่นคือพัตเตอร์นี่แหละ เจแปนจึงไม่สามารถหันไปขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายได้ทันที
เพราะพัตเตอร์เองก็คงมีข้อแลกเปลี่ยนกับเขาแน่
[อันที่จริงเราก็อยากช่วยแปนอยู่นะ แต่ว่าแปนไม่คิดว่ามันจะกะทันหันเกินไปเหรอ]
“พอร์ตพูดแบบนี้ หมายความว่ายังไงอ่ะ”
[ก็ตอนนี้แปนกับเพื่อนจ่ายมัดจำค่าสตูดิโอพร้อมนัดวันถ่ายแล้วใช่ไหม แต่ว่า่นี้เราเองก็เริ่มกลับมาอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบแล้วไง]
“...”
[เราเองก็บอกแปนั้แ่คืนก่อนแล้วนะ บอกั้แ่ก่อนหน้านี้แล้วไม่ได้อยากจะเอามาอ้างเลย] คนปลายสายร่ายยาวพร้อมถอนหายใจใส่กันหนึ่งหน ในขณะที่เจแปนก็ได้แต่เอาโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เพื่อฟังเท่านั้นว่าอีกฝ่ายจะเอายังไงต่อ
“โอเค เราพอจะเข้าใจแล้วล่ะ” นานเกือบนาทีกว่าที่เจแปนจะพูดอะไรกลับไป
[แล้วตอนนี้โกรธกันหรือเปล่า หรือแปนอยากให้เราหาเพื่อนไปขึ้นปกให้ไหม เพราะเราเองก็มีเพื่อนที่หน้าตาดีอยู่หลายคนนะ พวกนั้นมันพร้อมช่วยแปนอยู่แล้ว] พอร์ตถามกลับมา คล้าย้าหาทางออกให้กับเื่นี้ ทว่าเจแปนกลับไม่้ามัน เพราะเขามีแผนสำรองรองรับเหตุการณ์นี้เอาไว้แล้ว
“ไม่เป็ไร เดี๋ยวเราจัดการเอง” เจแปนตอบกลับไปเสียงเรียบ
[แล้วโกรธไหมที่เราทำตามความ้าของแปนไม่ได้]
“ไม่โกรธ เพราะมันก็จริงอย่างที่พอร์ตว่านั่นแหละ เรามาบอกพอร์ตแบบกะทันหันเกินไปอีกอย่างก่อนหน้านี้พอร์ตก็บอกเราไปแล้วว่าต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ” เจแปนเอ่ยและพูดต่อ เมื่อเขา้าจบบทสนทนากับคนรักเพียงแค่เท่านี้ เนื่องจากเขามีธุระให้ต้องไปจัดการ
“ถ้าอย่างนั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเราไปอาบน้ำก่อน” เจแปนพูดตัดบท
[ครับ ฝันดีนะ]
“ฝันดีครับ”
[...แปน]
“หืม ว่าไง” ในจังหวะที่เจแปนเตรียมจะกดตัดสายคนรัก จู่ ๆ คนปลายสายก็เรียกรั้งกันเสียก่อน นั่นจึงทำให้เขาต้องหยุดฟัง
[เรารักแปนนะ] ว่าจบ พอร์ตก็เป็ฝ่ายกดตัดสายไปก่อน ทิ้งให้เจแปนได้แต่นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องรู้สึกแบบไหน หลังจากที่ถูกอีกฝ่ายบอกรักดี
นี่ถ้าเป็เมื่อก่อนเจแปนคงจะดีใจและยิ้มจนแก้มปริแล้ว เขาได้แต่นึกในใจ เนื่องจากเวลานี้เจแปนกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
ทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด
เวลาต่อมา หลังวางสายจากพอร์ตไปได้พักใหญ่และเจแปนก็ลุกไปจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมมองเงาของตัวเองผ่านกระจก เจแปนก็คิดไปด้วยว่าเขาควรจะเรียกหาพัตเตอร์มาตอนนี้ดีหรือไม่
“เฮ้อ ถ้าไม่พูดให้รู้เื่เดี๋ยวก็นอนไม่หลับอีก เพราะมีเวลาเตรียมตัวแค่อาทิตย์เดียวเอง” เขาพูดกับตัวเองพลางถอนหายใจหนึ่งหน ก่อนจะรวบรวมสติแล้วลองเรียกชื่อพัตเตอร์ดู
โดยร่างดอพเพลแกงเกอร์อย่างพัตเตอร์ก็จะไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาแบบทันทีทันใด เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้มีพลังวิเศษหรืออิทธิฤทธิ์ที่เหนือธรรมชาติขนาดนั้น แต่การที่เจแปนเรียกหาพัตเตอร์แบบนี้ มันจะทำให้พัตเตอร์รู้ตัวว่ามีคนเรียกหาแล้วก็จะเดินทางมาหาที่นี่ ซึ่งเจแปนก็ต้องเป็คนลงไปรับอีกฝ่ายที่ชั้นล่างของคอนโด
“นึกยังไงถึงเรียกหาเวลานี้”
“...”
“คุณหนูเจแปนอยากเรียกใช้เื่อะไรเหรอครับ”
“ทำไมนายถึงต้องพูดจาแบบนี้ด้วย ช่วยพูดแบบปกติมันไม่ได้หรือไง” เจแปนถามพัตเตอร์ทั้งอารมณ์เสีย เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่พูดจาทำนองนี้ั้แ่ที่ได้ขึ้นมาบนห้องของเขาแล้ว
“ก็เห็นแล้วมันอดไม่ได้นี่นา เหมือนเราเป็คนรับใช้แปนเลยแฮะ”
“แล้วนายจะมาโวยวายทำไมล่ะ ในเมื่อนายเองไม่ใช่เหรอที่เป็คนทำให้เื่กลายเป็แบบนี้” เจแปนถามกลับไป ซึ่งเขาก็ได้การยักไหล่ตอบกลับมาเท่านั้น จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งคู่อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เจแปนจะตัดสินใจพูดขึ้นก่อน
“ฉันอยากให้นายมาช่วยงานฉัน” เขาบอกเสียงห้วน โดยนั่นก็ทำให้พัตเตอร์เลื่อนสายตามามองกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ช่วยงานอะไร” อีกฝ่ายถามกลับทั้งเสียงกระตือรือร้น
“งานนิตยสาร ฉันอยากให้นายมาเป็แบบให้”
“หมายถึงให้เราสวมรอยเป็พอร์ตน่ะเหรอ” พัตเตอร์ถามต่อ ซึ่งเจแปนก็พยักหน้าตอบกลับไปเท่านั้น
“นึกยังไงถึงจะให้เราสวมรอย ไม่กลัวว่าเพื่อนของตัวเองหรือว่าตัวมันจับได้หรือไง” อีกฝ่ายถามพลางยืนกอดอกแล้วจ้องมองเจแปนด้วยสายตานิ่ง ๆ
“แล้วทำไมเราต้องกลัวจะถูกจับได้ด้วยล่ะ ในเมื่อตอนนั้นที่ตลาดนัดนายก็ยังเดินเข้ามาหาเรากับเพื่อน แบบไม่กลัวว่าใครจะจับได้อยู่เลยนี่” เจแปนย้อนถามกลับไปบ้าง ทำเอาพัตเตอร์ต้องระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย คล้ายกับถูกใจคำตอบ
“ก็จริง งั้นถ้าเจแปนไม่กลัวเื่นั้นก็โอเค เราพร้อมช่วย แต่ว่า...”
“...”
“เรามีข้อแลกเปลี่ยนนะ” ว่าจบ พัตเตอร์ก็สบตากับเจแปนอยูครู่หนึ่งเหมือน้าดูท่าทีของเขา แต่สิ่งที่เจแปนแสดงให้เห็นมีแค่ความนิ่งกลับไปให้เท่านั้น เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าการขอความช่วยเหลือจากพัตเตอร์ในครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้ทำให้กันฟรี ๆ
“อยากแลกเปลี่ยนกับอะไรล่ะ” เจแปนถามกลับ ขณะที่ในหัวของเขาก็คอยคิดไปด้วยว่าพัตเตอร์้าอะไรจากตัวเองบ้าง
“เราอยากอยู่กับเจแปนเป็เวลาเจ็ดวัน”
“ช่วยขยายความมากกว่านี้ที เราไม่เข้าใจ”
“หมายถึงอยู่ด้วยกันที่นี่ กินข้าวกับแปน นอนดูหนังกับแปน ใช้เวลาอยู่ในห้องนี้กับแปนเป็เวลาทั้งหมดเจ็ดวัน” อีกฝ่ายขยายความต่อ แล้วนั่นก็ทำให้เจแปนต้องนิ่งค้างไปพักหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขอเื่นี้
คราวแรกเจแปนก็นึกว่าพัตเตอร์จะขอเื่อื่นเสียอีก
“ว่ายังไงล่ะ แปนให้สิ่งที่เรา้าได้หรือเปล่า” พัตเตอร์ถามต่อ เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเขาเงียบนานเกินไป
“แล้วถ้านายทำแบบนี้ไป นายจะได้อะไรเหรอ” เจแปนตั้งคำถามต่อ หลังเขามองไม่ออกจริง ๆ ว่าพัตเตอร์จะได้อะไรจากเื่นี้
“เอาเป็ว่าเรามีเหตุผลของเราก็แล้วกัน”
“...”
“แปนจะตอบรับข้อเสนอของเราไหม ถือว่าแลกกันไง”
“ก็ได้ ถ้านาย้าแค่เท่านี้จริง ๆ งั้นเราก็ตกลงตามนี้” เพราะมันดูไม่ใช่เื่ยากอะไรนัก เจแปนจึงยอมตอบรับข้อเสนอของพัตเตอร์แบบที่ไม่ต้องใช้สมองเยอะ โดยหลังจากที่ทั้งคู่ตกลงกันด้วยคำพูดเรียบร้อยแล้ว พัตเตอร์ก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรกลับมาให้
“ถ้าอยากเรียกใช้งานวันไหนหรือมีรายละเอียดอะไรที่เราต้องรู้เป็พิเศษ แปนก็บอกเราได้ตลอดเลยนะ เรายินดีช่วยแปนเสมอ”
“แล้วเื่ข้อเสนอของนายล่ะ”
“ก็ค่อยว่ากันตอนที่เราทำงานของแปนเสร็จก็แล้วกัน”
ไม่รู้ว่าเจแปนคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่เขาตัดสินใจแบบนั้น แต่เพราะเขาได้เลือกไปแล้ว นั่นจึงทำให้เจแปนต้องก้มหน้ายอมรับความจริงที่จะเกิดขึ้นในหลังจากนี้
“นี่มึงทำหน้าเครียดั้แ่ยังไม่เริ่มถ่ายงานเลยเหรอแปน ติดปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า ๆ ไม่ได้ติดอะไร” เจแปนตอบเพื่อน ระหว่างที่เขากำลังยืนเช็กความเรียบร้อยให้กับเสื้อผ้าพัตเตอร์ที่อยู่บนราวแขวน
“แล้วแฟนมึงอ่ะจะมาที่นี่ตอนไหนวะ ทำไมไม่มาด้วยกัน” เพื่อนของเขาถามต่อ
“พอดีมันเองก็ติดธุระเหมือนกันน่ะ กูเลยนัดให้มันมาตอนเที่ยงเลย ส่วนกูเองก็รีบมาเช็กความเรียบร้อยที่หน้างานก่อน เวลาที่มันมาถึงจะได้รีบถ่ายงานแล้วกลับเลย” เขาเอ่ย เมื่อเจแปนตั้งใจไว้ว่าจะให้พัตเตอร์รีบมาถ่ายงานแล้วเดินทางกลับเลย ไม่ต้องให้อีกฝ่ายมาคลุกคลีอยู่กับเพื่อนเขา เนื่องจากเจแปนกลัวว่าถ้าเขาปล่อยให้พัตเตอร์อยู่กับเพื่อนของตัวเองนานมากเท่าไร อะไรที่มันควรจะเป็ความลับ มันจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
แทนที่เจแปนจะรู้สึกโล่งใจ หลังเขาได้คนมาขึ้นปกให้แล้ว กลับกลายเป็ว่าตอนนี้เขายังคงหนักอกหนักใจเสียอย่างนั้น ซึ่งก็อาจเป็เพราะข้อแลกเปลี่ยนที่พัตเตอร์ร้องขอมาก็ได้มั้ง มันถึงได้ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้
“แล้วนี่งานเขียนบทมึงเสร็จหรือยังอ่ะ” เพื่อนของเขาถามต่อ
“ยังเลย มึงเสร็จแล้วเหรอ” เจแปนถามกลับไปบ้าง เพราะเขายังไม่ได้เริ่มงานเขียนบทภาพยนตร์ต่อเลยด้วยซ้ำ มัวแต่เอาเวลามานั่งเตรียมของนั่นนี่ไว้มาถ่ายงานสำหรับวันนี้โดยเฉพาะ
“ใกล้จะเสร็จแล้ว พอดีกูเอาตำนานง่าย ๆ มาเขียนอ่ะ ไม่เน้นแปลกใหม่เน้นมีงานส่งอาจารย์ก็พอ”
“อ๋อ ส่วนกูก็น่าจะกลับไปทำต่อเย็นนี้นี่แหละ ขอจัดการเื่วันนี้ให้เสร็จก่อน” เขาว่า จากนั้นเจแปนก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเมื่อมีสายโทรเข้าพอดี ทว่าพอเขาเห็นว่าใครโทรมาหากัน เจแปนก็มีอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนที่โทรเข้ามาหาเขาคือพอร์ต
หรือว่าอีกฝ่ายจะมาหากันเวลานี้? เจแปนตั้งข้อสันนิษฐานในใจ เพราะพอร์ตรู้ว่าวันนี้เจแปนมีนัดถ่ายงาน
“เดี๋ยวกูมานะ” เจแปนบอกเพื่อนที่อยู่ด้วยกันเพียงสั้น ๆ จากนั้นเขาก็ถือโทรศัพท์ตั้งใจจะออกไปคุยกับพอร์ตข้างนอกสตูดิโอ
ต่อมา เมื่อเจแปนเดินออกมาด้านนอกและยืนอยู่บริเวณที่ปราศจากผู้คนแล้ว เขาก็มีการโทรกลับไปหาพอร์ตทันที หลังคนรักของเขาตัดสายไปแล้ว
“ฮัลโหล... พอร์ตมีอะไรเหรอ พอดีเมื่อกี้เราไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์น่ะ” นั่นเป็ข้ออ้างที่เจแปนใช้พูดกับคนรัก เมื่ออีกฝ่ายกดรับสายกันแล้ว
[อ๋อ พอดีเราจะโทรถามน่ะว่าถ่ายงานวันนี้เป็ยังไง เริ่มถ่ายกันหรือยัง] คนปลายสายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ ทำเอาเจแปนได้ยินแล้วก็เกิดความโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“เรายังไม่ได้เริ่มถ่ายเลย น่าจะถ่ายกันจริง ๆ จัง ๆ ่เที่ยงนี่แหละ”
[แล้วนี่แปนได้ใครมาขึ้นปกให้เหรอ เรารู้จักหรือเปล่า?] คนปลายสายถามต่อ โดยคำถามของพอร์ตนั้นมันก็เป็ประโยคธรรมดา ๆ เหมือนคนอยากรู้ทั่วไป แต่มันติดตรงที่ว่านายแบบที่เจแปนได้มามันไม่ปกตินี่แหละ นั่นจึงทำให้คนถูกถามถึงกับสะดุ้ง
[เงียบเลยแฮะ ยังอยู่ในสายหรือเปล่า]
“อยู่ ๆ เราได้น้องเพื่อนมาเป็นายแบบให้น่ะ เมื่อกี้เรากำลังยืนนึกชื่ออยู่เลยว่าน้องเขาชื่ออะไร แต่ว่าเราจำไม่ได้” เจแปนให้คำตอบกลับไป
[ไม่เป็ไร... แล้วเที่ยงนี้แปนหิวหรือเปล่า? อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวเราซื้อเข้าไปให้]
“ไม่ต้อง!” เจแปนรีบปฏิเสธกลับไปแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด เนื่องจากสิ่งนี้เป็สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดแล้ว และพอเขารู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้เจแปนเพิ่งจะแสดงพิรุธออกไป เขาจึงต้องรีบพูดต่อเพื่อกลบเกลื่อนความมีพิรุธนั้น
“พอดีวันนี้เพื่อนเรามาสตูดิโอเยอะเลย พอร์ตน่าจะอึดอัดนะ อีกอย่าง...เราอยากให้พอร์ตอ่านหนังสือมากกว่า เพราะพอร์ตก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นไม่ใช่เหรอ แล้วจะมาทำไมล่ะ” เขาอ้าง
[ก็จริง]
“อืม งั้นก็ตกลงตามนี้แหละ พอร์ตไม่ต้องมาหรอกไว้ถ้าเราถ่ายงานเสร็จตอนไหน เราจะส่งข้อความไปบอกนะ” เจแปนบอกคนปลายสาย ตั้งท่าจะตัดบทสนทนากับคนรัก เหตุเพราะเขากลัวว่าตัวเองจะเผลอแสดงพิรุธออกมามากกว่านี้
“ถ้าอย่างนั้นแค่นี้ก่อนนะ เราต้องรีบไปเตรียมของต่อแล้ว เพราะยังเตรียมไม่เสร็จเลย”
[ครับ เราค่อยคุยกันตอนเย็นก็ได้] พอร์ตตอบกลับมาอย่างว่าง่าย
โดยหลังจากที่ทั้งคู่คุยกันเรียบร้อยแล้ว จังหวะที่เจแปนหมุนตัวเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในสตูดิโอ เขาก็ต้องชะงักร่างกะทันหัน เมื่อมีคนหนึ่งกำลังยืนกอดอกฟังบทสนทนาระหว่างเขากับพอร์ตอยู่
และคน ๆ นั้นก็คือพัตเตอร์