หลงเซี่ยวอวี่กางฝ่ามือออก โบกมือและบิดหมุนข้อนิ้ว ทันใดนั้นดาวสีม่วงเหนือท้องฟ้าก็เรียงกันเป็เส้นตรง
ในชั่วพริบตา ลำแสงสีม่วงกะพริบถี่ราวกับประกายไฟจากฝนดาวตก ค่อยๆ เลื่อนลงมาเป็แนวโค้ง พร้อมที่จะกลับลงไปในกล่องเล็กๆ ในมือของหลงเซี่ยวอวี่
แต่ในยามที่ลำแสงสีม่วงกำลังจะตกลงไปในกล่องเล็กนั้น ดูเหมือนหลงเซี่ยวอวี่จะนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
หลังจากนั้น เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ใบหน้าอันหล่อเหลามีรอยยิ้มอ่อนโยนจางๆ บางเบาราวเมฆาล่องลอยบนท้องฟ้า ที่ทำได้เพียงฝันถึง แต่กลับไกลเกินเอื้อม
ฉีหวางเฟยยังไม่ทันได้ชำระบัญชีเก่า [1] กลับมีบัญชีใหม่ [2] เพิ่มขึ้นอีกแล้ว...เช่นนี้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่อาจชำระได้หมด ความสัมพันธ์ของเราสองจะไม่มีวันสูญสลายไป
ดวงตาคู่งามสว่างไสวด้วยการตกกระทบจากแสงสีม่วงของหลงเซี่ยวอวี่ที่ส่องแสงระยิบระยับราวกับดวงดาว ความลึกลับภายในล้ำลึกจนเกินคาดเดา
หลังจากนั้นหลงเซี่ยวอวี่ลากฝ่ามือใหญ่ผ่านกล่องไม้ ก่อนแตะปลายนิ้วลงไปเบาๆ
เพียงไม่นาน กล่องไม้ในมือก็กลายเป็กองขี้เถ้าทันที
ลมกระโชกแรงพัดเข้ามาอย่างกะทันหัน กองขี้เถ้าในมือของหลงเซี่ยวอวี่ถูกลมพัดปลิวหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
ทันใดนั้น หลงเซี่ยวอวี่ก็พลิกหลังมือขวาขึ้นมา มองรอยเืที่ไม่อาจลบฝังแน่นอยู่บนหลังมือขาวชื้นของตน
จากนั้นลำแสงสีม่วงก็แทรกเข้าไปตรงกลางรอยเือย่างน่าอัศจรรย์
แสงสีม่วงกะพริบราวดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวในจักรวาลที่เปล่งแสงเจิดจรัสส่งเสริมกัน เช่นเดียวกับทุกสิ่งในใต้หล้าที่รวมตัวเปล่งประกายในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้เกิดรอยสีเืที่น่าหลงใหล ราวม่านจูซาฮวาบานสะพรั่ง ทั้งแปลกประหลาดและชั่วร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในชั่วพริบตา เมฆหมอกที่ถูกตัดผ่านด้วยแสงสีม่วง เหมือนจะเริ่มกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ทันใดนั้น สภาพแวดล้อมก็กลับคืนสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบอีกครั้ง ราวกับว่าแสงที่ส่องประกายก่อนหน้าไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง
จนกระทั่งทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมหลังแสงสีม่วงจางลง ใบหน้าหล่อเหลาของหลงเซี่ยวอวี่ก็กลับคืนสู่ความเฉยเมยเ็าตามปกติ
เขาหยิบจดหมายเก่าสีเหลืองคล้ำออกมาจากแขนเสื้อ แล้วกางมันออก
นี่คือกระดาษเฉิงซินถัง [3] ที่ว่างเปล่า
หลงเซี่ยวอวี่กวาดฝ่ามือไปทั่วกระดาษ ประกายจากฝ่ามือของเขาก็หลั่งไหลลงไป ทันใดนั้นเส้นลายมือที่ชัดเจนก็ค่อยๆ เข้ามาแทนที่แผ่นกระดาษเปล่า
ดวงตาหลงเซี่ยวอวี่เ็าและเฉยเมย เขาเหลือบมองจดหมายเป็ครั้งสุดท้าย จำไม่ได้ว่าเขาอ่านจดหมายฉบับนี้ไปกี่รอบแล้ว
แต่ยามเขาเห็นบรรทัดสุดท้ายของกระดาษจดหมาย หลงเซี่ยวอวี่ก็ยังอ่านอย่างระมัดระวังเน้นย้ำทุกตัวอักษร
อย่างไรก็ตาม ประโยคสั้นๆ นั้น แต่ละคำที่ปรากฏให้เห็น เป็เหมือนน้ำแข็งหนาที่สะสมมานับพันปี จู่ๆ กลิ่นอายอันทรงพลังที่เต็มไปด้วยความหนาวเย็นก็ค่อยๆ แผ่ออกมาจากร่างกายของหลงเซี่ยวอวี่ ส่งผลให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเชื่อในทุกสิ่งที่น่าเหลือเชื่อซึ่งถูกกล่าวถึงในจดหมายของหลี่เอิน ด้วยเขาหลงเซี่ยวอวี่จะไม่มีวันถูกคุกคามจากผู้ใด
แต่เมื่อครู่ถือว่าได้รับการยืนยันแล้ว...
ดังนั้น ยามเขาอ่านบรรทัดสุดท้ายของจดหมายอย่างชัดเจนอีกครั้ง สามารถกล่าวได้ว่าอารมณ์ของหลงเซี่ยวอวี่ยามนี้ค่อนข้างมืดมน
แม้ว่าเขาจะเคยยินยอมไทเฮา ตกลงเข้าพิธีสมรสกับมู่มู่แล้วพานางเข้าสู่จวนฉีอ๋องในฐานะฉีหวางเฟย ฉีหวางเฟยผู้นี้กลับไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
อีกทั้งยามนี้เขา้านางอย่างแท้จริง ต้องใช้ความพยายามและเล่ห์เหลี่ยมมากมาย
์ทราบดีว่าเขาไม่เคย้ากักตัวหญิงสาวงี่เง่าผู้นั้นไว้ข้างกาย แต่จู่ๆ ์ก็มอบสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้มาให้
สิ่งนี้ทำให้ฉีอ๋องผู้ซึ่งสงบเยือกเย็นยามเผชิญกับสถานการณ์ รู้สึกอารมณ์เสียอย่างมากในทันใด
น่าเสียดาย สิ่งที่ทำให้หลงเซี่ยวอวี่โกรธที่สุดคือหญิงโง่ของเขาเพิ่งเริ่มเข้าที่เข้าทาง นางหยุดนิ่งไม่ต่อต้านอีกแล้ว แต่สุดท้ายเขายังต้องเฝ้ารอ ไม่รู้อีกนานเพียงใดถึงจะได้นางมาอย่างแท้จริง?
ในยามนี้
ท่าทางของหลงเซี่ยวอวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายแววเฉียบขาดดุดัน เขาขยำกระดาษจดหมายในมือแน่นจนเป็ก้อนกลม
ก่อนจะทำให้กระดาษกลายเป็ผุยผงด้วยการตวัดมือ กระดาษที่แหลกละเอียดกระจัดกระจายออกไปทีละชิ้น ก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในเวลาเดียวกัน เสียงบ่นดังแ่เบามาจากใต้หน้าผา
“เฮ่อ เฮ่อ ข้าขอบอกไว้เลยนะเ้าท่อนไม้ เ้าจะนิ่งเงียบตลอดทางก็ไม่เป็ไร ในยามนี้เหตุใดจึงไม่มีแม้ความกรุณายื่นมือช่วยข้าบ้าง? บ้าเอ๊ย! เหตุใดยังมีทรายร่วงหล่นลงมาอีก นี่เ้าท่อนไม้ เ้ารอก่อนไม่ได้หรือ ข้ามองไม่เห็น...”
เสียงบ่นยังไม่หยุด
ร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าผา เป็กุ่ยหยิ่งผู้เคลื่อนไหวแขนขาอย่างคล่องแคล่วกำลังปีนขึ้นจากด้านล่างผาอย่างว่องไวแ่เบา
เมื่อเห็นชายสูงศักดิ์ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนหน้าผา บรรยากาศรอบกายเยือกเย็นประหนึ่งลมหนาว กุ่ยหยิ่งซึ่งเดิมทีมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อยก็ยืดตัวขึ้นตรงด้วยท่าทางขึงขัง
“นายท่าน...” กุ่ยหยิ่งส่งเสียงเรียกด้วยความเคารพทันที
แต่เสียงพูดเรื่อยเปื่อยจากใต้หน้าผาก็ดังขึ้นอีกครั้ง สกัดกั้นเสียงของกุ่ยหยิ่ง
“...เ้าท่อนไม้ มีใครอยู่ข้างบนนี้ไหม? ช่วยดูให้ข้าหน่อยว่าเ้าบ้าคนใดมันก่อะเิใหญ่เช่นนั้น ยังเกือบะเิหัวใจ ตับ ม้าม ปอดของข้าผู้นี้แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดแสงสีม่วงพร่างพราวนั่นออกมา ทิ่มแทงั์ตาของข้าเสียจนกระทั่งยามนี้ยังเจ็บไม่หาย ทำเอาเราเกือบตกหน้าผา จนต้องสูญเสียชีวิตของข้าไปแล้ว”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกเอ่ยออกมา หัวใจของกุ่ยหยิ่งสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย เขากลืนเสียงที่ยังพูดไม่จบกลับเข้าไปในท้องโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเหงื่อเย็นก็ไหลลงมาเต็มหลังของเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่นานนักก็บินข้ามกำแพงขึ้นมาอย่างง่ายดาย
ใครจะไปคิดว่าการะเิจนเกิดแสงสีม่วงพร่างพรายเ่าั้จะเข้าขวางกั้นสมาธิของตน บีบให้พวกเขาจำต้องไต่หน้าผาขึ้นมาอย่างยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม เ้าของเสียงที่ทำให้กุ่ยหยิ่งเหงื่อเย็นไหลชุ่ม จนเงียบยิ่งกว่าเดิม กลับยังคงพูดต่อไป ปากยังคงพูดพล่อยๆ ไม่ยอมหยุด
“สมควรตาย! หากข้ารู้ว่าเมื่อครู่นี้เป็ไอ้สารเลวคนใดมันเล่นเล่ห์ก่อกวน ข้าจะต่อยมันจนต้องวิ่งหาฟันทั่วสารทิศ เตะจนขี้แตก ทั้งเตะทั้งถีบจนเละ จะทุบตีให้จำบิดามารดาไม่ได้ไปเสียเลย...”
ผู้ที่ยังไม่ขึ้นมาถึงยอดเขา เริ่มแรกเพียงบ่นพึมพำ ก่อนที่จะกลายเป็ความโกรธที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ เสียงจึงเต็มไปด้วยแรงกดดัน
อย่างไรก็ตาม คนผู้นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าความคิดที่ไม่หยุดนิ่ง แต่คำพูดที่นางกล่าวพล่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้กุ่ยหยิ่งที่กำลังจะพูดอีกครั้งในยามนี้ใกลัว
ในยามนี้ กุ่ยหยิ่งผู้มีความอดทนทางด้านจิตใจที่แข็งแกร่ง ค่อยๆ โดนเสียงที่ยังพูดพล่ามไม่หยุดทำลายลงทีละน้อย
กุ่ยหยิ่งแอบชำเลืองมองนายของตน
เพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น...
กุ่ยหยิ่งไม่เพียงแต่รู้สึกว่าร่างกายของเขามีเหงื่อเย็นหยดออกมาเท่านั้น แต่เขายังรู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นะเืที่ค่อยๆ ไต่ขึ้นจากใต้เท้าของตน พุ่งเข้าจู่โจมทุกส่วนของร่างกาย เขาหนาวเหน็บเกินกว่าจะเคลื่อนไหว
“เ้าท่อนไม้ เ้าพูดได้หรือไม่ เ้าช่วยพูดอะไรสักคำได้ไหม เ้าท่อนไม้...”
กลิ่นอายเย็นะเืทรงพลังบนหน้าผาดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หนาวเย็นจนคนยากจะหายใจ เสียงที่มาจากใต้หน้าผากำลังเหนื่อยหอบ แต่กลับยังคงหวีดร้องไม่หยุด
ในใจกุ่ยหยิ่งทั้งโกรธและหดหู่ยิ่งนัก!
ด้วยยามนี้นอกจากนายของเขาแล้ว ไม่มีบุคคลอื่นอีก
นอกจากนี้ เทือกเขาชูอวิ๋นคือสถานที่เช่นไร? จะมีผู้ใดสามารถขึ้นมาได้ตามใจชอบได้อีกเล่า?
ยิ่งเมื่อครู่เขาอยู่บนหน้าผายิ่งไม่ต้องพูดถึง ชัดเจนแล้วว่าพลังจากบนหน้าผาเป็อุปสรรคที่มาจากผู้ที่ตนคุ้นเคยเป็อย่างดี
การะเิครั้งใหญ่ แสงสีม่วงพร่างพรายจนตาพร่า เกิดจากนายท่านไม่ต้องสงสัย เหตุใดหญิงที่ยังร้องเจี๊ยกๆ ใต้หน้าผาจึงไม่ยอมหยุดเสียที
ในยามนี้กุ่ยหยิ่งแทบรอไม่ไหวที่จะลงไปอีกครั้ง แล้วตบหญิงผู้นั้นที่กำลังปีนขึ้นมาจนลอยกระเด็นไปในฝ่ามือเดียว
หวางเฟยของพวกเขากล่าวไว้ไม่ผิดเลย หญิงสาวไม่เพียงแต่ไม่ควรทำให้ขุ่นเคือง แต่ยังไม่ควรเข้าใกล้อีกด้วย
เป็ความจริงที่ผู้หญิงเป็อะไรสักอย่างที่ยุ่งยากที่สุดในใต้หล้า พร่ำบ่นยืดเยื้อ เป็สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยมีมา
หลังจากนั้นไม่นาน...
หญิงสาวในชุดสีฟ้าเรียบ ใบหน้างดงามแต่กลับยุ่งเหยิง นางปีนขึ้นไปทีละขั้นด้วยความยากลำบากโดยอาศัยกริชในมือเป็ตัวช่วย ในที่สุดนางก็ปีนขึ้นมาบนหน้าผาสูงชันจนได้
“โอ๊ย! ปีนถึงเสียที หึ! เมื่อครู่เป็ไอ้สารเลวคนดะ...” หญิงสาวผู้มีใบหน้ายุ่งเหยิงทรุดลงกับพื้น ขณะเดียวกันก็ขยี้ตาที่เปื้อนฝุ่นของตน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
แต่ใครจะคิด นางเงยหน้าได้เพียงครึ่งทาง เมื่อพบเห็นผู้อื่นที่ไม่ใช่กุ่ยหยิ่งของนางก็แข็งทื่อไปทันที ลำคอซึ่งยังคงหอบอย่างหนัก ดูเหมือนจะถูกมือของใครบางคนบีบจนติดขัด ไม่กล้าปล่อยลมออกมาอีก
“ศะ ศะ ศิษย์พี่...ที่แท้เป็ท่าน...ข้า ข้าเหลวไหล...” หญิงสาวผู้สง่างามที่เมื่อครู่ยังคงส่งเสียงดังขึ้นมาบนหน้าผา จู่ๆ ก็ใกลัวจนพูดไม่รู้เื่ มือและเท้าของนางอ่อนนุ่มทันที
ใบหน้าหลงเซี่ยวอวี่เ็าราวกับหิมะ ั์ตาหงส์มืดมนของเขาหรี่ลงเล็กน้อย แววตาสื่อถึงความเ็า ยามกวาดผ่านหญิงผู้นี้แฝงไปด้วยความหนาวเหน็บ
“แค่ก...อา เอ่อ เอ่อ ข้าแค่พูดไปเรื่อย ศิษย์พี่ท่านรู้หรือไม่ การะเิครั้งใหญ่เมื่อครู่มีแสงสีม่วงส่องประกายรุนแรง ข้ามองขึ้นมาจากก้นผา ว้าว...สิ่งนั้นกล่าวได้ว่าสามารถทะยานฟ้าได้ด้วยพลังอันไร้ขอบเขต ช่างวิจิตรพิสดาร ตื่นตา มหัศจรรย์และทรงพลังยิ่งนัก เ้าท่อนไม้ เ้าคิดว่าเป็เช่นนั้นหรือไม่?”
ปฏิกิริยาของหญิงสาวไม่ธรรมดา
นางหัวเราะคิกคักอยู่สองสามครั้ง ก่อนหันกลับมา ใจคิดถึงสิ่งที่ตนเองเพิ่งดัดแปลงมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ นางพ่นลมออกจากปากในครั้งเดียว พร้อมทำท่าทางะโโลดเต้น
สิ่งที่หญิงสาวพูดไม่ผิดเลย ไม่นานมานี้ ทิวทัศน์บนยอดผาช่างน่าอัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบมิได้จริงๆ
กุ่ยหยิ่งผู้ได้ชื่อว่าเ้าท่อนไม้ ยามนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง นับประสาอะไรกับตอบออกมาดังๆ
ในยามนี้เขาเอาแต่ลอบกลอกตาในใจ
หญิงผู้นี้เป็ดังลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ นางคิดว่ายังก่อความวุ่นวายไม่มากพออีกหรือ? นายของเขาเป็ผู้ดำรงอยู่เหนือธรรมชาติ ต้องให้ผู้อื่นประจบประแจงเสียที่ไหนกัน
แน่นอนว่าหวางเฟยของพวกเขาถือเป็ข้อยกเว้น จากการสังเกตและรับรู้ก่อนหน้านี้ นายท่านพึงพอใจกับคำเยินยอของหวางเฟยเป็อย่างมาก กุ่ยหยิ่งคิดอย่างประหม่า
หลงเซี่ยวอวี่เหลือบมองหญิงสาว มีกลิ่นอายเ็าส่องประกายอันตรายอยู่ในดวงตาของเขา
จากการเหลือบมองเพียงแวบเดียว ไร้การพูดคุย ราวกับพายุในฤดูใบไม้ร่วงที่พัดใบไม้ที่ร่วงหล่น มันทั้งขมขื่นและเหน็บหนาว
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวผู้มีแรงใจเริ่มย่ำแย่ จู่ๆ นางก็รู้สึกหวาดกลัว ความมั่นใจในใจนางลดลงครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่านางกำลังตกลงไปยังก้นหน้าผา
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] บัญชีเก่า (旧账) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ความผิดหรือความไม่พอใจในอดีต
[2] บัญชีใหม่ (新账) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ความผิดหรือความไม่พอใจที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้
[3] กระดาษเฉิงซินถัง (澄心堂纸) เป็กระดาษที่ใช้สำหรับการเขียนภาพอักษรและภาพเขียนั้แ่สมัยหนานถังของมณฑลอันฮุย คุณสมบัติพิเศษคือ บาง แข็ง เรียบลื่น