แม้อากาศจะเริ่มเย็น หากแต่ดอกไม้เรือนหลังกลับบานสะพรั่งสีสันสวยสด หร่านซวี่จือสวมเสื้อคลุมสีดำและแว่นตา ขณะที่กำลังพลิกดูบางอย่างในมือ
พอดูจนเหนื่อย หร่านซวี่จือก็ถอดแว่นลง เขาถูจมูกเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยถาม “อิ่ง ่นี้จินเฟิงเป็อย่างไรบ้าง? ”
พอคำพูดนี้ออกมา บนพื้นที่เมื่อสักครู่ยังว่างเปล่า ทันใดนั้นลมเบาๆ พัดผ่าน จากนั้นก็มีเงาของอิ่งปรากฏขึ้นทันใด “นายท่าน คุณชายน้อยตั้งใจมาก เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่ว่าอะไร? ” หร่านซวี่จือเอ่ยถาม
อิ่งลังเลเล็กน้อย “นายท่าน หรวนเสี่ยวเหอในหอของท่านนั้นสนิทสนมกับคุณชายน้อยมากเกินไปหรือไม่ขอรับ? ”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนี้? ”
อิ่งนิ่งเงียบไปนาน “บางคราจะได้ยินบางอย่างจากคำพูดของหรวนเสี่ยวเหอ สามารถรับรู้ได้ว่าเขาไม่ค่อยพอใจนายท่านเท่าใดนัก เดิมทีคุณชายน้อยก็ระแวงนายท่านอยู่แล้ว ข้าน้อยเกรงว่า…”
ความหมายนั้นชัดเจน จินเฟิงมักจะอยู่กับหรวนเสี่ยวเหอ การได้ยินคำวิจารณ์จากหรวนเสี่ยวเหอ เป็ไปได้ว่าจินเฟิงจะยิ่งเกลียดชังหร่านซวี่จือ
“นายท่านปฏิบัติต่อคุณชายน้อยราวกับน้องชายแท้ๆ แล้วเหตุใดคุณชายน้อยจึงต่อต้านเช่นนี้ขอรับ? ” อิ่งไม่กระจ่าง
แน่นอนว่าหร่านซวี่จือรู้สาเหตุแต่มิอาจพูดออกมาได้ เขาจึงได้แต่ตอบด้วยความเงียบ
“เื่นี้หากอาศัยการวิเคราะห์คงยากยิ่ง” หร่านซวี่จือเอ่ย “ยังมีเวลาอีกนาน เขาจะค่อยๆ กระจ่างเอง”
หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว จินเฟิงนั่งอยู่ตรงด้านหน้าของเตียง เขากำลังทายาที่หรวนเสี่ยวเหอให้มาบนแผลเขียวช้ำบนแขน การฝึกฝนหลายวันมานี้ค่อนข้างดุเดือด ด้วยความที่สมรรถภาพของร่างกายยังตามไม่ทันจึงส่งผลทำให้กล้ามเนื้อเกิดการาเ็
จินเฟิงกำลังทายาอย่างขะมักเขม้น ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้องของตนเองดัง “เอี๊ยด”
จินเฟิงตัวสั่น รีบะโลงจากเตียง
ประตูห้องของเขานั้นปิดอยู่ตลอดเวลา ยามปกติหากคนเข้ามาก็จะเคาะประตูก่อน อย่างเช่นหรวนเสี่ยวเหอ คนที่เข้ามาโดยไม่เคาะเห็นจะมีแต่หร่านซวี่จือเท่านั้น
พอหร่านซวี่จือเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นสมุนไพรที่เข้มข้น กระทั่งรู้สึกฉุน ความไม่สบายจมูกนั้นทำเอาเขาขมวดคิ้ว พลางมองดูยาสมุนไพรในมือของจินเฟิง “ยานี่ได้มาจากไหน? ”
จินเฟิงเอ่ย “ไม่เกี่ยวกับท่าน” พูดจบก็ทายาเองต่อ
เมื่อได้ยินคำตอบของจินเฟิง หร่านซวี่จือไม่รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน หากแต่โบกพัดไปมาอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง อาศัยจังหวะที่จินเฟิงเผลอก็ดีดเข็มเงินในนิ้วไปทางขวดยา เสียงดังก้องขึ้น จากนั้นขวดยานั้นก็หล่นลงพื้นแล้วกลิ้งมาตรงหน้าของหร่านซวี่จือ
หร่านซวี่จือก้มเก็บขึ้นมา เขาเมินเฉยต่อหน้าตาใอ้าปากค้างของจินเฟิง พลางเก็บยาเข้าไว้ในอกแล้วเอ่ย “ใช้ยาด้อยคุณภาพเช่นนี้ เ้าไม่กลัวว่าาแจะแย่กว่าเดิมหรือ? ”
“เ้าถือดีอย่างไรมาเอาของของข้า! ” จินเฟิงอึ้งอยู่สักพักแล้วกล่าวด้วยความโมโห หร่านซวี่จือกลับไม่ได้ถือสาที่จินเฟิงโมโห หากแต่ก้าวเดินเข้าไปคว้าแขนของจินเฟิงหมับ ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดลงบนจุดที่ม่วงช้ำ
“อึก” ฟากของจินเฟิงนั้นก็ทนความเจ็บไม่ไหว เขาจึงกลืนคำพูดที่จะพูดลงไปแล้วส่งเสียงเ็ปออกมาแทน
หร่านซวี่จือเอ่ยเสียงเข้ม “โตเพียงนี้แล้ว แค่ฝึกฝนวรยุทธ์ก็ทำให้ตนเองาเ็เช่นนี้ พูดออกไปคงน่าขายหน้า”
จินเฟิงเม้มริมฝีปากเป็เส้นตรง
หร่านซวี่จือรู้ดี นอกจากการบรรลุเป้าหมายในการฝึกฝนของตนเอง จินเฟิงยังแอบฝึกฝนอย่างอื่นเองด้วย แต่นี่คือเื่ที่ไม่อาจห้ามปรามได้ หร่านซวี่จือรู้ว่าต้องอาศัยไม้แข็งแบบนี้เป็การเตือนให้จินเฟิงระวังและประมาณตน
เมื่อเห็นจินเฟิงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หร่านซวี่จือก็ถอนหายใจแล้วล้วงขวดยาจากเสื้อของตนออกมาอีกหนึ่งขวด
นี่ไม่ใช่ขวดที่หรวนเสี่ยเหอให้มา ขวดนี้สีค่อนไปทางสีเขียว ดูแล้วมีมูลค่า หร่านซวี่จือเปิดฝาจุกขวดออก มีกลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ ลอยออกมา
จินเฟิงตะลึง กลิ่นหอมนี้กับกลิ่นตัวของหร่านซวี่จือนั้นคล้ายคลึงกันเล็กน้อย
“ต่อจากนี้ข้าจะถ่ายทอดความรู้การทำยารักษาาแให้เ้า” ขณะที่เอ่ยก็ใช้นิ้วมือก็ป้ายยามาเล็กน้อยแล้วทาลงบนแขนของจินเฟิง จากนั้นก็นวดอย่างเบามือ “นี่คือยาสูตรลับเฉพาะของสำนักชิงหยาเก๋อ ต่อจากนี้ห้ามใช้ยาทั่วไปของข้างนอกอีก”
ตัวยาที่ทาบนแขนนั้นเย็นๆ ทำให้รู้สึกสบายอย่างมาก หร่านซวี่จือสำรวจเล็กน้อยและเห็นว่าร่องรอยาเ็น้อยใหญ่บนร่างกายจินเฟิงนั้นมีอยู่ไม่น้อย
หร่านซวี่จือช่วยจินเฟิงทายา จินเฟิงเพียงแค่ปิดปากเงียบไม่พูดจา บรรยากาศในห้องนั้นเงียบเสียจนเข็มหล่นก็สามารถได้ยิน
กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ วนเวียนอยู่ตรงจมูก นำพาความชื่นบานให้แก่โสตประสาท
“ที่ทำเช่นนั้นต่อเ้าก่อนหน้านี้ เพียงแค่้าให้เ้ารู้” หร่านซวี่จือเอ่ยปากทำลายความเงียบ “ร่างกายเป็สิ่งที่สำคัญที่สุด”
“แม้ว่าคำพูดนี้เ้าฟังแล้วอาจจะไม่อยากเชื่อแต่ข้าก็ต้องพูดเช่นนี้”
“ข้ารู้ว่าเ้ามีใจอยากแก้แค้น แต่พ่อแม่บน์ของเ้าน่ะ บางทีอาจจะคาดหวังให้เ้าอยู่อย่างสงบสุขปลอดภัยแข็งแรงมากกว่า” หร่านซวี่จือมองต่ำแล้วม้วนแขนเสื้อของหร่านซวี่จือลงมา จากนั้นก็ถลกแขนเสื้อของตนขึ้นมา
จินเฟิงมองตาม เห็นเพียงแขนเรียวยาวและขาวเนียนของหร่านซวี่จือ ก็มีรอยแผลเป็อยู่บ้างจางๆ หากไม่สังเกตดีๆ ก็อาจจะไม่เห็น คงเป็รอยที่เกิดขึ้นมาเมื่อนานหลายปี
“ผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ ร่างกายมีการาเ็ย่อมเป็เื่ธรรมดา” หร่านซวี่จือจ้องดวงตาของจินเฟิง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล “ข้าต่างกับเ้า เกิดมาในฐานะบุตรแห่งเ้าสำนักชิงหยาเก๋อ แบกรับความหวังของคนทั้งหมด บิดาข้าย่อมคาดหวังอย่างสูงต่อตัวข้า”
“ข้าไม่รู้ว่าเด็กธรรมดาทั่วไปเป็เช่นไร แต่ในความทรงจำของข้า มีเพียงตำราที่อ่านไม่จบและห้องฝึกฝนวรยุทธ์ที่สามารถทำให้ข้าได้รับาเ็อย่างนับครั้งไม่ถ้วน”
“ท่านแม่ของข้าเสียไปตอนที่ให้กำเนิดข้า เวลาส่วนน้อยที่จะได้พบท่านพ่อ แม้ได้พบเขาก็มักจะทำหน้าตึงเครียดอยู่เสมอ ข้าไม่เคยเห็นลักษณะตอนยิ้มของท่านมาก่อน ตอนนั้นข้าพยายามอย่างมากเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ท่านกำหนดไว้ เพื่อที่อยากให้ท่านพ่อกล่าวชมเชยข้าสักครา คงเพราะข้านั้นโง่เขลาไม่ได้เื่เกินไปจึงไม่เคยทำได้สำเร็จ”
“ข้าได้ยินมาโดยตลอดจากลูกน้องของท่านพ่อว่าท่านมีสหายรักท่านหนึ่ง ่ที่สำนักชิงหยาเก๋อลำบากได้เคยไปขอความช่วยเหลือจากเขา ยุทธภพนั้นเต็มไปด้วยอันตราย จะมีสักกี่คนที่ไว้ใจได้ กระนั้นคงเป็พรจาก์ ท่านพ่อของข้าได้กำชับข้าก่อนสิ้นใจว่า ต้องตามหาเ้าให้เจอและเลี้ยงดูเ้าให้เติบใหญ่”
“นั่นคือครั้งแรกที่ข้าได้รับการยอมรับจากท่านพ่อ” หร่านซวี่จือเอ่ย “ข้าจะไม่สอนเ้าด้วยความอ่อนโยนเช่นเดียวกับหรวนเสี่ยวเหอ แต่ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถของตนเพื่อทำตามความรับผิดชอบของข้าอย่างสมบูรณ์”
จินเฟิงนั่งฟังเงียบๆ ตลอด่นั้น
หร่านซวี่จือไม่เคยเล่าเื่เหล่านี้กับเขามาก่อน
หร่านซวี่จือในชาติที่แล้ว ทั้งแข็งกร้าวและเข้มงวด ทว่า หลากหลายเื่ราวในตอนนี้ต่างจากชาติที่แล้วอย่างมากมาย
จินเฟิงไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้คืออะไร เดิมทีการเกิดใหม่ย้อนกลับมาในยี่สิบปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็เื่ที่ไม่อาจบรรยายได้อยู่แล้ว แต่การที่หร่านซวี่จือในชาติที่แล้วซึ่งทำร้ายตนเองด้วยสารพัดร้อยแปดวิธี กลับกลายเป็เช่นนี้ เื่นี้จึงยากเกินที่จะเชื่อยิ่งกว่า
หรือว่า เขาไม่ได้เกิดใหม่ หากแต่เื่ราวทั้งหมดนี้เป็เพียงภาพฝัน?
เป็ความฝันจากภายในจิตใจของตนหลังจากที่ตายไปแล้ว
หลังจากที่หร่านซวี่จือจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ผลักประตูแล้วเจอกับหรวนเสี่ยวเหอตรงหน้าประตูพอดี
เหมือนว่าหรวนเสี่ยวเหอจะคาดไม่ถึงว่าจะเจอหร่านซวี่จือ เมื่อเห็นเขาจึงตะลึงงันเล็กน้อย
หร่านซวี่จือเลิกคิ้วแล้วปิดประตูห้องของจินเฟิง
เป็จังหวะพอดีซึ่งก็มีบางเื่ที่ควรถึงเวลาที่จะพูดได้แล้ว