เมื่อย้อนกลับมานึกถึงิเป่าจู เสียงะโโห่ร้องให้เผาสังหารนางเพื่อคลายโทสะของเทพหยวนสื่อเทียนจุนก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง
“โอ้? กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์อะไรหรือ” หลี่ไหวฺอวี้ถามด้วยความสงสัย
“จะมีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อะไรได้ ก็ต้องเป็เล่มที่อยู่บนแท่นบูชาของต้าซือแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อครู่นี้เ้าไม่เห็นประกายแสงวูบวาบยามกระบี่พลิ้วไหวราวกับัทะยานหรอกหรือ” หยวนต้าจ้วงเดินขึ้นหน้าออกมา กล่าวพลางชี้ไปที่แท่นบูชา
“ในเมื่อต้าซือไม่สามารถแสดงอภินิหารให้ชม เช่นนั้นข้าขอยืมดูกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่” หลี่ไหวฺอวี้ยิ้มมุมปาก พร้อมกับถามต่อ
“นี่คือของวิเศษ ใช่สิ่งที่คนกายเนื้อธรรมดาอย่างเ้าจะจับต้องได้ที่ใดกัน เ้าไม่มีฌานตบะ ถึงมันจะอยู่ในมือเ้า ก็จะไม่ปรากฏอภินิหารอันใดออกมาอยู่ดี” นักพรตยืนกอดอกด้วยความกระหยิ่มใจ
“แน่นอน แน่นอน ข้าเพียงจะขอยืมมาดูเท่านั้น เมื่อเป็ของวิเศษ คงไม่ใช่ว่าคนธรรมดาเช่นข้าแตะต้องเล็กน้อย ก็จะหักใช่หรือไม่” หลี่ไหวฺอวี้เลิกคิ้วมองนักพรตปลอม พลางเอ่ยกลั้วยิ้ม
“แน่นอนอยู่แล้ว เ้าหยิบไปดูได้ แต่รีบเอากลับมาคืนก็พอ” นักพรตถูกไล่เบี้ยทุกทาง ขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก [1] ถึงจำใจต้องตอบตกลง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ดูเป็ชายหนุ่มเืร้อนอายุยังไม่มาก ที่มารบเร้าขอดู เป็ไปได้ว่าแค่เพียงชมชอบการเล่นดาบเล่นกระบี่ทั่วไป
หลี่ไหวฺอวี้กุมด้ามกระบี่แล้วชูขึ้นมาอย่างง่ายดาย เขามองพิจารณาั้แ่บนลงล่างอย่างละเอียดลออ ราวกับว่ากำลังดื่มด่ำชื่นชมในความสง่างามของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์
“เอาล่ะ เมื่อชมเสร็จแล้วก็รีบเอากลับไปวาง อย่าให้ข้าเสียเวลาปราบปิศาจ”
นักพรตมีสีหน้าอึดอัดใจ เมื่อเห็นหลี่ไหวฺอวี้เพียงแค่ดูเฉยๆ มิได้เคลื่อนไหวอย่างอื่น ถึงค่อยโล่งอก ก่อนพูดเร่งเร้า
“ฮึ่ย อย่าใจร้อนนักสิ ข้าก็พอรู้วิถีแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง อยากจะแสดงให้ต้าซือได้รับชม และขอคำชี้แนะได้หรือไม่”
หลี่ไหวฺอวี้ยิ้มร้าย ฉวยโอกาสที่นักพรตยังตะลึงพรึงเพริด เปิดฝาชามที่ปิดอยู่ ใช้กระบี่จิ้มลงไป
สีหน้าของนักพรตฉายแววตื่นตระหนก จิตใต้สำนึกสั่งการให้เข้าไปปิด แต่หลี่ไหวฺอวี้ไหนเลยจะยอมให้เขาได้สมดังใจ ตวัดกระบี่แทงออกไป ทำให้อีกฝ่ายต้องถอยหลังกรูดออกไปหลายก้าว
ทันใดนั้นตำแหน่งปลายกระบี่ก็เกิดประกายแสงสีน้ำเงินผุดวาบขึ้นมา พร้อมกับเสียงแตกเปรี๊ยะ เหมือนที่นักพรตแสดงอิทธิฤทธิ์ก่อนหน้านี้ทุกประการ
“นะ... นี่มันเื่อะไรกัน” มีเสียงร้องอุทานมาจากหมู่ชาวบ้าน หลี่ไหวฺอวี้เผยฝีมือเพียงเล็กน้อยก็ทำเอาทุกคนตะลึงลาน
ไม่เพียงแต่ชาวบ้านที่ไม่เข้าใจ นักพรตเองก็คาดไม่ถึงว่าเ้าหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่ง แม้รูปโฉมจะโดดเด่น แต่ก็เป็เพียงชาวนาในหมู่บ้านเล็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล จะรู้เคล็ดลับวิชานี้ได้อย่างไร
ด้วยความเชื่อเช่นนี้ ถึงรับปากให้เขาดูกระบี่ ไม่นึกว่าเขาจะล่วงรู้ความลับในชามนั้น
หลี่ไหวฺอวี้ตวัดข้อมือไปมา กระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่งก็สามารถแสดงพลานุภาพอันน่าทึ่งภายใต้อุ้งมือเขา
เขาตบเท้าทั้งสองะโขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นก็หันปลายกระบี่ชี้ลงก่อนพุ่งลงไป ชั่วพริบตาที่กระบี่แตะพื้น ตัวกระบี่ก็หักจนเกิดเสียงดัง
ไม่ใช่แค่หักเป็สองท่อน แต่แตกละเอียดกระจัดกระจายไปทั่วพื้น!
“หะ...หักแล้ว” ชาวบ้านต่างงงเป็ไก่ตาแตก นี่คือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ไฉนถึงหักง่ายดายเช่นนี้ สู้จอบบิ่นที่บ้านของตนเองยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เ้า! บังอาจ!” นักพรตตวาดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“โธ่เอ๋ย ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ต้าซือ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของท่านมีฤทธิ์เดชเท่านี้เองหรือ ดีนะที่ข้าช่วยทดสอบให้ก่อน มิเช่นนั้นถ้าเกิดหักขึ้นมาตอนทำพิธี คนที่เสียหน้าก็คือท่าน”
ิเป่าจูลอบหัวเราะคิกคัก หลี่ไหวฺอวี้ผู้นี้ช่างหน้าหนาไร้ยางอายจริงๆ แต่ก็น่าทึ่งยิ่งนักที่เขาสามารถค้นพบความแยบยลนี้ได้
แม้ว่านางจะไม่ได้สังเกตเห็นั้แ่แรก แต่พอเห็นการแสดงออกของหลี่ไหวฺอวี้ ก็เข้าใจในที่สุด
ในชามนั้นไม่มีทางเป็อะไรไปได้นอกจากผงหลินเฝิ่น [2] ซึ่งจุดติดไฟ [3] ต่ำมาก จึงสามารถจุดไฟให้ติดได้ด้วยการเสียดสีของปลายกระบี่ แสงสีฟ้าก็คือเปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ของผงหลินเฝิ่น เป็วัตถุที่จำเป็ต้องเตรียมไว้สำหรับสร้างกลลวง
ส่วนเสียงะเิ ก็น่าจะเพิ่มดินปืนเข้าไปในปริมาณน้อย
เทคโนโลยีสมัยใหม่เปิดเผยความลับของสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว ตอนนั้นนางกำลังร้อนใจมิได้ใคร่ครวญถึงจุดนี้ ช่างสะเพร่าเหลือเกิน
“เ้าจะต้องถูก์ลงทัณฑ์” นักพรตชี้ไปที่หลี่ไหวฺอวี้ด้วยนิ้วมือสั่นระริก พลางข่มขู่อย่างรุนแรง
“แต่ก่อนที่์จะลงทัณฑ์ข้า ข้ายังมีคำถาม้าคำชี้แนะจากต้าซือ” หลี่ไหวฺอวี้โยนกระบี่ที่เหลือแต่ด้ามจับทิ้ง ก่อนเดินเข้าหานักพรต
“แต่ข้าไม่อยากเสวนากับคนไร้วิชาความรู้เช่นเ้า” นักพรตถอยไปด้านหลัง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง กลืนน้ำลายลงคอ
“ดูเหมือนว่าเื่นี้จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่านแล้วล่ะ ต้าซือ” หลี่ไหวฺอวี้บุ้ยใบ้ให้เขามองไปด้านล่างของท่านบูชา สายตาของชาวบ้านทั้งหมดกำลังจดจ้องทั้งสองคนอยู่ ราวกับกำลังเฝ้ารอคำตอบ
“เ้า้าถามอะไร” เสียงของนักพรตสั่นระริก
“อย่าเพิ่งตื่นเต้น เป็แค่คำถามเล็กน้อยเท่านั้น” ลูกั์ตาดำขลับของหลี่ไหวฺอวี้วูบไหวเล็กน้อยแฝงไปด้วยแผนการ “ขอบังอาจถามต้าซือว่าท่านมาจากสำนักใด”
“สำนักกุยหยวนแห่งเขาหัวซาน" เอ่ยมาถึงตรงนี้นักพรตก็เกิดความมั่นใจขึ้นมา ยืดเอวตั้งตรงขึ้นกว่าเดิมมากมาย
“อ้อ ที่แท้ก็เป็ผู้วิเศษจากเขาหัวซานอันเลื่องชื่อ เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว” หลี่ไหวฺอวี้พูดแสดงความเกรงใจ
ทุกคนฟังทั้งสองคุยกันก็สูดไอเย็นเข้าโพรงอกด้วยความตื่นเต้น เขาหัวซานเป็ดินแดนล้ำค่าของลัทธิเต๋า สำนักกุยหยวนเป็สำนักระดับแนวหน้า ผู้สอนในนิกายล้วนแต่เป็ผู้บำเพ็ญพรตที่มีชื่อเสียงและมีความรู้ในศาสตร์วิชาอย่างลึกซึ้ง
นักพรตยังไม่ทันได้เห่อเหิมลำพองใจ ก็ได้ยินคำถามต่อมาของฝ่ายตรงข้าม “ไม่ทราบว่าท่านเป็ศิษย์ของปรมาจารย์ท่านใด”
“ฮึ ท่านอาจารย์มีฉายาทางธรรมว่าปั๋วหยาง” นักพรตมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมประกาศนามอาจารย์ของตนออกมา
“ที่แท้ก็เป็ศิษย์ของท่านปั๋วหยางเจินเหริน [4] นี่เอง” หยวนต้าจ้วงกล่าวด้วยความตื่นเต้น
แม้แต่บุรุษซื่อๆ อย่างหยวนต้าจ้วงซึ่งรู้จักแต่การทำงานหนักยังเคยได้ยินชื่อเสียง ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด
ปั๋วหยางเจินเหรินเป็ผู้บุกเบิกลัทธิเต๋านิกายใหม่ที่มีแิหวนคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม เขาปฏิบัติบำเพ็ญจิตขั้นสูง มีวิชาแก่กล้า มักเหินเมฆาไปทั่วสี่สมุทร ชื่อเสียงเป็ที่เลื่องลือ
“ท่านกราบอาจารย์เข้าสู่การบำเพ็ญเต๋าั้แ่เมื่อใด” หลี่ไหวฺอวี้ไม่แปลกใจกับคำตอบ และยังคงถามต่อด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ปีจี่โหย่ว [5] เดือนสาม เ้าจะถามไปทำไม” นักพรตใจเต้นราวกับย่ำกลอง หรือว่าเขาจะรู้จักกับคนในสำนักนี้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ล้มเลิกการคาดคะเนนี้ไปเสีย เป็ไปไม่ได้ ต่อให้เขามีวรยุทธ์อยู่บ้าง ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะรู้จักกับผู้สูงส่งเช่นนั้น
แต่ไรมานักพรตของสำนักกุยหยวนมักเร้นกาย นอกจากจะได้รับคำเชิญจากเชื้อพระวงศ์ถึงจะออกมาปรากฏตัว คนธรรมดายากที่จะเชิญได้
เขาน่ะหรือ? นักพรตพิจารณาหลี่ไหวฺอวี้ั้แ่หัวจรดเท้า ัตัวจริงจะบินขึ้นมาจากหลุมได้อย่างไร เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่ไรมาตนเองก็เร่ร่อนไปทั่วยุทธภพ ยังไม่เคยถูกใครเปิดโปงมาก่อน ยิ่งไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันความจริงได้ ตนเองพูดอย่างไรก็คืออย่างนั้น วันนี้ก็ไม่เป็ข้อยกเว้น!
หลังจากชาวบ้านได้ยินเื่นี้ก็ยิ่งเชื่อถ้อยคำของนักพรต พวกเขาเคยได้ยินว่าท่านปั๋วหยางเจินเหรินรับศิษย์เข้าสำนักคนสุดท้ายเมื่อปีจี่โหย่ว หรือว่าจะเป็คนผู้นี้?
“เดือนสาม... ไม่ทราบว่า่นี้ท่านปั๋วหยางเจินเหรินสบายดีหรือไม่ ข้าเคยมีวาสนาได้รับการช่วยเหลือจากเจินเหริน ยังซาบซึ้งในพระคุณอยู่เสมอ ต้าซือช่วยพาข้าไปพบเจินเหรินอีกสักครั้งได้หรือไม่ จะได้ขอบคุณท่านต่อหน้าด้วยตนเอง”
หลี่ไหวฺอวี้พูดด้วยความจริงใจ ั์ตายังเผยแววรำลึกถึงความหลัง
ชาวบ้านต่างพากันถอนหายใจ ไม่นึกว่าชายหนุ่มจะมีวาสนาถึงกับเคยพบกับปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งเขาหัวซาน
“เจินเหรินใช่บุคคลที่คนอย่างเ้าจะเข้าพบตามอำเภอใจได้หรือ เห็นแก่ที่เ้ากับอาจารย์ข้าเคยมีวาสนาได้พบกัน ข้าจะพาเ้าไปก็แล้วกัน นี่ถามจบหรือยัง”
ถ้อยคำยโสโอหังกล่าวออกมาพร้อมกับสายตาดูิ่เหยียดหยัน
เชิงอรรถ
[1] ขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก เป็การเปรียบเปรยว่าเื่ราวได้ดำเนินผ่านไปแล้วกลับพบเจอกับอุปสรรค แต่ก็ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องดำเนินการต่อไปจนถึงที่สุดโดยไม่อาจหยุดยั้งลงกลางคันได้
[2] หลินเฝิ่น คือ ผงฟอสฟอรัส
[3] จุดติดไฟ (Fire Point) คืออุณหภูมิของสารที่เป็เชื้อเพลิงได้รับความร้อน จนถึงจุดที่จะติดไฟได้แต่การติดไฟนั้นจะต้องต่อเนื่องกันไป โดยปกติความร้อนของ Fire Point จะสูงกว่า Flash Point ประมาณ 7 องศาเซลเซียส
[4] เจินเหริน เป็คำเรียกนักพรต หมายถึง เป็ผู้รู้ตื่นอย่างแท้จริง
[5] นับแต่โบราณมาชาวจีนมีฐานคิดในการนับเวลา เรียกว่ากิ่งฟ้าก้านดิน (เทียนกานตี้จือ) โดยกิ่งฟ้าทั้งสิบเรียงตามลำดับคือ จย่า อี่ ปิ่ง ติง อู้ จี่ เกิง ซิน เหริน และกุ่ย ส่วนก้านดินทั้งสิบสองซึงชาวจีนใช้เป็คำเรียกโมงยาม ได้แก่ จื่อ โฉ่ว อิ่น เหม่า เฉิน ซื่อ อู่ เว่ย เซิน โหย่ว ซวี และไฮ่ เมื่อนำมาจับคู่กับก้านดินก็จะเป็คำเรียกปี
