คุณย่ารวมถึงคุณอาและอาสะใภ้ที่นั่งฟังอยู่ด้านข้าง ต่างมีสีหน้าโกรธจัดราวกับมีคนปาะเิใส่กลางวงก็ไม่ปาน
“หวางลี่ลี่คนนี้เล่นละครเก่งนัก…”
“ทำไมฟู่กุ้ยถึงได้แต่งผู้หญิงที่จิตใจอำมหิตเช่นนี้เข้าบ้านได้นะ”
“หากซิ่วหลานยังมีชีวิตอยู่ละก็ ไม่มีทางเกิดเื่แบบนี้ขึ้นแน่ น่าสงสารเฉินเฟิงเหลือเกิน เพิ่งจะอายุห้าขวบเท่านั้นเอง…”
เซี่ยโม่รู้สึกดีใจ พวกผู้หญิงในหมู่บ้านชอบซุบซิบนินทาเป็ชีวิตจิตใจ ไม่นานข่าวนี้ต้องกระพือไปทั่วทั้งหมู่บ้านแน่ พอถึงตอนนั้นดูสิว่าแม่ดอกบัวขาวจะยังจะเล่นละครต่อไปได้อย่างไร
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจและเด็ดขาดว่า “โม่โม่ เื่ของเราสองพี่น้องปู่จะจัดการให้เอง พวกเราจะไปหาฟู่กุ้ยเดี๋ยวนี้ ไปสะสางเื่นี้ให้รู้เื่กันไปเลย”
“ขอบคุณคุณปู่มากค่ะ” เซี่ยโม่เหมือนได้ยกก้อนหินออกจากอก
ผู้ใหญ่บ้านมองหน้าเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่นว่า “แต่พวกเธอสองพี่น้องต้องจำไว้นะว่าตัวเองแซ่เซี่ย”
เธอเข้าใจความหมายที่คุณปู่้าจะสื่อ แม้คุณปู่จะเห็นด้วยที่เธอกับน้องจะไปอยู่กับคุณตาคุณยาย แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะเปลี่ยนแซ่ได้
ผู้เฒ่าผู้แก่ยุคนี้ให้ความสำคัญกับวงศ์ตระกูล ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้เห็นต่างในเื่นี้
เซี่ยโม่รีบเอ่ยทันทีว่า “คุณปู่วางใจเถอะค่ะ หนูกับน้องจะใช้แซ่เซี่ยตลอดไป”
คุณตาเอ่ยเสริมเช่นกันว่า “ฉันกับยายแก่อายุมากแล้ว ปลงแล้ว พวกเด็กๆ ใช้แซ่เซี่ยก็ต้องใช้แซ่เซี่ยตลอดไป”
ผู้ใหญ่บ้านได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “งั้นก็ไปกัน”
ไม่กี่นาทีต่อมาทั้งหมดก็เดินมาถึงบ้านของเซี่ยฟู่กุ้ย หรือก็คือบ้านของเซี่ยโม่กับน้องชาย
เซี่ยฟู่กุ้ยกับเซี่ยอวิ๋นในเวลานี้รับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว กำลังนั่งพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติอยู่หน้าบ้าน
หากเป็คนไม่รู้เื่ราวมาก่อน ต้องนึกว่าสองคนนี้เป็บิดาและบุตรสาวแท้ๆ กันแน่
เซี่ยโม่สะท้อนในอก เธอกับน้องชายไม่อยู่บ้าน แต่ที่บ้านกลับไม่มีใครออกตามหาเลย
ไม่เพียงไม่ออกตามหา บิดากับพี่สาวยังนั่งคุยกันอย่างมีความสุขอีกต่างหากแสดงให้เห็นว่าในใจของบิดาไม่มีเธอและน้องชายแม้แต่น้อย
“อะแฮ่ม…” ผู้ใหญ่บ้านกระแอมเพื่อเรียกความสนใจจากสองพ่อลูก
เซี่ยฟู่กุ้ยเงยหน้าขึ้น ครั้นเห็นว่าเป็ผู้ใหญ่บ้านที่เดินเข้ามา เซี่ยฟู่กุ้ยรีบลุกขึ้นยืน ต้อนรับขับสู้พร้อมรอยยิ้ม “ผู้ใหญ่บ้าน เชิญเข้ามาก่อน”
แต่พอเห็นเซี่ยโม่และอดีตพ่อตาที่ยืนอยู่ข้างหลัง คิ้วพลันขมวดเป็ปม เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “โม่โม่ ไม่ใช่ว่าฉันให้แกไปตัดไม้บนเขามาทำฟืนหรือ ทำไมถึงกลับมามือเปล่า”
หลังจากสั่งสอนบุตรสาวจบก็เลื่อนสายตาไปที่อดีตพ่อตา “ตาแก่อู๋ คุณมาทำอะไรที่นี่”
เซี่ยฟู่กุ้ยถามอดีตพ่อตาเสียงแข็ง ท่าทางเช่นนี้นับว่าทำให้ผู้ใหญ่บ้านได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
ที่ผ่านมาเขาชื่นชมเซี่ยฟู่กุ้ยมาก
แม้สูญเสียภรรยา ทิ้งบุตรชายกับบุตรสาวอย่างละคนเอาไว้ให้ ต่อมายังแต่งงานใหม่กับคนที่มีลูกติดมาอีก กระนั้นครอบครัวก็ยังรักใคร่ปรองดองกันดี
แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีความสามารถไม่น้อย
ด้านอู๋กวงเต๋อ ประเดี๋ยวหน้าแดงประเดี๋ยวหน้าซีดขาว หากไม่ใช่เพราะหลานสาวแล้วละก็ เขาหรือจะมาที่นี่
นึกถึงปีนั้นเพื่อให้ได้แต่งงานกับบุตรสาวของเขา อีกฝ่ายมีท่าทีเคารพนอบน้อมต่อเขามาก
แต่พอได้แต่งงานกับบุตรสาวของเขาแล้ว ท่าทีกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือ กลายเป็คนไร้เหตุผล
ตอนนี้ยังมองเขาเหมือนเป็ศัตรู ถึงกับเรียกเขาว่าตาแก่อู๋
ก็อย่างว่า เ้าสารเลวนี่ขนาดลูกชายแท้ๆ ยังเอาไปทิ้งได้ นับประสาอะไรกับอดีตพ่อตาอย่างเขา
เซี่ยโม่คิดในใจว่า บิดาของเธอช่างเปลี่ยนหน้าได้ไวดีแท้ ต้องไปเรียนมาจากแม่ดอกบัวขาวคนนั้นแน่
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “เซี่ยฟู่กุ้ย แกอย่าทำตัวเหมือนหมาที่กัดคนเขาไปทั่ว ที่ฉันมาหาแกที่นี่เพราะมีธุระจะคุยด้วย”
เซี่ยโม่ชื่นชมผู้ใหญ่บ้านอยู่ในใจ คุณปู่สุดยอดไปเลย!
เซี่ยฟู่กุ้ยเห็นผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าแข็งกระด้างก็รีบด้วยเก็บท่าทีไม่พอใจกลับลงไป เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ผู้ใหญ่บ้าน มีธุระอะไรเข้าไปพูดกันข้างในเถอะ”
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “แกรู้ไหมว่าตอนนี้ลูกชายแกอยู่ไหน”
เซี่ยฟู่กุ้ยตอบ “อยู่ในห้อง กำลังให้นมอยู่”
สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านแข็งกร้าวขึ้น เอ่ยเน้นทีละคำว่า “ฉันหมายถึงลูกชายคนโต เซี่ยเฉินเฟิง!”
“มัน…มันน่าจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก ตอนนี้ยังไม่กลับเลย ซนจริงๆ เ้าลูกคนนี้”
ผู้ใหญ่บ้านกระตุกมุมปากอย่างดูแคลน โบราณว่าไว้ได้ถูกต้องจริงๆ พอมีแม่เลี้ยง พ่อเลี้ยงก็จะตามมา
เวลานี้เองที่เซี่ยโม่เอ่ยออกมา “เซี่ยเฉินเฟิงถูกหลานชายของแม่เลี้ยง หวางหมาจื่อพาไปทิ้งไว้บนรถไฟ”
ราวกับมีะเิลงก็ไม่ปาน ใบหน้าเคารพเอาใจของเซี่ยฟู่กุ้ยเปลี่ยนเป็แข็งค้าง ก่อนจะต่อว่าอย่างไม่พอใจ “แกนี่ พูดบ้าอะไรของแก จะเป็ไปได้ยังไง แม่เลี้ยงดีต่อเฉินเฟิงตั้งเท่าไร แกใช่ว่าไม่รู้!”
ชาติที่แล้วเซี่ยโม่เข้าใจว่าแม่เลี้ยงรักเฉินเฟิงจริงๆ มาชาตินี้ถึงได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นแม่เลี้ยงแค่แกล้งทำ
เธอเล่าต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “โชคดีที่ได้เจอคนรู้จักที่สถานีรถไฟ เขาช่วยหนูตามหาน้องชายจนเจอ ในเมื่อบ้านหลังนี้ไม่มีที่ให้หนูกับน้อง หลังจากนี้หนูกับน้องก็จะไปอยู่กับคุณตาคุณยาย”
เซี่ยฟู่กุ้ยคิดจะพูดอะไรบางอย่าง หากประตูบ้านถูกเปิดออกมาเสียก่อน พร้อมหวางลี่ลี่จะเดินออกมา
ผู้หญิงอายุสามสิบกว่า แต่งตัวสะอาดสะอ้านดูดี แม้จะมีลูกสองคนแล้ว หากรูปร่างยังคงสมส่วน อกเป็อกเอวเป็เอว เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งสตรีเพศ
หวางลี่ลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “โม่โม่ เราพูดอะไรน่ะ ใครว่าบ้านนี้ไม่มีที่สำหรับเรากับน้อง เมื่อเช้าก่อนเราจะขึ้นเขา แม่ยังต้มไข่ให้เราเอาไปกินเพราะกลัวจะหิวอยู่เลย แม่ไม่ดีต่อเราเหรอ ทำไมเราถึงใส่ร้ายแม่…”
อีกฝ่ายคงแอบฟังอยู่ในบ้านสินะ พอปรากฏตัวออกมาก็รีบอธิบายความจริงเลยทันที
สมกับเป็ดอกบัวขาว พูดเสียดูน่าเชื่อถือ หากเป็เธอผู้โง่เขลาเมื่อชาติที่แล้วจะต้องเชื่ออย่างแน่นอน
แต่เธอในวันนี้ไม่ใช่คนโง่เขลาเหมือนเมื่อชาติที่แล้วอีกต่อไป
เธอยิ้มเ็า “ดีกับพวกเราสองพี่น้อง โดยการให้น้องชายใส่รองเท้าที่ทำจากกระดาษ ดีกับพวกเราพี่น้อง โดยการให้คนพาตัวน้องชายไปทิ้งไว้บนรถไฟ หลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะไปหาฟืนหรือตักน้ำ คุณให้ฉันเป็คนไปทำตลอด นี่เหรอที่เรียกว่าดีกับเราสองพี่น้อง ส่วนไข่ต้มคุณก็รู้ว่าฉันไม่มีทางรับ ซึ่งฉันก็ไม่ได้รับมัน ตอนนี้ไม่ใช่ว่าไปอยู่ในท้องคุณแล้วเหรอ”
สีหน้าหวางลี่ลี่เปลี่ยนเป็โมโห “เราพูดอะไรเนี่ย ใครบอกว่าเฉินเฟิงสวมรองเท้าที่ทำจากกระดาษ”
เธอหยิบรองเท้าที่ให้ผู้ใหญ่บ้านดูก่อนหน้านี้ออกมา แล้วโยนไปตรงหน้าเพื่อใช้มันเป็หลักฐาน “คุณทำเอง คุณจะไม่ยอมรับอย่างนั้นเหรอ”
หวางลี่ลี่หยิบรองเท้าขึ้นมาดู ก่อนจะร้องไห้อย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ผู้ใหญ่บ้าน ฉันถูกใส่ร้าย เฉินเฟิงเด็กนั่นใช้รองเท้าเปลืองมาก วันก่อนมีพ่อค้าหาบเร่มาขายของแถวนี้ ฉันเห็นว่ารองเท้าที่เขาขายดูไม่เลวก็เลยตัดใจจ่ายเงินห้าเหมาเพื่อซื้อมา ที่แท้ฉันก็ถูกเขาหลอก…”
เธอจำได้แม่นว่า ด้านข้างตัวรองเท้าของเฉินเฟิงที่ทำจากผ้า ทำมาจากเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วของบิดา
ดอกบัวขาวดอกนี้ช่างเล่นละครเก่งนัก
เธอยิ้มเ็าพลางพูดเปิดโปง “พ่อค้าหาบเร่ที่ไหน ผ้าด้านข้างของรองเท้าทำมาจากเสื้อที่ขาดแล้วของคุณพ่อ หาใครในหมู่บ้านมาถามก็รู้”
หวางลี่ลี่รู้สึกว่าเซี่ยโม่ที่ปกติพูดง่ายและเชื่อฟังเธอมาตลอด วันนี้กลับพูดยากเหลือเกิน
เธอถลึงตามองอีกฝ่าย “โม่โม่ เสื้อผ้าเก่าๆ ที่ไหนก็สีแบบนี้ทั้งนั้น เราพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
ผู้ใหญ่บ้านแทรกขึ้นมาว่า “ไม่พูดเื่รองเท้าก็ได้ งั้นเธอจะอธิบายเื่เฉินเฟิงว่ายังไง”
ลูกตาหวางลี่ลี่หมุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้ใหญ่บ้าน เฉินเฟิงจะไปอยู่บนรถไฟได้ยังไง ไม่ใช่ถูกใครลักพาตัวไปหรอกหรือ เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหลานชายฉันทั้งสิ้น”
แม่ดอกบัวขาวดอกนี้เก่งจริงๆ เื่รองเท้าก็แกล้งพูดให้สับสน
ตอนนี้เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดที่ดูแลเฉินเฟิงไม่ดีถึงขั้นพูดให้ดูน่ากลัว
“มีพนักงานของสถานีรถไฟเห็นหลานชายของคุณพาเฉินเฟิงไปทิ้งไว้บนรถไฟ หากคุณคิดจะแก้ตัว ฉันจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ บอกว่าหลานคุณลักพาตัวน้องชายฉันไป ตำรวจต้องสืบสวนเื่นี้อย่างละเอียดแน่นอน พอถึงตอนนั้นจะดูสิว่าเป็หลานชายคุณที่ลักพาตัวเฉินเฟิงไป หรือคุณตั้งใจเลี้ยงเฉินเฟิงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ กันแน่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้