เทียนอู่ฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจ เมื่อสักครู่นี้องค์ชายใหญ่กับอวิ้นกุ้ยเฟยได้รายงานเกี่ยวกับรายละเอียดของคดีนี้ แต่พวกเขาไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้เลย
การที่เขาคัดค้านการอยู่ร่วมกันระหว่างหวายหนิงกับฉีอวี้มาโดยตลอดไม่ได้เป็เพราะตระกูลฉีไม่อยู่ในสายตา แต่เป็เพราะฉีอวี้มีสัญญาหมั้นหมายแล้ว เขาไม่้าให้บุตรสาวสุดที่รักเสียเกียรติและไม่ได้รับความเป็ธรรม ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่้าให้ราชวงศ์ตกเป็ขี้ปากชาวบ้าน
เขาถามออกไปด้วยความโกรธ “แลกเปลี่ยนน้ำใจกัน? ต่างฝ่ายต่างก็มีใจให้กัน? ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ”
การที่จวินจิ่วเฉินเอ่ยถึงคำว่า “ต่างฝ่ายต่างก็มีใจให้กัน” เมื่อตอนที่อยู่ภายในศาลพิจารณาคดีเป็เพราะ้าเอ่ยให้ผู้คนด้านนอกห้องโถงได้ยิน หวายหนิงกับฉีอวี้ไม่ระมัดระวังตัวมานานหลายปีแล้ว พวกเขามีหน้ามาประณามกูเฟยเยี่ยนได้อย่างไร ประชาชนภายในเมืองหลวงที่ชอบพูดคุยเื่ราวของคนอื่นด่าทอกูเฟยเยี่ยนไปแล้ว ในตอนนี้ก็ควรที่จะด่าทอหวายหนิงกับฉีอวี้ซะบ้าง
เขาไม่ชื่นชอบการพูดคุยกับฟู่หวงถึงเื่การแต่งงานมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็ของตนเองหรือของบุคคลอื่น แต่ในครั้งนี้อวิ้นกุ้ยเฟยก่อปัญหามาถึงเขาแล้ว
จวินจิ่วเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่พูดในสิ่งที่หวายหนิงกับฉีอวี้พูดออกมาต่อหน้าผู้คนในศาลพิจารณาคดีว่าต่างฝ่ายต่างก็มีใจให้กัน
อวิ้นกุ้ยเฟยไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นนี้ จวินจิ่วเฉินก็ไม่ได้อธิบายรายละเอียด เทียนอู่ฮ่องเต้จะไปทราบได้อย่างไรว่า การที่องค์หญิงหวายหนิงบอกชอบฉีอวี้ท่ามกลางผู้คนจะเป็เพราะ้าอธิบายถึงแรงจูงใจในการก่อคดี และจะไปทราบได้อย่างไรว่าการที่ฉีอวี้ยอมรับว่าตนเองชอบองค์หญิงหวายหนิงท่ามกลางผู้คนเป็เพราะ้าพิสูจน์แรงจูงใจในการก่อคดีขององค์หญิงหวายหนิง?
เทียนอู่ฮ่องเต้โกรธจนเริ่มไอแค่กๆ ออกมาอีกแล้ว ผ่านไปสักพักจึงค่อยดีขึ้น “ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! คนหนึ่งถือสัญญาหมั้นหมายเอาไว้ อีกคนหนึ่งก็ตระหนักในเื่นี้ดี ท่ามกลางการจับตามองของผู้คน นี่…นี่มันน่าขายหน้าเสียเหลือเกิน! ”
จวินจิ่วเฉินไม่พูดเื่ดีให้กับหวายหนิงและฉีอวี้อีก เขาเพียงแค่เอ่ยว่า “ฟู่หวงโปรดยับยั้งความโกรธ สุขภาพของพระองค์เป็เื่สำคัญ”
เดิมทีเทียนอู่ฮ่องเต้เห็นว่าหวายหนิงร้องไห้ขนาดนั้นแล้วจึงเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้ เพราะถึงอย่างไรแล้วคนที่เขาโปรดปรานมาโดยตลอดก็คือหวายหนิง เดิมทีเขายังคิดว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะไม่ต้องลงโทษนางสถานหนัก และไม่ทำร้ายจิตใจของอวิ้นกุ้ยเฟย พร้อมกับให้คำอธิบายแก่จิ้งหวางได้ แต่ในตอนนี้เขาต้องคิดทบทวนใหม่อีกครั้งแล้ว
เทียนอู่ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นมา “รอจับตัวคนร้ายตัวจริง เจิ้นจะกำหนดบทลงโทษ แจ้งลงไป ก่อนที่จะกำหนดบทลงโทษ หากไม่มีคำอนุญาตจากเจิ้น ผู้คนตระกูลฉีไม่สามารถออกไปจากเมืองหลวงได้แม้แต่ครึ่งก้าว! ”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างเ็า “ในคืนนี้ให้ส่งคนไปจับตามองค่ายทหารฝั่งตะวันตก ฉีซื่อิเป็สุนัขที่สามารถกัดคนได้ ไม่อาจบีบบังคับได้มากนัก แต่ในบางครั้งก็ควรที่จะสั่งสอนเขาให้ได้รับบทเรียน! ”
แน่นอนว่าจวินจิ่วเฉินเข้าใจในความหมายของฟู่หวง
ฟู่หวงไม่ได้เข้าข้างตระกูลฉี สำหรับตระกูลฉีกับตระกูลเฉิง ฟู่หวงปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันมาโดยตลอด อีกทั้งภายในใจยังเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพราะถึงอย่างไรแล้วเทียนเหยียนก็พึ่งจะก่อตั้งได้เพียงแค่สิบปี รากฐานไม่มั่นคง เขาจึงจำเป็ต้องระวังตัวเอาไว้
“พ่ะย่ะค่ะ! เอ๋อร์เฉินจำไว้แล้ว”
จวินจิ่วเฉินลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “สุขภาพของฟู่หวงสำคัญ เอ๋อร์เฉินจะไม่อยู่นาน เมื่อคดีนี้มีความคืบหน้าแล้วจะมาทูลรายงานอีกครั้ง”
ทว่าเทียนอู่ฮ่องเต้กลับเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “เฉินเอ๋อร์ ในเมื่อเชือกยาวที่เ้าวางไว้ตอนนี้ได้เก็บกลับมาแล้ว เมื่อจับตัวคนร้ายตัวจริงได้ ใบเซียมซีของวัดต้าฉือแผ่นนั้นก็ควรจะยกเลิกแล้ว เจิ้นและต้าหวงซูของเ้าให้ความสำคัญกับเ้ามากที่สุด วันข้างหน้าองค์รัชทายาทต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเ้า เื่ต่างๆ เ้ารู้อยู่แก่ใจดี”
ใบหน้าของจวินจิ่วเฉินไร้ความรู้สึก ั์ตาเ็าคู่นั้นประดุจความมืดมิดลึกลับของท้องฟ้าในยามราตรีราวกับว่าจะทำให้ผู้คนมองไม่ทะลุปรุโปร่งคาดไม่ถึงตลอดกาล
เขาพยักหน้าขึ้นลงและเอ่ยคำพูดเช่นเดิมเหมือนเมื่อสักครู่นี้ “พ่ะย่ะค่ะ เอ๋อร์เฉินจำไว้แล้ว”
ทันทีที่จวินจิ่วเฉินมาถึงหน้าประตูห้องทรงพระอักษรก็ไม่ได้ออกไปจากพระราชวังโดยทันที เขาไปที่สำนักไท่อีเพื่อพบซูไท่อี เขาทราบอาการประชวรของฟู่หวงมาโดยตลอดและพยายามตามหาแพทย์และยารักษามาให้ฟู่หวง เมื่อพิจารณาจากสีหน้าของฟู่หวงในค่ำคืนนี้แล้วดูไม่ค่อยเหมือนกับการฟื้นตัวตามปกติ ดังนั้นเขาจึงเกิดความสงสัย หลังจากที่บีบบังคับซูไท่อี จวินจิ่วเฉินจึงได้รู้ว่าที่แท้ฟู่หวงก็ใช้ยาแปลกประหลาดชนิดหนึ่งที่มีนามว่า “อี้เสินตัน” มาโดยตลอด อีกทั้งยังมีผลลัพธ์ห้าถึงหกส่วนแล้ว ยาชนิดนี้สามารถทำให้ผู้ที่มีอาการป่วยอยู่ในขั้นวิกฤติแม้กระทั่งผู้ที่ใกล้จะเสียชีวิตมีชีวิตชีวาขึ้นมาเป็ร้อยเท่า หากว่าใช้ทุกวันก็จะให้ประสิทธิภาพในการต่ออายุขัย
จวินจิ่วเฉินซักถาม “ซูไท่อี เื่นี่เกิดขึ้นั้แ่เมื่อใด? ”
ซูไท่อีลำบากใจเป็อย่างมากทว่าก็ไม่กล้าที่จะไม่ตอบ “ทูลเตี้ยนเซี่ย นี่เป็เื่เมื่อสามเดือนที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เตี้ยนเซี่ย ฝ่าาไม่อนุญาตให้ข้าน้อยพูด พระองค์ต้องรักษาไว้เป็ความลับนะพ่ะย่ะค่ะ มิฉะนั้นแล้ว…ชีวิตของข้าน้อยได้หยุดลงแน่ๆ ! ”
“เ้าทำเป็ว่าเปิ่นหวางไม่เคยถามมาก่อน”
จวินจิ่วเฉินหันหลังเดินออกไป ภายในดวงตาทอประกายถึงความผิดหวังเล็กน้อย หากฟู่หวง้ายาชนิดนี้เขาจักต้องพยายามไปตามหาอย่างแน่นอน เหตุใดฟู่หวงจึงไม่บอกเขา? เขาทราบมาโดยตลอดว่าฟู่หวงไม่ได้ไว้วางใจในตัวเขาจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เื่ที่สำคัญเช่นนี้ฟู่หวงก็ยังจะปิดบังเขา สำหรับฟู่หวงและรัชทายาทแล้ว เขาพยายามทำให้ดีที่สุดมาโดยตลอด
แต่ภายในใจของฟู่หวงแล้ว เขาคือหมากตัวไหนกันแน่?
ในปีที่เขามีอายุสิบสี่เขาฟื้นจากการสลบไสล ร่างกายได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง ลมหายใจแ่เบา ทว่าฝ่ามือกลับถือลูกประคำที่มีกลิ่นหอมจากไม้กฤษณาไม่ปล่อย เขาลืมเื่ราวทั้งหมด ลืมแม้กระทั่งว่าตนเองเป็ใคร หลังจากที่ลืมตาขึ้นมาก็พบกับฟู่หวงเป็คนแรก ฟู่หวงบอกกับเขาว่าเป็เพราะพร์และกระดูกที่น่าประหลาดใจของเขาจึงถูกต้าหวงซูพาไปดูแลและสั่งสอนั้แ่เยาว์วัย และเป็เพราะตกอยู่ในมนต์สะกดของปีศาจร้ายจึงทำให้ได้รับาเ็อย่างหนักรวมไปถึงสูญเสียความทรงจำ
หลังจากนั้นเขาก็อาศัยอยู่ที่ดินแดนทางเหนือของเทียนเหยียนกับต้าหวงซู ณ บ้านเกิดเมืองนอนแดนหิมะตระกูลเมิ่งของพระมารดาเพื่อรักษาาแ ระยะเวลาสามปี ฟู่หวงเขียนจดหมายเป็ห่วงอาการาเ็ของเขามาโดยตลอด อีกทั้งยังทรงสั่งสอนวิธีการทำา ปกครองบ้านเมือง เมื่ออายุได้สิบเจ็ดปีเขาก็ได้กลับมาที่เมืองจิ้นหยาง ในวันแรกที่กลับมาฟู่หวงก็มีพระราชโองการแต่งตั้งเขาให้เป็องค์ชาย และมีลำดับขั้นตามมาตรฐานเทียบเท่ารัชทายาท
ฟู่หวงยังกล่าวอีกว่ามีความละอายต่อเขา ตำแหน่งว่าที่กษัตริย์คนต่อไปเดิมทีควรเป็ของเขา
สำหรับราชบัลลังก์แล้ว เขาไม่มีความสนใจเลยสักนิด
สิ่งที่เขา้าที่จะทำมากที่สุดในชีวิตนี้คือการตามหาความทรงจำที่สูญเสียไป เขาไม่ทราบว่าลูกประคำที่มีกลิ่นหอมจากไม้กฤษณาเส้นนั้นมาได้อย่างไร ทว่าสัญชาตญาณบอกให้รักษาดั่งชีวิต
เขามีความสงสัย ทว่าไม่เคยถามฟู่หวงและต้าหวงซูเลย
กลางดึกที่เงียบสงัด จวินจิ่วเฉินเพิ่งจะกลับมาถึงจิ้งหวางฝู่
จวินจิ่วเฉินลากร่างที่ค่อนข้างจะอ่อนระโหยโรยแรงไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง ให้เซี่ยเสี่ยวหม่านจัดเตรียมน้ำแช่ยาสมุนไพร เขาพิงตัวบริเวณขอบบ่อน้ำพุร้อนแล้วแหงนใบหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าในยามราตรี ความโดดเดี่ยวและเ็าภายในดวงตาลดลงไปเล็กน้อย
แม้ว่าจะสูญเสียความทรงจำไปมากกว่าสิบปี ทว่าความเคยชินไม่ได้จางหายไป ดอกเหลียนเฉียวเบ่งบานเต็มสวนดอกไม้ด้านหลัง น้ำสมุนไพรร้อนๆ พระจันทร์เหนือท้องฟ้าในยามราตรี ทั้งหมดล้วนคือความเคยชิน เขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องเป็ความชื่นชอบของเขาในตอนเยาว์วัยแน่ๆ
ว่ากันว่าผู้ที่สูญเสียความทรงจำคือจอกแหนที่ไม่มีราก มีเพียงแค่การหลบซ่อนตนเองในความเคยชินเท่านั้นถึงจะปลอดภัยและสามารถปกป้องตนเองได้
จวินจิ่วเฉินเหม่อมองดวงดาวและพระจันทร์ มองไปมองมาก็หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว เดิมทีง่วงงุนไม่ไหวแต่ใครจะไปทราบว่าทันทีที่หลับตาลง ภายในสมองก็ปรากฏใบหน้าเล็กที่มีความตกตะลึงของกูเฟยเยี่ยนออกมา
จวินจิ่วเฉินลืมตาขึ้นมาในทันทีราวกับกลัวว่าหากตนเองหลับตาต่อมันจะมีภาพปรากฏออกมามากยิ่งขึ้น
เขามองไปทางด้านของิเย่วจวี ลานนั้นเต็มไปด้วยความมืดมิด
ดึกขนาดนี้แล้วหญิงสาวผู้นั้นกำลังทำอะไรอยู่นะ? น่าจะนอนแล้วใช่หรือไม่?
ทางด้านของกูเฟยเยี่ยนนั้นจะไปนอนหลับได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่านางจะง่วงงัวเงีย ทว่ายังคงนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ทันทีที่นางหลับตาลงภายในหัวสมองล้วนเต็มไปด้วยฉากที่จวินจิ่วเฉินที่ฉีกทิ้งเสื้อผ้าของตนเองอย่างดุเดือดรุนแรง โชคดีที่ถึงแม้ว่านางจะง่วง แต่สมองของนางยังคงปลอดโปร่ง มิฉะนั้นแล้วฉากนั้นคงจะกลายเป็ความฝันโง่ๆ ได้อย่างง่ายดาย
นางใช้ความพยายามมานานมาก แต่ก็นอนไม่หลับอยู่ดี จึงถือโอกาสลุกขึ้นมาเสียเลย…