“แหม่ ได้กินกันเยอะเลยเชียว มิน่าล่ะ ถึงได้พากันโวยวายอยากจะแยกบ้านกันนัก ที่แท้ก็รังเกียจที่ในบ้านไม่มีอาหารดีๆ กิน ไม่เห็นหัวพ่อแม่ หันไปพึ่งพี่น้องแทน!”
“หมามันยังไม่รังเกียจรังตัวเอง จุ๊ๆ แต่บ้านตระกูลอวิ๋นเก่าของเรา กลับมิเป็เช่นนั้น ” อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ก้าวขาเข้ามาในห้องก็พูดจาประชดประชันทันที
อวิ๋นโส่วเย่าที่เพิ่งนั่งลง สีหน้าพลันเคร่งขรึม “เ้าพูดบ้าบออะไร? พูดจาเหลวไหลในบ้านตัวเองยังไม่พอ ยังจะวิ่งมาพูดจาไร้มารยาทที่นี่อีก!”
อวิ๋นโส่วจงตบมืออวิ๋นโส่วเย่าเบาๆ เป็เชิงห้ามปราม จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เ้ามาที่นี่ทำไม? มีธุระอะไรก็รีบพูดมา ไม่มีอะไรก็ไสหัวไป!”
สำหรับอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ อวิ๋นโส่วจงไม่แม้แต่จะรักษาน้ำใจ คนที่คอยแต่จะคิดร้ายกับลูกสาวของเขาอยู่ตลอดเวลา เขาอยากจะตบให้ตายคามือเสียด้วยซ้ำ
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ไม่คิดว่าพี่ชายแท้ๆ ของตนไม่เพียงแต่จะพูดจาตัดสัมพันธ์ แถมพี่รองคนใจดำยังไล่นางไปอีก ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำด้วยความโกรธ
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์เหลือบมองอวิ๋นฉี่เยว่ แล้วพูดด้วยความไม่เต็มใจอย่างที่สุด “ใครอยากมาบ้านพวกเ้ากัน หากไม่ใช่ท่านพ่อเป็ห่วงพวกเ้า แล้วเร่งให้ข้ามา ข้าก็ไม่มาหรอก!”
อวิ๋นโส่วจงวางตะเกียบในมือลงบนโต๊ะเสียงดัง “รีบพูดมา อย่าพูดไร้สาระให้มากความ!”
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์สะดุ้งใกับท่าทางเ็าของเขา แต่พอนึกถึงคำพูดของบิดา สีหน้าของนางก็กลับมาเป็ปกติ หึ! ตอนนี้เ้ากล้าดุด่าข้า เดี๋ยวก็รอดูเถอะ พวกเ้าจะต้องมาก้มหัวขอร้องอ้อนวอนข้าแน่!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ก็ยืดตัวตรง พูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “อีกไม่กี่วันสำนักศึกษาจะหยุดพักการเรียน เพื่อเตรียมตัวสอบแล้วมิใช่หรือ ท่านพ่อให้ข้ามาบอกว่า ตอนนั้นโส่วหลี่จะกลับมาทบทวนบทเรียนที่บ้าน อวิ๋นฉี่เยว่สามารถไปขอคำชี้แนะจากโส่วหลี่ได้หนึ่งชั่วโมงยาม”
“หนึ่งชั่วยามเท่านั้นนะ มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะโส่วหลี่ต้องเตรียมตัวสอบ การสอบครั้งนี้เขาต้องสอบเป็บัณฑิตซิ่วไฉได้แน่! แต่พวกเ้ากลับขับไล่ข้า ข้าจะกลับไปบอกท่านพ่อว่าพวกเ้าไม่้าความช่วยเหลือ!”
พูดจบอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ก็เดินไปหาม้านั่งตัวหนึ่งก่อนจะนั่งลงเอง ทำท่าทางเหมือน ‘แล้วข้าจะรอดูว่าเ้าจะทำตัวอย่างไร’
“แต่หากพวกเ้าทำดีกับข้าสักหน่อย ข้าก็อาจจะไปช่วยพูดกับท่านพ่อท่านแม่แทนอวิ๋นฉี่เยว่ได้ ถึงตอนนั้นก็ให้โส่วหลี่ชี้แนะเขาให้มากขึ้นหน่อย” สิ้นคำพูดของนาง ทุกคนในห้องต่างก็รู้สึกกระอักกระอ่วน โดยเฉพาะพี่ชายแท้ๆ ของนางอย่างอวิ๋นโส่วเย่า
อวิ๋นโส่วเย่ามองอวิ๋นโส่วจงด้วยแววตาไม่สบายใจ แต่กลับพบว่าอวิ๋นโส่วจงไม่ได้โกรธ เพียงยิ้มๆ แล้วถามว่า “โอ้ แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าดีกับเ้าหรือ?”
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์เห็นเขาถามเช่นนี้ ก็ยิ้มเยาะในใจ ‘ดูสิ! เพื่อลูกชายสุดที่รัก ยังไงก็ต้องยอมก้มหัวให้ข้า’
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์กลอกตา ก่อนจะเอ่ยวาจาถากถาง “ดูสิ บนโต๊ะไม่มีแม้แต่ตะเกียบให้ข้า ยังอยากให้ข้าไปพูดดีๆ ให้พวกเ้าอีกหรือ เฮอะ...”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยยิ้มๆ “ของพวกนี้เ้ากินได้เสียที่ไหน ข้าให้คนไปเตรียมอาหารเลี้ยงโต๊ะหนึ่งให้เ้าโดยเฉพาะดีหรือไม่?”
เทียบกับอวิ๋นโส่วกวงกับอวิ๋นโส่วเย่าที่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็อย่างยิ่ง อวิ๋นเจียวกับพี่ชายทั้งสองกลับสงบนิ่ง พวกเขาต่างคนต่างมองตากัน รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
พี่ใหญ่ของบ้านนางอยู่ระดับไหนแล้วเล่า เรียนอยู่ชั้นหนึ่งในสำนักศึกษา ยังต้องให้อวิ๋นโส่วหลี่ที่เรียนอยู่ชั้นสองมาชี้แนะงั้นหรือ?
ช่างน่าขันเสียจริง! ไม่คิดเลยว่าท่านพ่อของนางจะมีมุมร้ายกาจเช่นนี้ อวิ๋นเจียวตัดสินใจไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ตั้งใจดูละครฉากนี้เงียบๆ
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ดวงตาก็เป็ประกาย รีบพูดว่า “ไม่ต้องถึงขั้นเตรียมอาหารเลี้ยงหรอก ให้ข้ายี่สิบตำลึงเงิน กับผ้าต่วนสีสันสดใสสักสี่พับก็พอ”
‘โอ้โห ยังกล้าเรียกร้องอีก!’ อวิ๋นฉี่เยว่ปรายตามองอย่างเ็า สายตาแวบผ่านอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ถ้าจะฝัน ก็กลับไปนอนฝันบนเตียงที่บ้านเสียเถิด!”
‘ฮึ...’ อวิ๋นเจียวอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ฝีปากของพี่ใหญ่นี่ช่างเฉียบคมยิ่งนัก!
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ยืนงงอยู่นาน ไม่ทันเข้าใจว่าอวิ๋นฉี่เยว่หมายความว่าอย่างไร อวิ๋นฉี่ซานจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “หรือว่าหัวสมองของท่านมีไว้คั่นหูเท่านั้นหรือ ฟังภาษาคนไม่รู้เื่หรือไร? พี่ใหญ่ของข้าหมายความว่าประตูบ้านเปิดอยู่ เชิญท่านรีบไสหัวไปได้แล้ว!”
ญาติผู้ใหญ่ที่ไหนกัน นางมันน่ารังเกียจ! อวิ๋นฉี่ซานไม่คิดจะสุภาพกับนางแล้ว! พอนึกถึงเื่ที่นางเคยทำกับเจียวเอ๋อร์ เขาก็โกรธจนแทบคลั่ง
เมื่ออวิ๋นฉี่ซานพูดจบ อวิ๋นฉี่ชิ่งและคนอื่นๆ ต่างก็มองเขาและอวิ๋นฉี่เยว่ด้วยแววตาชื่นชม ด่าได้สะใจมาก! อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ผู้นั้นไม่ใช่คนดี ชอบรังแกพ่อแม่ของพวกเขา
แน่นอนว่าก็รังแกพวกเขาด้วย เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่ของพวกเขาเป็คนรับไว้ ตอนนี้เห็นอวิ๋นเหมยเอ๋อร์เสียหน้าที่บ้านอาสอง พวกเขาจึงรู้สึกอารมณ์ดีเป็อย่างยิ่ง
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น นางลุกขึ้นยืนพรวดพราด น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา คนบ้านนี้ คนนั้นก็ไล่นาง คนนี้ก็ไล่นาง ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!
“พวกเ้า... พวกเ้า... พวกเ้าต้องเสียใจแน่! รอให้โส่วหลี่สอบได้เป็ขุนนาง ต่อให้พวกเ้าคุกเข่าขอร้อง ท่านแม่ก็ไม่มีทางให้พวกเ้าเหยียบเข้ามาในบ้านตระกูลอวิ๋นเก่าอีก!”
“แล้วก็เ้า! อย่าหวังว่าจะให้โส่วหลี่ชี้แนะเ้าแม้แต่น้อย เ้าคิดว่าตำแหน่งขุนนางนั้นได้มาง่ายๆ หรือไง? ฝันไปเถอะ!”
“โส่วหลี่ของพวกข้าคือเทพเหวินฉวี่ซิงจุติมาเกิด ในอนาคตต้องได้เป็จอหงวน เป็ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ พวกเ้า... พวกเ้ารอเสียใจกันได้เลย ถึงตอนนั้น ข้าจะไม่แม้แต่ชายตามองพวกเ้า!”
อวิ๋นฉี่ซานเป็คนปากร้ายไม่ยอมใคร จึงสวนกลับทันที “พูดเหมือนกับว่าตอนนี้ท่านมองพวกเราอยู่ในสายตาอย่างนั้นแหละ เกิดมาก็มีใจคดคิดไม่ซื่อ รู้ตัวเองก็พอแล้ว มิต้องป่าวประกาศให้ผู้อื่นเขารู้กันจนหมด!”
เมื่อเขาพูดจบ อวิ๋นเจียวก็แอบยกนิ้วโป้งให้เขาอย่างชื่นชม พออวิ๋นฉี่ซานเห็น รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งปรากฏชัดเจน อวิ๋นเหมยเอ๋อร์โกรธจนร้องไห้วิ่งออกไปพลางสาปแช่งว่า สักวันพวกเขาจะต้องไม่มีที่ให้ร้องไห้เสียใจ
หลังจากที่อวิ๋นเหมยเอ๋อร์วิ่งออกจากห้องโถงไปแล้ว นางก็ยังไม่ยอมแพ้ มองซ้ายทีขวาที พอเห็นว่าในห้องของอวิ๋นเจียวไม่มีใครอยู่ ก็รีบวิ่งไปที่ห้องของอวิ๋นเจียวอย่างรวดเร็ว
ยังไม่ทันจะเข้าไปในห้อง สายตาของนางก็สะดุดกับเสื้อผ้าชุดหนึ่งและผ้าอีกหลายพับที่วางอยู่บนเตียงในห้องชั้นนอก ดวงตาก็เป็ประกาย ‘ช่างเป็ชุดที่งดงามอะไรเช่นนี้! หากได้สวมอยู่บนร่างของนางล่ะก็...’
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์รีบคว้าชุดและผ้าผืนนั้น แต่ทันทีที่หยิบขึ้นมา ข้อเท้าก็พลันรู้สึกเจ็บแสนสาหัส
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์พลันร้องเสียงหลง เมื่อก้มลงมองก็เห็นสุนัขสีขาวตัวนั้นที่เคยกัดมารดาของนาง มันกำลังจ้องมองนางด้วยแววตาดุร้าย ปากก็กัดข้อเท้านางแน่น ไม่ว่าอวิ๋นเหมยเอ๋อร์จะเตะมันอย่างไร ก็ไม่สามารถสลัดลูกสุนัขสีขาวนั่นออกไปได้ กลับทำให้มันกัดแน่นขึ้น
เมื่อมีเสียงดังโวยวายขึ้น ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงรีบวิ่งออกมาดู ก็เห็นอวิ๋นเหมยเอ๋อร์อยู่ในห้องของอวิ๋นเจียว กำลังร้องไห้โฮ ในมือกำชุดที่อวิ๋นเจียวเอาไว้เป็ตัวอย่างให้อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์อยู่
อวิ๋นโส่วเย่าเห็นดังนั้นก็โกรธจนหน้าแดงก่ำ นี่นางเป็น้องสาวแท้ๆ ของเขาหรือ! ไยถึงได้ใจแคบเช่นนี้! โชคดีที่บ้านเขาแยกออกมาอยู่เองแล้ว มิเช่นนั้นมีอาหญิงแบบนี้ คงไม่มีใครอยากแต่งงานกับเหลียนเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์เป็แน่
“อวิ๋นเหมยเอ๋อร์! ปล่อยชุดนั่นเดี๋ยวนี้!” อวิ๋นโส่วเย่าะโเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าบ้านของพี่รองไม่เหมือนบ้านของพี่ใหญ่ ที่อ่อนแอรังแกได้ง่าย ชอบปล่อยให้เื่ใหญ่กลายเป็เื่เล็ก เื่เล็กกลายเป็เื่เล็กยิ่งกว่า
หากนางไม่ยอมปล่อยเสื้อผ้า คนบ้านพี่รองคงไม่มีใครยอมช่วยไล่หมาให้นางแน่ อวิ๋นเหมยเอ๋อร์เห็นดังนั้นจึงยอมปล่อยชุดลงบนเตียงอย่างไม่เต็มใจ ทันทีที่นางปล่อยชุดออก เ้าหมาตัวน้อยก็ปล่อยปากโดยไม่ต้องให้ใครออกคำสั่ง
มันส่ายหัวส่ายหางไปมาเหมือนอ้อนขอรางวัล จากนั้นก็เดินไปคลอเคลียขาอวิ๋นเจียว แล้วก็เงยหน้าขึ้นดวงตากลมโตเป็ประกายของมันมองอวิ๋นเจียวอย่างออดอ้อน
อวิ๋นเจียวเห็นท่าทางซื่อๆ ของมันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ชุนเหมยรีบวิ่งไปที่ห้องครัว นำกระดูกชิ้นโตที่ติดเนื้อมาให้ อวิ๋นเจียวนำกระดูกชิ้นนั้นไปวางไว้บนพื้น เพื่อเป็รางวัลให้กับเ้าหมาตัวน้อยต่อหน้าต่อตาอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ ทำให้อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ โกรธจนแทบสลบ