Chapter 12
“โจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณี เข้าพิจารณาโทษข้อหากระทำผิดกฎเทพข้อที่ 2,609 ห้ามสะกดจิตมนุษย์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เริ่มการพิจารณาโทษได้”
ห้องโถงขนาดใหญ่ในอาคารแข็งแรงสร้างจากหิน เต็มไปด้วยเหล่าเทพอารักษ์กฎกว่าห้าสิบองค์เพื่อเข้าฟังการพิจารณาโทษของเทพผู้ทำผิดกฎอย่างโจไซอา รวมถึงเหล่าบริวารผู้ภักดีเป็ซาตานร่างกายสูงใหญ่และกำยำกายสีขาวนวลราวหินอ่อนสลักอีกห้าสิบตน
“ได้ยินว่าท่านเทพร่วมหลับนอนกับเทพอารักษ์กฎทุกองค์มาแล้ว ฉันว่ายังไงก็พ้นโทษ”
“ทุกองค์เลยเหรอ เทพอารักษ์มีเป็ร้อยนะ”
“คอยดูตอนตัดสินแล้วกัน”
นอกจากเทพอารักษ์ที่ต้องทำหน้าที่กับบริวารเป็เหล่าซาตาน ยังมีเทพสอดรู้ที่เข้าฟังการพิจารณาโทษของโจไซอาด้วย เสียงนินทาดังมาจากด้านหลังเข้าหูของโจไซอาชัดเจนทุกคำ เขาคงหันขวับไปมองด้วยแววตาเหยียดหยามเทพผู้นั้นไปแล้ว หากไม่ต้องเล่นบทเทพผู้เมตตาและขี้สงสาร
“หลังจากส่งจดหมายเตือนเื่การทำผิดกฎเทพหนึ่งครั้ง แต่ยังทำผิดซ้ำกับมนุษย์คนเดิม เพราะอะไรท่านเทพโจไซอา” เทพอารักษ์กฎในเสื้อคลุมสีดำยาวถึงข้อเท้า สวมหน้ากากสีเงินกล่าวเสียงก้องห้องโถง เขานั่งอยู่บนแท่น มีกระดาษสีอมเหลืองวางกองตรงหน้า
“ฮึก—” โจไซอายืนที่กลางแท่นเตี้ยทรงกลมกลางห้องโถงขนาดใหญ่ มือเรียวบางยกขึ้นปิดหน้าพร้อมเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกจากฝ่ามือ ทำให้ทั้งห้องโถงเงียบสนิทแม้จะมีหลายชีวิตอยู่รวมกัน
“ขออภัย ท่านเทพอารักษ์กฎ” โจไซอาก้มหัวอย่างนอบน้อม ทำทีเป็ปาดน้ำตา วางมือทาบที่แผ่นอก สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าสบตาผู้ตัดสินโทษของตน
“ฉันเฝ้ามองมนุษย์คนหนึ่งอยู่นาน…” แต่ความจริงแค่สามวัน
“เขาเกิดบนกองเงินกองทอง ชีวิตดูสุขสบายราบรื่นดี แต่ไม่ใช่เลย เขาถูกพ่อแม่บงการชีวิต ั้แ่เด็กจนอายุ 25 ปี เขาทรมานมากท่านเทพ” ดวงตากลมเฉี่ยวขึ้นสีแดงจาง แววตาแข็งกร้าวด้วยความโกรธ
“ฉันทนเห็นเขามีชีวิตอยู่แบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว ครั้งแรกฉันทำไปอย่างสิ้นคิด และโง่เขลาที่สะกดจิตพ่อแม่ให้เลิกยุ่งกับเขาเสียดื้อ ๆ แต่เมื่อมนตร์หายไป อย่างที่พวกท่านรู้กันดี…” โจไซอากวาดสายตามององค์เทพที่รายล้อมอยู่รอบห้องโถง
“เขาหัวใจแตกสลาย ท่านเทพ อิสระเพียงชั่วครั้งชั่วคราวจากความโง่เขลาของฉันทำร้ายเขา ฉันจึงต้องรับผิดชอบ ฉันยอมเสี่ยงเพืุ่์ผู้น่าสงสารคนนี้ ฉันสะกดจิตพ่อแม่ที่ขังเขาไว้อีกครั้ง แต่ฉันไม่ได้โง่อีกแล้วท่านเทพ ฉันศึกษาความคิดของมนุษย์มาตลอดอายุ 109 ปี ฉันสะกดให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดและอยากปรับปรุงตัวกับลูกชาย บัดนี้ มนุษย์ผู้นั้นได้รับอิสระอีกครั้งแล้ว…”
โจไซอาหยุดพูด ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่ง มือวางแนบััพื้นหินเย็นเฉียบ แล้วเพียงไม่นาน สัญลักษณ์แห่งความเศร้าโศกก็ไหลออกจากดวงตา น้ำสีใสหยดลงบนพื้นหิน จากหนึ่งหยด เป็สองหยด และไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย โจไซอานั่งร้องไห้จนตัวสั่น ท่ามกลางสายตาของเหล่าเทพและเหล่าซาตาน
“มนตร์สะกดจิตของฉันไม่อยู่ถาวร สักวันหนึ่ง… เขาจะต้องกลับไปเป็เหมือนเดิม ฉันยอมไม่ได้ท่านองค์เทพ ฉันยอมไม่ได้”
แม้ร้องไห้น้ำตาอาบแก้มแต่โจไซอาพูดชัดถ้อยชัดคำ เขาได้ยินเสียงถอนหายใจ และบทสนทนาของเทพสอดรู้ที่เริ่มสงสารเขา
“หยุดร้องไห้เถอะ ท่านเทพโจไซอา ไปเอาผ้าเช็ดน้ำตาให้องค์เทพ ก่อนที่ห้องนี้จะไฟไหม้เสียก่อน เร็ว” เทพอารักษ์กฎที่นั่งอยู่ตรงกลางเอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวล และหันไปสั่งกับบริวารที่เป็ซาตาน
น้ำตาของเทพยามเศร้าโศก มีพลังอำนาจทำลายล้างและแผดเผา น้ำตาหนึ่งหยดเป็เหมือนเปลวไฟ ซาตานหนุ่มร่างกำยำรีบตรงเข้ามาหาโจไซอา ส่งผ้าเช็ดน้ำตาสีขาวมุกที่สามารถดับไฟโดยเฉพาะให้องค์เทพที่ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม และช่วยพยุงร่างเพรียวบางให้ลุกขึ้นยืน แต่โจไซอายังคงก้มหน้าสงบเสงี่ยม ไหล่สั่นเป็พัก ๆ จากก้อนสะอื้น
“จากการตรวจสอบและเฝ้ามองมนุษย์สองคนที่ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างปกติและไม่มีใครสงสัยเื่การเปลี่ยนแปลงครับท่านเทพ” เทพอารักษ์กฎผู้น้อยส่งแผ่นกระดาษสีอมเหลืองให้เทพที่นั่งอยู่ตรงกลาง
“อืม… แล้วท่านเทพโจไซอา ท่านรู้กฎและบทลงโทษดีหรือไม่ ท่านอาจถูกจำคุกเทพถึงร้อยปี และอาจถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปโลกมนุษย์ห้าสิบปีเลยนะ” เทพอารักษ์าุโมองอักขระเทพในหน้ากระดาษ แล้วถามย้ำกับโจไซอาที่ต้องมีซาตานคอยประคองให้ยืนตรง
“ฉันรู้ดีท่านเทพ” เสียงหวานสะอื้นขึ้นจมูก “ฉันไม่สนว่าฉันจะต้องรับโทษอะไรบ้าง แต่ฉันขอแค่ให้มนุษย์ผู้น่าสงสารที่ฉันช่วยเขาคนนี้… ให้เขาเป็อิสระจากพ่อแม่อย่างแท้จริง ฉันขอร้องท่านเทพอารักษ์กฎ ได้โปรดเชิญเทพแห่งการสะกดจิต เพื่อช่วยให้เขาหลุดพ้นอย่างถาวร ได้โปรด… ฮึก—”
หลังจากกล่าวคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก น้ำตาก็พรั่งพรูมาจากขอบตาอีกครั้ง โจไซอาเช็ดน้ำตาของตนเองด้วยผ้าที่ซาตานมอบให้ เขารีบเช็ดมันออกเพราะน้ำตานี้ไม่มีพลังอำนาจทำลายล้างใด ๆ เนื่องจากมันไม่ได้เกิดจากความเศร้าโศกของเทพ แต่เกิดจากการเสแสร้งเท่านั้น
“หากท่านอยู่ในคุกเทพ ผมสัญญาว่าจะดูแลท่านอย่างดี” ซาตานที่ส่งผ้าเช็ดน้ำตาให้ และคอยพยุงอยู่เคียงข้างเอ่ยด้วยความเลื่อมใส โจไซอายกยิ้มแล้วพยักหน้า แตะมือที่ท่อนแขนสีขาวราวหินอ่อนแล้วก้มหน้าซุกฝ่ามืออีกครั้ง ปกปิดรอยยิ้มแห่งความสำเร็จที่สามารถหลอกลวงบริวารเทพอารักษ์กฎได้
ท่ามกลางเสียงแ่เบาจนแทบไม่ได้ยินของเหล่าเทพอารักษ์กฎทั้งห้าสิบองค์กำลังปรึกษาหารือกัน พร้อมกับเสียงนินทาจากเทพสอดรู้ด้านหลังทำให้เสียงนั้นปะปนกันวุ่นวายจนโจไซอาฟังไม่ออก เขาเงยหน้ามองทางขวาของตนเอง พ่อและแม่ของเขานั่งอยู่ตรงนั้น
พ่อมีใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ แต่ยกมือขวาทาบแผ่นอกของตนเองตามวิธีการแสดงความเห็นอกเห็นใจของเทพเมื่อสบตากับโจไซอา ข้างกันคือแม่ที่สวมหมวกสีดำ มีผ้าตาข่ายทอละเอียดจนแทบจะทึบปิดใบหน้าทั้งหมดเอาไว้ เพราะเธอแสดงละครไม่เก่ง
และน่าแปลกที่ถัดจากแม่คือจูลิโอ เทพแห่งความฝันเพื่อนรักของโจไซอา ซึ่งควรจะอยู่ที่บ้านเตรียมงานแต่ง แต่กลับมานั่งฟังการพิจารณาโทษของเขาที่นี่ โจไซอาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ และได้รับการขยิบตาของเทพแห่งความฝันตอบกลับมา เขาจึงรีบหันหน้าหนีจากเพื่อนสนิท เพราะกลัวว่าเทพอารักษ์กฎจะจับได้ว่าทั้งหมดเป็เพียงเื่แต่ง
“ใช้เวลามามากแล้วละ วันนี้พวกเราไม่ได้มีการพิจารณาโทษของเทพโจไซอาองค์เดียว” เทพอารักษ์กฎที่คาดว่าาุโที่สุดให้ห้องนี้กล่าวเสียงก้อง เสียงกระซิบกระซาบจึงเงียบลงทันที
“พวกเราเทพอารักษ์กฎได้ปรึกษากัน และฟังความคิดเห็นอย่างครบถ้วนแล้ว ขอตัดสินการพิจารณาโทษของโจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณีว่า…” ดวงตาสีดำใต้หน้ากากเงินจ้องกระดาษสีอมเหลืองในมือ
“เทพอารักษ์กฎจะเฝ้ามองพฤติกรรมของโจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณี ทั้งในเมืองเทพ และในโลกมนุษย์เป็เวลา 1 ปีเต็ม ระหว่างนั้น จะให้เทพแห่งการสะกดจิตรับ่ดูแลการสะกดจิตเพื่อช่วยเหลืุ์ผู้นั้นต่อ ตามความประสงค์ของเทพโจไซอา”
“ขอบคุณ ท่านเทพ ขอบคุณ”
โจไซอาน้ำตาไหลพรากพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า มือเรียวข้างขวาวางทาบแผ่นอกขณะเอ่ยขอบคุณ พร้อมกวาดตามองเทพอารักษ์กฎทุกองค์ในห้องโถง รวมถึงเหล่าบริวารอย่างเท่าเทียม
“ฉันไม่สนว่าฉันจะต้องรับโทษอะไรบ้าง แต่ฉันขอแค่ให้มนุษย์ผู้น่าสงสารที่ฉันช่วยเขาคนนี้ ให้เขาเป็อิสระจากพ่อแม่อย่างแท้จริง”
จูลิโอเบะปากทำหน้าบิดเบี้ยว ยกมือขวาทาบแผ่นอก ดัดเสียงให้แหบแห้งติดขัดด้วยก้อนสะอื้น และตั้งอกตั้งใจเป็พิเศษในการล้อเลียนคำพูดของโจไซอาในห้องพิจารณาโทษของเทพอารักษ์กฎ
“เงียบไปเลยนะ!” โจไซอาฟาดแขนเพื่อนสนิทที่อยู่ในชุดสีขาวทั้งตัวเพราะเป็งานแต่งของจูลิโอ
เทพแห่งความฝัน เพื่อนรักของโจไซอาเป็ชายร่างสูงผอมโปร่ง แขนขายาวสะโอดสะอง ผิวสีขาวจัดราวหิมะ เมื่ออยู่ในชุดขาวกับผ้าคลุมโปร่งบางสีขาวประดับที่ศีรษะจึงดูเปล่งประกายงดงาม สมกับเป็ตัวเอกของงานในวันนี้
“สามีคนที่ 98 ของเธอไปไหน” โจไซอากระดกไวน์แดงแบบมนุษย์ที่เสิร์ฟในงานด้วยความปลื้มปีติ พลางมองหาเ้าบ่าวของเพื่อนที่ลงทุนขนไวน์มาจากโลกมนุษย์
“อยู่กับท่านพ่อน่ะ เขาตื่นเต้นอะไรนักก็ไม่รู้ ไม่ใช่เขยคนแรกเสียหน่อย ฮ่า ๆๆ” ทั้งคู่หัวเราะผสานเสียงกัน และคุยกันไม่หยุดปากเพราะไม่ได้เจอกันนาน
“เอาจริงเหรอโจ คนนี้น่ะนะ”
“เขาชื่อเอเดน”
“เป็ะหรือยัง”
“ใช่” โจไซอายิ้มเขินอาย แล้วยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีก
“พูดตรง ๆ เลยแล้วกัน ฉันเฝ้ามองเขาจากที่นี่” โจไซอาทำตาโต แล้วก็หัวเราะ
“ไม่เห็นต้องเป็ห่วงฉันขนาดนั้นเลย”
“ก็เขาดูไม่มั่นคง ยังเที่ยวเล่นไปเรื่อย อย่างกับสายลมแหนะ” โจไซอาส่ายหน้าทันทีเพื่อค้านความคิดเช่นนั้นของจูลิโอ
“เขาเพิ่งเคยได้ััอิสระก็ตอนที่ฉันสะกดจิตพ่อแม่เขาเอง จะเป็อย่างนั้นก็ไม่แปลกหรอก แต่เขาแตกต่างมากเลยจูลี่” เขาอมยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองขึ้นพร้อมคิดถึงภาพของชายหนุ่มผู้เป็ที่รัก
“เอเดนเป็คนจิตใจดีมากกว่าที่เห็น อ่อนโยนมากกว่าที่คิด เขาไม่เหมือนมนุษย์คนไหนที่ฉันเคยเจอ สุภาพ ช่างอ้อน แต่ก็ร้อนแรง” ระหว่างที่โจไซอากำลังบรรยายคนรัก จูลิโอก็ขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า
“ไม่ยักรู้ว่าพวกมนุษย์วางยาเสน่ห์ได้”
“ฉันหลงเอเดนยิ่งกว่าโดนยาเสน่ห์เสียอีก”
“หนักแล้วเพื่อนฉัน กู่ไม่กลับ” จูลิโอกระดกไวน์แดงในแก้วตนเองจนหมด แล้วเอียงแก้วหาผู้รับใช้ที่เดินผ่านมาพอดีให้เติมเพิ่ม
“โรครักระทมมันคงจะเบาสำหรับเธอไปแล้วสินะโจซี่ นึกว่าจะเข็ด” เมื่อเพื่อนสนิทเอ่ยถึงอดีต โจไซอาจึงหลุดจากภวังค์การเพ้อคิดถึงเอเดน แล้วหันมองเพื่อนด้วยแววตาจริงจัง
“เขาเป็คนดีมากเลยนะ ฉันไม่ได้บอกเขาเื่ะ เื่อำนาจโชคลาภ อีกอย่าง เอเดนเกลียดพวกบ้าอำนาจยิ่งกว่าอะไร ฉันไม่ต้องห่วงเื่หลอกเอาผลประโยชน์จากเขาเลย”
โจไซอามั่นใจในตัวเอเดน เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายแตกต่างจากที่ตนเคยเจอ ทั้งสองยืนคุยกันอีกสองสามประโยค ก่อนที่เพื่อนเก่าของโจไซอาจะร้องเรียกจึงต้องปลีกตัวออกไป ปล่อยให้จูลิโอได้ยืนควงแขนเ้าบ่าวคนที่ 98
“ขอให้เป็คนดีจริง ๆ เถอะ”
หลังงานแต่งและงานเลี้ยงฉลองที่จัดอย่างยาวนาน 5 วัน 5 คืนผ่านพ้นไป โจไซอาจึงเก็บของใช้ไม่กี่อย่างใส่กระเป๋าถือ แล้วเดินทางข้ามประตูเชื่อมสองโลก กลับโลกมนุษย์ทันทีราวกับเมืองเทพไม่ใช่บ้านของเขาอีกต่อไปแล้ว หากไม่เกรงใจเพื่อนสนิทอย่างจูลิโอที่เป็เ้าของงาน เขาคงปลีกตัวกลับมาก่อนั้แ่วันที่สาม เพราะทนคิดถึงเอเดนไม่ไหว
เขาปรากฏกายที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ขณะนี้เป็เวลาที่ฟ้ามืดสนิทแล้วในโลกมนุษย์ ไฟอัตโนมัติสีส้มรอบ ๆ สวน และรอบสระว่ายน้ำสว่างไสวสร้างความอบอุ่นน่าอยู่ให้บ้านชั้นเดียวหลังนี้ แต่ยิ่งโจไซอาเดินเข้าใกล้ตัวบ้านเท่าไร กลับยิ่งเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย เพราะภายในบ้านมืดสนิท
“เอเดน ฉันกลับมาแล้ว” โจไซอาผลักประตูบ้าน คลำหาสวิตช์ไฟจนเจอ และภายในห้องรับแขกก็สว่างด้วยหลอดไฟ เขากวาดตามองตามหาเอเดนอีกครั้ง แต่ไม่มีเสียงใด ๆ ที่แสดงถึงการมีอยู่ของมนุษย์เลย
โจไซอาเข้าห้องนอน วางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะไม้ที่เข้าใช้เขียนจดหมาย ควานหาโทรศัพท์มือถือที่เอเดนให้ไว้แล้วลองกดเปิดเครื่องแบบที่อีกฝ่ายสอน เพราะตลอดเจ็ดวันที่เมืองเทพโทรศัพท์นี้ใช้การไม่ได้เลย
เมื่อหน้าจอติดและพร้อมใช้งาน กลับไม่มีข้อความหรือสายที่ไม่ได้รับใด ๆ จากเอเดน โจไซอายืนนิ่งครุ่นคิดถึงตอนที่อีกฝ่ายสอนวิธีโทรออก แล้วลองกดไปเรื่อย ๆ จนสามารถโทรหาเอเดนได้ เขายกโทรศัพท์แนบใบหู แต่กลับได้ยินเสียงรอสายเป็จังหวะเชื่องช้าน่าหงุดหงิดแทน
โจไซอาไม่รู้จักการโทรย้ำซ้ำสอง เขาจึงแค่วางโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้เพราะคิดว่ามันเสียจึงโทรไม่ติด เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็ชุดนอนที่แขวนเป็ระเบียบในตู้ แล้วออกมานั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่นพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องสีขาวในมือ
และนั่งรออยู่ตรงนั้น จนแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ส่องสว่าง
เสียงเครื่องยนต์ของรถดังขึ้น และขยับใกล้เข้ามาในสนามหญ้าหน้าบ้าน จนหยุดที่โรงรถในที่สุด เป็รถจักรยานยนต์คันใหญ่ใหม่เอี่ยมของเอเดน ที่มาแทนคันเก่าซึ่งถูกทุบและฟันจนกลายเป็แค่เศษเหล็ก ร่างสูงกำยำในชุดเสื้อหนังสีดำกับถุงมือหนังสีน้ำตาลเดินเข้ามาในตัวบ้าน มือหนาถอดถุงมือข้างขวาและผลักบานประตู
“โจ กลับมาแล้วเหรอ” โจไซอานั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาราวเหม่อลอย และหันตามเสียงเรียกด้วยรอยยิ้มหวาน
“ไปไหนมาเหรอ” เขาลุกขึ้นจากโซฟา เดินมาสวมกอดเอเดนหลวม ๆ แล้วช้อนตามองถามเสียงอ้อน
“บ้านพ่อแม่ครับ คิดถึงคุณนะ” ริมฝีปากบางแตะจูบข้างแก้ม แล้วโอบกอดเอาคางเกยไหล่เสียแน่น
จนโจไซอาได้กลิ่นเหล้าจากตัวเอเดน
ค่ำคืนในวันแสนธรรมดา เอเดนจูบโจไซอาก่อนเข้านอนอย่างที่ทำเสมอ แต่การไม่ได้เจอกันนานเป็สัปดาห์ทำให้โจไซอาโหยหาการััร่างกายของเอเดนมากกว่าเดิม เพียงจูบแ่เบาไม่สามารถคลายความ้าของเขาได้ ตรงกันข้ามกับเอเดนที่ดูนิ่งเงียบและสงบ ร่างสูงกดจูบโจไซอาที่หน้าผาก อ้าแขนกอดแน่นแล้วหลับตา
เขาได้รับอ้อมกอดจากแขนอบอุ่นนี้ แต่กลับหลับไม่ลงด้วยความรู้สึกที่ก่อกวนจิตใจของโจไซอา เขานอนจ้องเอเดนอยู่สักพักหลังข่มตาหลับไม่สำเร็จ เพียงแค่ไม่กี่นาทีหลังโอบกอดกันแน่น เอเดนกลับพลิกตัวนอนหงาย ปล่อยร่างเพรียวบางจากอ้อมแขนให้นอนที่ฝั่งของตนเอง ลมหายใจของเอเดนสม่ำเสมอ แผ่นอกหนาขยับขึ้นลงตามการหายใจ
งานแต่งที่จัดเลี้ยงแขกตลอด 5 วัน 5 คืนเพราะพวกเทพชอบงานเลี้ยง และไม่จำเป็ต้องหลับใหลทำให้โจไซอาไม่ได้นอนมาหลายคืน ซึ่งมันควรส่งผลให้เขาหลับง่ายขึ้นในคืนนี้ แต่มันกลับตรงกันข้าม ดวงตาสีน้ำตาลยังคงจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเอเดนยามหลับ มือเรียวยกขึ้นวางแนบที่อกกว้าง ััหัวใจที่เต้นเป็จังหวะอยู่ภายใน
ความกังวล และลางสังหรณ์ในเื่ไม่ดีเกิดขึ้นในความคิด แต่โจไซอาไม่อยากเชื่อมัน เขาถอนหายใจ แล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้เอเดน เพื่อพยายามข่มตาหลับอีกครั้ง
“ทำงานเหรอ” โจไซอาวางแท็บเล็ตที่ใช้อ่านข่าวสารของเช้าวันนี้ลง เพราะข่าวที่ได้ยินจากปากเอเดนน่าแปลกใจกว่า บนโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งกินมื้อเช้าด้วยกันทุกวัน จู่ ๆ เอเดนก็เอ่ยออกมาว่าวันนี้ต้องออกไปทำงาน
“ครับ เพื่อนสมัยเรียนมาขอให้ช่วย”
“เกี่ยวกับออกแบบใช่ไหม” เอเดนพยักหน้า
“ไกลหรือเปล่า”
“ไกลนิดหน่อยครับ”
“เอารถฉันไปใช้สิ จะได้นั่งสบาย”
“ผมมีรถอีกคันอยู่ที่บ้านเก่าครับ ผมจะไปเอามาใช้พอดี” เอเดนรีบกระดกน้ำเปล่าในแก้วรวดเดียวหมดแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะไปหยิบเสื้อแจ็กเกตกับถุงมือหนัง
“ไปก่อนนะครับ ผมกลัวจะสาย” เอเดนโน้มตัวลงมาจูบข้างแก้มโจไซอา ร่างเพรียวบางลุกเดินไปส่งที่หน้าประตูบ้าน ยืนพิงขอบประตูแล้วคอยมองอีกฝ่าย
“เดินทางปลอดภัยนะเอเดน”
เสียงหวานเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม มองเอเดนที่สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ขึ้นคร่อมรถคันใหม่และหันมาโบกมือลาโจไซอาอีกครั้ง มือเรียวยกขึ้นโบกกลับ เขายิ้มกว้างจนตาปิดระหว่างที่มองเอเดนขับรถออกไปทางประตูรั้วบ้าน
และหุบยิ้มทันทีที่รถจักรยานยนต์พ้นเขตบ้านไป
โจไซอาหันหลังเดินเข้าห้องนอน เปิดประตูตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนชุดนอนที่ตนสวมอยู่เป็กางเกงขายาวรัดรูป กับเสื้อแขนยาวพอดีตัวสีดำ พร้อมเสื้อโค้ทตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนเพราะอากาศเริ่มหนาว แล้วคว้าแว่นกันแดดติดมือมาด้วย
เขาเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน ล้วงเข้าไปลึกสุดเพื่อดึงตู้เซฟขนาดกะทัดรัดออกมา หมุนรหัสตามที่ผู้ช่วยเคยบอกเขา แล้วล้วงมือผ่านทองคำแท่งกับเงินสดเป็ฟ่อน เพื่อหยิบกุญแจรถอย่างสุ่มมั่วมาสักดอกหนึ่ง ก่อนจะเก็บตู้เซฟกลับที่เดิม
เขาทำทุกอย่างด้วยความเร่งรีบ สองขาเรียวยาวก้าวไปที่ประตูห้องนอน เปิดมันออกแล้วเดินข้ามผ่านประตูนั้นไป แต่ปรากฏกายที่โรงรถชั้นใต้ดินแห่งหนึ่งใจกลางเมือง เขากดรีโมทกุญแจรถยนต์เพื่อตามหารถสีดำสนิททั้งคัน รวมถึงฟิล์มดำมืดจนมองไม่เห็นด้านใน และสอดตัวเข้าไปนั่งเบาะคนขับ
โจไซอาดักรอเอเดนที่ถนนทางเข้าตัวเมือง เคาะพวงมาลัยอย่างรอคอย จ้องมองรถทุกคันที่แล่นผ่านเส้นนี้อย่างไม่วางตา กระทั่งพบรถจักรยายนต์คันใหญ่ของเอเดนจึงออกรถตาม ทิ้งระยะห่างพอเหมาะ
น่าแปลกที่เอเดนไม่ได้เลี้ยวไปทางคฤหาสน์กริฟฟินอย่างที่อีกฝ่ายบอกเขา แต่กลับขับตรงมุ่งหน้าเดินทางออกนอกเมือง ไปที่เมืองเล็ก ๆ ข้างกัน ตึกสูงเริ่มเบาบางลงจนเหลือตึกพาณิชย์สูงสามชั้นเรียงรายเป็แถว และบ้านเรือนที่มีรั้วตั้งห่างกันพอสมควร เขาขับรถตามเอเดนเกือบหนึ่งชั่วโมง จนมาถึงหมู่บ้านเงียบสงบเต็มไปด้วยต้นไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีเพราะฤดูใบไม้ร่วงกำลังมาถึง
เอเดนจอดรถจักรยานยนต์คันใหญ่ที่หน้าบ้านไม้ทาสีฟ้าหม่นกับสีขาวสูงสามชั้น เป็บ้านหลังใหญ่ที่สุดในระแวกนี้และเป็เพียงที่เดียวที่ไม่มีรั้วเตี้ยล้อมรอบ โจไซอาจอดรถหลบหลังซอยแคบที่มีบ้านหลังหนึ่งบังรถของเขาไว้ได้พอดี แล้วมองป้ายเก่า ๆ ที่อยู่เหนือทางเข้าบ้านสีฟ้าหม่น
‘บ้านพักคนชราคามีเลีย’
เอเดนถอดหมวกกันน็อกเต็มใบกับถุงมือหนังทิ้งไว้ที่รถ แล้วเดินเข้าไปในบ้านพักคนชราคามีเลียด้วยรอยยิ้มกว้างจนสามารถมองเห็นได้จากเสี้ยวหน้าด้านข้างในระยะไกล โจไซอาจึงลงจากรถ แล้วเดินไปใกล้บ้านหลังนั้นมากขึ้น
“งานเหรอ” เสียงหวานพึมพำกับตนเองแ่เบา เมื่อเดินมาหลบหลังลำต้นไม้อวบอ้วนข้างบ้านสีฟ้าหม่น
“เอเดน! คิดว่าจะไม่มาหาคนแก่ ๆ อย่างฉันเสียแล้ว”
“ไม่มีทางครับ ผมจะไม่มาหาคุณยายลิลลี่ได้ยังไง”
โจไซอามองไม่เห็นเหตุการณ์ด้านใน แต่ใช้ความหูดีในการฟังบทสนทนาของผู้คนในบ้านพักคนชราที่พูดกับเอเดน เสียงแหบแห้งมีแต่ลมที่ทำให้ฟังเป็ศัพท์ยากขึ้นของคนอายุมากล้วนยินดีที่ได้เจอเอเดน และทักทายพูดคุยอย่างสนิทสนมราวรู้จักกันมานาน
“พ่อหนุ่ม” เสียงสั่นของหญิงแก่คนหนึ่งดังขึ้น
“คุณยายเอ็มม่า เป็ยังไงบ้างครับ”
เสียงดีอกดีใจที่แฝงความออดอ้อนของเอเดนทำให้โจไซอาหลุดยิ้มกว้าง เขาจินตนาการวิธีเข้าไปอ้อนผู้ใหญ่ของเอเดนออกเป็ภาพได้เลยทีเดียว ร่างสูงคงจะย่อให้ตัวเล็กเท่า ๆ กับคุณยายเอ็มม่า แล้วจับแขนของเธอไว้แน่นอน
โจไซอายืนอยู่ตรงนั้นหลายนาทีจนเสียงของเอเดนกับคุณตาคุณยายที่บ้านพักคนชราเงียบลง และไม่ได้ยินอะไรเลย เขาเดินกลับไปรอที่รถด้วยความรู้สึกผิด เพราะเขากำลังไม่ไว้ใจอีกฝ่าย แต่คำโกหกของเอเดนว่าออกมาทำงานเมื่อเช้านี้ทำให้เขายังอยากรู้ และตามเอเดนต่อเพื่อหาเหตุผลโดยคิดเข้าข้างตัวเองตลอดเวลา
เอเดนเดินออกมาจากบ้านพักคนชราในตอนเย็นที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ร่างสูงใช้เวลาอยู่ที่นั่นทั้งวัน แล้วกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และแน่นอนว่าโจไซอายังคงจอดรถรออีกฝ่าย เมื่อเห็นเอเดนเขาก็นั่งหลังตรง และสตาร์ทรถเตรียมขับตามอีกครั้ง
แต่เอเดนต้องใช้เวลาพอสมควรในการสวมเสื้อแจ็กเกต และถุงมือกับหมวกกันน็อกให้เรียบร้อย ระหว่างที่โจไซอาจ้องมอง เขาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือเครื่องสีขาวที่เอเดนซื้อให้ ความคิดชั่ววูบสั่งให้โจไซอาหยิบมันขึ้นมาแล้วกดโทรออกหาเอเดน
คนตรงหน้าที่กำลังสวมหมวกกันน็อกหยุดชะงัก แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อกดรับสาย
“ว่าไงโจ”
“ฉัน… คือ แค่ลองกดดูน่ะ” เอเดนหัวเราะด้วยเสียงทุ้มน่าฟังหลังเขาตอบ
“เก่งมากครับ ต่อไปผมจะสอนคุณวิดีโอคอล” ตอนนี้โจไซอาไม่ได้สนใจการโทรแบบเห็นหน้าที่เอเดนเคยพูดถึง
“งานราบรื่นดีหรือเปล่าเอเดน”
“ราบรื่นดีครับ” มันเป็ความรู้สึกที่แสนแปลกประหลาดเมื่อน้ำเสียงของเอเดนดูปกติดี ขณะที่โจไซอารู้ว่าอีกฝ่ายโกหก
“เพื่อนอยากเลี้ยงมื้อค่ำผมสักหน่อยเพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ว ผมคงกลับดึกนะโจ”
เอเดนโกหกได้แเีอย่างเหลือเชื่อ เพราะน้ำเสียงของเขาไม่ได้แตกต่างจากตอนพูดความจริงเลย
“อื้ม ขอให้สนุกนะ”
เมื่อโจไซอากดวางสาย เอเดนก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมา อีกฝ่ายสวมหมวกกันน็อกแล้วขึ้นคร่อมรถคันใหม่ราวทุกอย่างปกติดี แต่โจไซอามือสั่นไปหมด เขาทิ้งโทรศัพท์มือถือที่เบาะข้างอย่างไม่แยแสความเป็ไปของมัน แล้วขับรถตามเอเดนต่อไป พร้อมกระบอกตาที่สั่นไหวอย่างสับสน
เอเดนขับเข้าเมืองใหญ่อีกครั้งด้วยความเร็วราวเร่งรีบจนโจไซอาเกือบตามไม่ทัน เพราะต้องทิ้งระยะห่างให้อีกฝ่ายไม่รู้ตัว แต่ด้วยการคาดเดาจากความหูดีของตนเองจึงขับมาตามเสียงเครื่องยนต์ และหยุดรถที่ด้านหน้าคลับขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่มีบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำหน้าตาเคร่งขรึมสองคนยืนคุมหน้าประตู เพื่อตรวจทุก ๆ คนที่เข้าไปด้านในร้าน ซึ่งพวกเขาให้เอเดนผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องแสดงบัตรผ่านเหมือนคนก่อนหน้า
โจไซอาไม่สามารถหายตัวเข้าไปด้านในได้ เพราะไม่รู้ว่ามีผู้คนด้านในมากเพียงใด และอาจมองเห็นเขาหรือไม่ โจไซอาจึงถอดเสื้อโค้ตทิ้งไว้ในรถ แล้วหยิบซองบุหรี่ติดมือมาด้วย สองขาเรียวก้าวไปที่ประตูทางเข้าอย่างมั่นใจและไม่ลังเล ซึ่งแน่นอนว่าบอดี้การ์ดต้องห้ามเขา
“บัตรผ่าน”
“ฉันลืมน่ะ แต่ฉันมากับคนนั้น ที่ใส่แจ็กเกตหนังสีดำ” ชายสองคนหันมองหน้ากัน แล้วเผลอพึมพำคำว่าเอเดน กริฟฟินให้เขาได้ยิน
“ใช่ เอเดน กริฟฟินนั่นแหละ”
“ไม่ได้ ต้องมีบัตรผ่าน” ชายคนฝั่งขวาเอ่ยเสียงหนักแน่น แล้วแบมือขอบัตรผ่านที่ว่า
“โธ่ มันจะอะไรกันนักกันหนา” โจไซอาเคาะบุหรี่จากซองออกมาคาบไว้ในปาก คลำตามกระเป๋ากางเกงเข้ารูปทำทีเป็ตามหาไฟแช็ก แล้วเลื่อนมือขึ้นจนชายเสื้อแขนยาวสีดำพอดีตัวเลิกสูง และเห็นเอวคอด ดวงตาของชายหนุ่มสองคนเบิกกว้างเล็กน้อย
“มีไฟแช็กไหม” ชายคนฝั่งซ้ายหยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท แล้วจุดไฟให้โจไซอาในทันที
ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มหว่านเสน่ห์ใส่ชายหนุ่มตัวสูง เขาช้อนมองใบหน้าเคร่งขรึมขณะคาบบุหรี่ในปาก เหยียดยิ้มเล็ก ๆ พลางจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเทาที่มองเขากลับมา
“ขอบใจ” โจไซอาสูดควันแล้วพ่นออกมาเชื่องช้า “ทีนี้ให้ฉันเข้าไปได้หรือยัง”
“ข้างในร้านตอนนี้เป็ไพรเวทปาร์ตี้ คุณคงมาผิดงานแล้ว”
“ผิดอะไรกัน ต้องถูกสิ” โจไซอาจ้องตาชายหนุ่มทางด้านขวาที่เข้มงวดกว่า เขามองค้างอยู่หลายวินาที นับเลขถอยหลังในใจว่าถ้าหากยังไม่ยอม เขาจะสะกดจิตให้รู้แล้วรู้รอด
“เชิญครับ” ชายฝั่งซ้ายเป็คนผายมืออนุญาตให้เขาเข้าไป
“ขอบใจนะ” โจไซอาหันไปขอบคุณพร้อมรอยยิ้มหวาน และจับฝ่ามือใหญ่หยาบกร้านของชายหนุ่มที่ยืนฝั่งขวาขึ้น เพื่อฝากมวนบุหรี่ที่สูบเพียงไม่กี่ครั้งกับเขาคนนั้น แล้วเหยียดยิ้มพร้อมเดินผ่านประตูเข้าไปในคลับ
ด้านในมีเสียงเพลงดังอึกทึกครึกโครมผสานเสียงผู้คนที่โห่ร้องเชียร์ผสมกันทั้งชายหญิง ที่กลางฟลอร์มีผู้คนเต้นอย่างสนุกสุดเหวี่ยงไม่สนสิ่งอื่นใด บางคนถอดเสื้อเปลือยท่อนบน บางคนเหลือแต่ชั้นในปกปิดหน้าอก นอกจากกลิ่นเหล้ายังมีควันเป็ไอลอยฟุ้งจนโจไซอาเบ้ปาก
การตามหาเอเดนในฝูงคนเช่นนี้ไม่ใช่เื่ง่าย มันจึงทำให้เขาหงุดหงิด เพราะร้านนี้ไม่มีชั้นลอย เขาไม่สามารถมองหาเอเดนจากมุมสูง จึงเดินเบียดเสียดฝ่าผู้คนไปเรื่อย ๆ จนหยุดอยู่กลางคลับ
เขาพบเอเดนในที่สุด
เส้นผมสีดำสนิทเสยไปด้านหลัง เสื้อแจ็กเกตหนังสีดำตัวนอกหายไป เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวพอดีตัว ดวงตาสีเฮเซลในแสงไฟมืดสลัวเช่นนี้จึงมองเห็นเป็สีน้ำตาลเข้ม มันปรือปรอย ดูล่องลอยไร้จุดหมาย ร่างกายก็ขยับโยกตามจังหวะเพลงเหมือนคนอื่น ๆ ในคลับ
แม้ว่าโจไซอาเจอเอเดนครั้งแรกในคลับเช่นกัน แต่ความรู้สึกกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งนั้นโจไซอามองว่าเอเดนไม่เหมือนคนอื่นที่เคยเจอ แต่วันนี้เขากลับเห็นเอเดนเหมือนกับคนทั่วไปที่ท่องราตรีแล้วเมาเละไม่เป็ท่า โดยมีรอยยิ้มยกมุมปากเล็ก ๆ ประดับบนใบหน้าเพื่อหว่านเสน่ห์
หญิงสาวผมยาวเป็ลอนสีดำเดินเข้ามาใกล้เอเดน เธอจับที่ท่อนแขนเอเดนเพียงแค่เล็กน้อย ร่างสูงก็ยิ้มรับแล้วโอบเอวอย่างว่องไว ทั้งสองเต้นด้วยกันตามจังหวะเพลงเร้าใจด้วยความใกล้ชิดเช่นนั้น
เอเดนวางฝ่ามือแนบที่แก้มของเธอ
และจูบริมฝีปากของเธออย่างดูดดื่มอยู่นาน
โดยที่โจไซอาเห็นภาพเ่าั้ทั้งหมด
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้