ณ เรือนเวิ่นเซียน ศาลาจู๋อวิ๋น
หลังจากจั๋วอวิ๋นเซียนจากไปพร้อมกับหวู่อันถง เ้าเกาะทั้งสามค่อยนั่งลงอีกครั้ง
เหมยซิ้งหงจิบน้ำชาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ศิษย์น้องทั้งสอง พวกเ้าคิดว่าที่เ้าเด็กจั๋วอวิ๋นเซียนพูดมามีความจริงกี่ส่วนและคำลวงกี่ส่วนกันแน่? แล้วเป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือสิ่งใด? บนโลกใบนี้ยังมีคนที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้จริงหรือ”
“ไม่แน่ใจ”
กงหยางอวี่ซ่านกล่าวพลางขมวดคิ้ว “เด็กคนนี้กล่าวอย่างมีเหตุมีผล อีกทั้งยังคิดเพื่อเกาะสามเซียน ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเขามีเจตนาแฝงอันใด”
จวงซวี่เหยาพยักหน้าพร้อมกล่าวเสริม “ไม่ว่าเด็กคนนี้จะมีเจตนาใด แต่อย่างน้อยก็มีเื่หนึ่งที่เป็ความจริง คืออาการาเ็ในร่างกายของเขารุนแรงมาก ไม่มีพลังเลยแม้แต่น้อย เื่นี้ไม่มีทางปิดบังพวกเราได้ ยิ่งไปกว่านั้นจากการตรวจสอบของหวู่อันถง เด็กคนนี้กับพวกพ้องของเขาถูกขับไล่ออกมาจากชุมชนฝานเหรินจริงๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ จึงคิดยอมจำนนกับพวกเรา”
กงหยางอวี่ซ่านเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงกล่าวว่า “ข้าเดาว่าเขาคิดจะยืมขุมกำลังเกาะสามเซียนของพวกเราเพื่อโจมตีราชวงศ์ต้าถัง หรือแม้กระทั่งเพื่อช่วยบิดาของเขาออกมา แก้แค้นให้ตระกูลจั๋ว? แต่บิดาของเขาจั๋วฟู่ไห่นั้น...”
เสียงพูดหยุดลง กงหยางอวี่ซ่านเผยสีหน้ากังวล
จวงซวี่เหยาวางน้ำชาลง เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ว่าจะเป็อย่างไรเขาก็อยู่ฝั่งพวกเราแล้ว เช่นนั้นก็ใช้งานเขาให้ดี หากเขามีแผนการร้ายจริงๆ อย่าหาว่าข้าลงมือโเี้แล้วกัน!”
“เหอะๆ ทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนกปานนั้น”
เหมยซิ้งหงโบกมือเผยรอยยิ้มที่มุมปาก “พวกเราเคยได้ยินประวัติของจั๋วอวิ๋นเซียนมาแล้ว น่าจะรู้ว่าคนคนนี้มีจิตใจดี นิสัยก็พอใช้ได้ อย่างน้อยก็มิใช่พวกลืมบุญคุณหรือทรยศหักหลัง ดังนั้นเื่บางอย่างพวกเราก็ต้องหลับตาข้างหนึ่ง”
เหมยซิ้งหงเว้นจังหวะเล็กน้อย ยกน้ำชาขึ้นพลางกล่าวต่อว่า “ศิษย์น้องทั้งสอง ข้ารู้ว่าในเวลาปกติพวกเ้าอคติกับข้า แต่การปรากฏตัวของผู้สืบทอดสำนักเทียนกงคือโอกาสสร้างอำนาจของเกาะสามเซียนเรา! ข้าหวังว่าครั้งนี้ศิษย์น้องทั้งสองจะละวางความแค้นเอาไว้ แล้วร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อพัฒนาเกาะของเรา”
“ร่วมแรงร่วมใจพัฒนาเกาะของเรา”
กงหยางอวี่ซ่านกับจวงซวี่เหยาชูแก้วชาขึ้น ทั้งสามคนชนแก้วกันพร้อมสบตากันด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะยังสงสัยอยู่บ้าง แต่ในใจกลับคิดหาวิธีเอาใจจั๋วอวิ๋นเซียนอยู่
ผู้มีความสามารถเช่นนี้ถ้ามิอาจเก็บไว้ใช้งานเองได้ อย่างน้อยก็ห้ามให้ผู้อื่นได้ไป หากจำเป็ต่อให้ต้องใช้วิธีการบางอย่างก็ต้องทำ
……
ผ่านไปไม่นานหวู่อันถงกลับไปที่เรือนเวิ่นเซียน เขาถือม้วนกระดาษด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? จั๋วอวิ๋นเซียนไม่พอใจกับการเตรียมการของเ้าหรือ”
เ้าเกาะทั้งสามประหลาดใจเล็กน้อย หวู่อันถงส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “นี่คือรายการวัตถุดิบที่จั๋วอวิ๋นเซียน้า เพื่อใช้สร้างะเิเพลิงอัสนีกับลูกปัดเพลิงอัสนี ยังมีเตาหลอมเพลิงิญญาอันสองอัน แต่ว่า...”
หวู่อันถงยังพูดไม่ทันจบ กระดาษจดรายการลอยไปที่มือของจวงซวี่เหยาแล้ว
“นี่...อะไรกัน? ศิลาอัสนี...สามร้อยจิน! เยอะเพียงนี้เหตุใดไม่ปล้นกันเลยเล่า!”
จวงซวี่เหยาอ่านเนื้อหาในรายการ ทันใดนั้นเขาก็ถลึงตากว้าง ก่นด่าด้วยความโกรธ
เหมยซิ้งหงกับกงหยางอวี่ซ่านกวาดสายตามองรายการ พวกเขาก็หน้าถอดสีจนเกือบจะสำลักน้ำ
“ของเหลวเพลิงิญญา...สามร้อยหยด! ต่อให้ไปปล้นมาก็ไม่มีเยอะเพียงนี้หรอก!”
กงหยางอวี่ซ่านเบิกตากว้างพร้อมจิตสังหารบนใบหน้า
วัตถุดิบบนรายการนี้ไม่เพียงมีจำนวนมหาศาล แต่ยังเป็สิ่งของหายาก มีบางวัตถุดิบที่ราคาสูงและไม่มีขายอีกด้วย
เหมยซิ้งหงส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มแห้ง “เด็กคนนี้คิดว่าเราเป็พวกใช้เงินไม่คิดหรือไร! มิน่าเล่าเขาถึงยอมจำนนกับพวกเราง่ายดายเช่นนี้ เกรงว่าขั้วอำนาจปกติจะมิอาจหาวัตถุดิบได้หนึ่งในสิบของรายการด้วยซ้ำ!”
จวงซวี่เหยากล่าวอย่างอารมณ์เสีย “ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเด็กคนนี้ยังมีเจตนาอื่นอีก เขามาเพื่อหลอกลวงพวกเรา”
“พอได้แล้ว...” เหมยซิ้งหงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เื่มาถึงขั้นนี้แล้วพวกเ้าคิดว่าควรให้หรือไม่?”
“ให้สิ! ต้องให้อยู่แล้ว!”
กงหยางอวี่ซ่านกล่าวด้วยสายตาดุร้าย “เขา้าสิ่งใด พวกเราก็จะให้เขาไป! หากภายในหนึ่งเดือนยังสร้างสิ่งใดออกมามิได้! ข้าจะบดกระดูกมันให้เป็ผุยผง ทำให้มันอยู่ไม่สู้ตาย!”
จวงซวี่เหยากลอกตากล่าวว่า “เ้าบดกระดูกเป็ผุยผงแล้ว เขาจะอยู่ไม่สู้ตายได้อย่างไร?”
กงหยางอวี่ซ่านขนลุกตั้งชัน “เ้าสามจวง เ้าอยากโดนทุบใช่หรือไม่!”
“เข้ามาสิ ผู้ใดกลัวเ้ามิทราบ!”
จวงซวี่เหยามิได้คิดจริงจัง กลับยกน้ำชาขึ้นดื่ม
……
สำหรับการโต้เถียงของทั้งสอง เป็เื่ตลกของคนที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
หวู่อันถงแกล้งทำเป็ไม่เห็น เขาหันไปกล่าวกับเหมยซิ้งหงว่า “ท่านเ้าเกาะ เื่นี้ท่านคิดว่าควรจัดการอย่างไร?”
“ทำตามที่เ้าเกาะกงหยางบอกเถอะ!”
เหมยซิ้งหงครุ่นคิดพลางออกคำสั่งอย่างจริงจัง “แต่จะให้เ้าเด็กนั่นสบายเกินไปมิได้ เ้าไปหาคนที่น่าเชื่อถือสองคนไปอยู่กับจั๋วอวิ๋นเซียน เอาคนที่ฉลาดหน่อย เข้าใจหรือไม่?”
“ทราบแล้ว ข้าน้อยจะดำเนินการทันที”
หวู่อันถงรับคำสั่งจากนั้นถอยออกไป เ้าเกาะทั้งสามพูดคุยกันครู่หนึ่งจากนั้นจึงค่อยแยกย้าย
……
สามวันผ่านไป ข่าวไม่เล็กไม่ใหญ่สองเื่ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองซานเซียน
ข่าวแรกคือเกิดเพลิงไหม้ที่ ‘ชุมชนฝานเหริน’ มีบุรุษสามคนถูกไฟคลอกจนตาย ยากจะแยกแยะว่าเป็ผู้ใด ท้ายที่สุดจึงถูกโยนทิ้งลงทะเล เนื่องจากผู้ดูแลสถานที่ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ นายใหญ่อวี่จึงถูกลงโทษส่งไปทำงานที่เหมืองแร่
ส่วนอีกข่าวหนึ่งทำให้เกิดเื่วิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย...จวนเ้าเมืองแต่งตั้งเ้าหอหลางฮ้วนคนใหม่ ไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม มีเพียงสมญานามว่า “คุณชายไป๋เฮ่อ”
เล่าลือกันว่าคุณชายไป๋เฮ่อเป็เพียงบัณฑิตเยาว์วัย ไม่เพียงร่างกายอ่อนแอ ร่างกายยังพิการ นั่งเก้าอี้รถเข็น
สำหรับการตัดสินใจของจวนเ้าเมือง มีผู้คนมากมายที่สงสัย ถึงแม้หอหลางฮ้วนจะไม่นับเป็สถานที่สำคัญแต่อย่างใด แต่ก็ค่อนข้างพิเศษ เพราะที่นั่นเก็บตำราต่างๆ ของเกาะสามเซียนไว้นับพันปี นับว่าเป็รากฐานส่วนหนึ่งของเกาะสามเซียน คุณชายไป๋เฮ่อคนนั้นมีความสามารถอะไรถึงมีสิทธิ์รับตำแหน่งเ้าหอหลางฮ้วน?
แน่นอนว่าถึงแม้มีคนไม่น้อยที่สงสัยในการตัดสินใจของจวนเ้าเมือง แต่กลับไม่มีใครสามารถเข้าใจเจตนาของเ้าเกาะทั้งสามได้ ไม่นานเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดจึงค่อยๆ เงียบหายไป เมืองซานเซียนจึงกลับมาเป็ปกติ
……
‘หอตำราหลางฮ้วน’ ตั้งอยู่สุดถนนทางตอนเหนือของเมืองซานเซียน สถานที่ตั้งอยู่ห่างไกล ไร้เสียงรบกวน บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ
ฉินตงหวู่พาเด็กสองคนมาถึงด้านหน้าหอตำราด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ไม่นานก่อนหน้านี้พวกเขายังใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างชุมชนฝานเหริน ตอนนี้กลับกลายเป็หนึ่งในสมาชิกของเมืองซานเซียนอย่างเป็ทางการแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลังจากถอนหายใจแล้ว ฉินตงหวู่มองไปที่เงาร่างผอมแห้งบนรถเข็นอย่างห้ามมิได้ ชุดขาวราวหิมะ สงบนิ่งสง่างาม ร่างกายที่ดูอ่อนแอแต่กลับเหมือนซ่อนพลังที่มิอาจจินตนาการได้เอาไว้ เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตของนาง และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้คนมากมาย
“เอี๊ยด!”
ประตูหอตำราถูกเปิดออก แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา
อาคารเก่าแก่ให้ความรู้สึกสูงส่งและอบอุ่น
