“เ้าเด็กคนนี้อย่าได้คิดเหลวไหล” หรงหว่านซีเอ่ย “ถึงอย่างไรก็อาศัยร่วมชายคาเดียวกันหากเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันบ้าง ย่อมต้องดีกว่าอยู่ร่วมกับศัตรูไม่น้อยใช่หรือไม่?”
ชูเซี่ยกลับลอบยิ้มโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
ทันใดนั้นนึกถึงเื่เมื่อตอนกลางวันที่จิ้งอ๋องบอกว่าเกลียดรอยยิ้มราวกับรู้ทุกอย่างเป็อย่างดีของเฉินอ๋องในที่สุดตอนนี้หรงหว่านซีก็เข้าใจจิ้งอ๋องแล้วเมื่อถูกผู้อื่นยกยิ้มเช่นนี้โดยไม่พูดอะไร ถือเป็ความรู้สึกที่ไม่ดีเท่าใดนัก
หรงหว่านซีถือซุปเก่อเกินที่ต้มเสร็จเรียบร้อยและถ้วยน้ำผึ้งขนาดเล็กเข้ามาในห้องนางรอให้ซุปเก่อเกินเย็นสักหน่อยค่อยเติมน้ำผึ้งด้วยเล็กนี้ลงไป
นางเดินไปขอบเตียงและปลุกเฉินอ๋อง“เตี้ยนเซี่ย ตื่นก่อนเพคะ... เตี้ยนเซี่ย...”
“อืม...”เฉินอ๋องขานรับเพียงคำเดียว
หรงหว่านซีเห็นว่าเขาพยายามฝืนลืมตาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็สามารถลืมตาขึ้นมาจนได้มิหนำซ้ำยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฉะฉานเป็อย่างมาก “มีอะไรหรือ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงฉะฉานของเขาหรงหว่านซีถึงกับนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง นึกสงสัยว่าตนเข้าใจผิดไปหรืออย่างไรหรือเขาอาจจะไม่ได้ดื่มสุราเป็จำนวนมากั้แ่แรก
เมื่อเห็นเฉินอ๋องนวดขมับหรงหว่านซีจึงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ห้องครัวเล็กต้มซุปสร่างสุรามาให้เตี้ยนเซี่ยเพคะเตี้ยนเซี่ยโปรดดื่มสักหน่อยก่อนจะเข้าบรรทม”
เฉินอ๋องนั่งพิงฟังเตียงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ห้องครัวเล็ก? มีข้ารับใช้ประจำครัวเล็กั้แ่เมื่อใดกัน?เ้าคงสั่งให้ชูเซี่ยกับจือชิวไปต้มใช่หรือไม่?”
“อ่า”หรงหว่านซีขานรับอย่างขอไปที จากนั้นส่งถ้วยซุปให้เขา “เตี้ยนเซี่ยรีบดื่มเถิด”
หรงหว่านซีเดินเข้ามาใกล้จมูกของเฉินอ๋องขยับฟุดฟิดเล็กน้อย ท่าทางคล้ายกำลังดมกลิ่น
ตามด้วย...ยกยิ้มไม่เอ่ยสิ่งใดสายตาแฝงรอยยิ้มแล้วยกถ้วยซุปขึ้นดื่มอย่างว่าง่ายยิ่งนัก
บนกายนางมีกลิ่นฟืนเพราะฉะนั้นซุปสร่างสุรานี้ไม่ใช่ฝีมือของชูเซี่ยกับจือชิวเป็แน่
ซุปสร่างสุราของนางได้ผลตามที่คาดหลังดื่มเข้าไปไม่นานนักรู้สึกสมองปลอดโปร่งเป็อย่างมาก
เมื่อซุปสร่างสุราออกฤทธิ์ทันใดนั้นรู้สึกว่า...เมื่อครู่ตนกอดผู้ใดใช่หรือไม่?
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหันไปมองนางคล้ายกำลังค้นหาคำตอบ
แต่ใบหน้าของหญิงนางนี้กลับมีเพียงความสุขุมราบเรียบขณะนั่งตัดเล็บอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแลดูไม่คล้ายผู้ที่พึ่งถูกกระทำกิริยาหยาบคายแม้แต่นิด หรือว่าเขาจะจำผิด?
“นี่...หรงหว่านซี?” เฉินอ๋องนอนหมอบอยู่บนเตียงและเรียกชื่อนางหนหนึ่ง
“หือ?” หรงหว่านซีขานรับ
“เมื่อครู่ข้า...ไม่ได้ทำอะไรเ้าใช่ไหม?”เฉินอ๋องถาม
“ไม่เพคะ”หรงหว่านซียกยิ้มสบายใจยิ่งนัก
ทว่าเฉินอ๋องยังคงไม่เชื่อเขารู้ว่าไม่อาจดูจากใบหน้าและฟังจากน้ำเสียงของนางจะต้องดูแก้มทั้งสองข้างที่แสนซื่อตรงของนางให้ได้
ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ย “เ้าหันกลับมาเ้าดูนี่...”
เฉินอ๋องชี้ไปทางหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก
หรงหว่านซีหันกลับมานางมองตามปลายนิ้วของเขาและพบเพียงผ้าม่านเท่านั้น
เฉินอ๋องมองหน้านางทว่าใบหน้าของนางยังคงขาวราวหิมะดังเดิม... หัวใจดวงนี้รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันใด
เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกนี้เขากลับไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด สตรีผู้นี้ช่างน่าสนใจ...และยามได้ประลองฝีมือกับนางทุกๆ วัน ถือเป็เื่น่าสนุกอีกแบบหนึ่ง
เพียงแต่วิธีประลองฝีมือของนางไม่เหมือนกันผู้อื่นทั้งความฉลาดและความอดกลั้นของนาง แม้แต่บุรุษนับสิบคนก็ไม่อาจเทียบ
“วันพรุ่งนี้สตรีเ่าั้ของเปิ่นหวางจะต้องมาพบเ้าแล้วเ้าอย่าลืมเกมที่พวกเราตกลงกัน ต้องตั้งใจดูให้ดี” เฉินอ๋องเอ่ย
เขาไม่เชื่อว่าสตรีนางนี้จะชนะ!
เขามีวิธีทำให้นางแพ้อยู่วิธีหนึ่งแน่นอนว่าไม่ได้จงใจหลอกนางแต่อย่างใด เพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น คาดว่าเขาคงชนะ
เช้าตรู่วันต่อมาอวิ๋นฉางเอาชุดพระราชสำนักมาให้เฉินอ๋องเห็นทีวันนี้เฉินอ๋องคงจะไปเข้าเฝ้าในท้องพระโรง
หลังร่วมทานอาหารเช้าด้วยกันหรงหว่านซีถอนสายบัวส่งเสด็จเฉินอ๋องอยู่หน้าประตู
ชูเซี่ยและจือชิวย้ายโต๊ะกลมออกไปจัดเก้าอี้แถวละสี่ตัวไว้สองฝั่งในห้องโถงใหญ่ระหว่างเก้าอี้ทั้งสองฝั่งมีโต๊ะเล็กวางชุดถ้วยน้ำชาไว้สองชุดตำแหน่งที่นั่งหลักไม่ได้ตระเตรียมอะไรมากเดิมทีคือโต๊ะเล็กชิดกำแพงทางทิศเหนือที่มีเก้าอี้สองตัว และตำแหน่งนั้นมีพื้นยกระดับสูงกว่าตำแหน่งอื่นในห้องโถงเล็กน้อย
โดยปกติภายในจวนของตระกูลใหญ่ห้องโถงของนายท่านและฮูหยินเอกมักมีการออกแบบเช่นนี้เพื่อเป็การแสดงความเคารพต่อนายท่านและนายหญิงของจวน
หลังจัดสิ่งของพวกนี้เรียบร้อยก็ได้ยินเสียงจือชิวร้องะโมาจากหน้าประตู“คุณหนู ปั๋วเหม่ยเหรินขอเข้าพบเ้าค่ะ”
“ให้เข้ามา” หรงหว่านซีเอ่ย
ปั๋วเหม่ยเหรินมาถึงเร็วเป็อย่างมากเมื่อวานสั่งจิ้นหมัวหมั่วแจ้งพวกนางให้มาพบในยามเฉินสองเค่อตอนนี้พึ่งจะยามเฉินหนึ่งเค่อ ปั๋วเหม่ยเหรินกลับมาเสียแล้ว
“เหตุใดวันนี้เหม่ยเหรินถึงมาเร็วถึงเพียงนี้?”หรงหว่านซีนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งขวาของตำแหน่งที่นั่งหลักและเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
“หม่อมฉันเดินช้าเกรงว่าจะชักช้าเลยเวลาเข้าเฝ้าฉิ่งอานเหนียงเหนียงถึงได้รีบเดินมาเพคะ”ปั๋วเหม่ยเหรินเอ่ย
หรงหว่านซีเห็นนางวางตัวเหมาะสม ลักษณะท่าทางใจกว้างและใบหน้ายิ่งแลดูสุขุม ทำให้รู้ว่านางเป็คนใจเย็นจึงไม่แปลกหากพระพันปีจะพระราชทานนางให้กับเฉินอ๋อง
นอกจากนั้นวันนี้นางยังมาเพียงลำพังโดยไม่ได้เกาะกลุ่มกับผู้อื่นจึงยิ่งเห็นได้ว่านางเป็คนรู้จักคิดให้รอบคอบไม่น้อย
“เม่ยเหม่ย[1] นั่งลงเถิด ไม่ต้องมาพิธีอะไร” หรงหว่านซีเอ่ยพลางแย้มยิ้ม
ปั๋วเหม่ยเหรินกลับเอ่ยว่า“ยังไม่ได้ยกน้ำชาคำนับเหนียงเหนียง หม่อมฉันไม่กล้าตีตนเสมอเพคะ”
แท้จริงแล้วหรงหว่านซีสั่งให้นางนั่งเพราะ้าทดสอบนางเท่านั้นหากลืมการยกน้ำชาและนั่งลงจริงๆ ก็เท่ากับนางเป็คนเลอะเลือนทว่าปั๋วเหม่ยเหรินผู้นี้กลับไม่ใช่คนเลอะเลือนเช่นนั้น
เมื่อชูเซี่ยเห็นเช่นนี้จึงหยิบจอกน้ำชาใบเล็กที่เตรียมเอาไว้จากนั้นคุกเข่าพลางยืนให้ปั๋วเหม่ยเหริน
ปั๋วเหม่ยเหรินรับเอามานางเดินเข้ามาข้างหน้าไม่กี่ก้าวคุกเข่าลงตรงหน้าหรงหว่านซีอย่างนอบน้อมพร้อมกับยกจอกน้ำชาเหนือหัว“หม่อมฉันผู้ต่ำต้อยยกน้ำชาคำนับนายหญิงเพคะ”
หรงหว่านซีพยักหน้าเล็กน้อยและรับมาจิบหลังส่งจอกน้ำชาให้ชูเซี่ยจึงเข้าไปประคองปั๋วเหม่ยเหรินให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง“เหม่ยเหรินรีบนั่งเถิด ประเพณีที่ต้องทำก็ทำไปหมดแล้วหลังจากนี้พวกเรามาพูดคุยอย่างเป็กันเองเหม่ยเหรินอย่าได้ยึดถือหลักปฏิบัติอะไรให้มาก”
ปั๋วเหม่ยเหรินแสดงความเคารพและไม่บอกปัดแต่อย่างใดจากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกฝั่งซ้ายมือจากเก้าอี้ทั้งแปดตัว
หรงหว่านซีเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพราะนี่ควรจะเป็ตำแหน่งที่นางควรจะนั่ง
“เหม่ยเหรินเข้าจวนมานานเพียงใดแล้ว?ปีนี้อายุเท่าใด?” หรงหว่านซีนั่งยิ้มอยู่บนตำแหน่งที่นั่งหลักและเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“ทูลเหนียงเหนียงเตี้ยนเซี่ยทรงเริ่มสร้างจวนตอนอายุสิบหกพรรษา ในเดือนเจ็ดของปีถัดมา ไทเฮาทรงพระราชทานหนูปี้ให้กับเฉินอ๋องเพคะยามนี้อยู่ในจวนเป็เวลาสามปี เมื่อครั้งเข้าจวน หนูปี้อายุสิบเจ็ดเพคะ”ปั๋วเหม่ยเหรินเอ่ย
หรงหว่านซีฟังออกถึงความราบเรียบและเชื่องช้าในน้ำเสียงของนางอีกทั้งขณะกล่าววาจาสายตาของนางยังคงมองต่ำั้แ่ต้นจนจบโดยไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อยวันนี้นางสวมอาภรณ์สีใบสน แม้จะดูงามอย่างสุขุม แต่ก็แลดูแก่กว่าวัยไปสักหน่อยสีเช่นนี้ส่วนมากสตรีอายุมากกว่ายี่สิบห้าหรือสตรีที่มีบุตรแล้วมักจะสวมใส่
แม้นางจะเอ่ยอย่างสุขุมราบเรียบทว่าหรงหว่านซียิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่ดีนักมักคิดว่าหากสุขุมจนเกินไปก็จะแข็งทื่อและยากหยั่งถึงจิตใจ
แม้ว่าหรงหว่านซีจะคิดเช่นนี้ทว่าบนใบหน้ากลับไม่ปรากฏออกมาแม้แต่น้อย หรงหว่านซีเพียงแต่จิบน้ำชาเมื่อกลืนลงไปจนหมดจึงเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “ที่แท้เหม่ยเหรินอายุเท่าเตี้ยนเซี่ยหรอกรึนอกจากนั้นยังเข้าจวนมาก่อนเปิ่นเฟย แสดงว่าต้องเป็พี่ของเปิ่นเฟยเสียด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ไม่ทราบอายุของเจี่ยเจีย[2]จึงยึดตามตำแหน่งและประเมินอายุเจี่ยเจียต่ำเกินไป”
ปั๋วเหม่ยเหรินลุกขึ้นถอนสายบัว“ต่อหน้าเหนียงเหนียง หม่อมฉันจะกล้ายกตนเป็ใหญ่ได้อย่างไรเพคะ?”
“ไม่เป็ไร”หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เจี่ยเจียไม่ต้องมากพิธีหากเจี่ยเจียระมัดระวังตัวเกินไป เปิ่นเฟยก็รู้สึกไม่สบายใจนักพวกเราสองพี่น้องพูดคุยอย่างเป็กันเองก็พอแล้ว”
ปั๋วเหม่ยเหรินขานรับว่า “เพคะ”จากนั้นหยัดกายลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่กล่าวคำพูดเกรงอกเกรงใจมากนัก
หรงหว่านซีไม่พูดเื่ตำหนักสือหนิงกงกับนางนางก็ไม่ได้เอ่ยถึงเช่นกันพวกนางแค่พูดคุยเรื่อยเปื่อยถึงเื่ราวในตำหนักอี๋หลานของปั๋วเหม่ยเหรินระหว่างนั้นมีหญิงนางหนึ่งเดินเข้ามาในพระตำหนัก ด้านหลังคือหญิงรับใช้หนึ่งนางหญิงรับใช้ผู้นั้นหยุดอยู่หน้าประตูตำหนักและยืนอยู่กับหญิงรับใช้ของปั๋วเหม่ยเหริน
สตรีสวมอาภรณ์สีครามสูงน้อยกว่าปั๋วเหม่ยเหรินประมาณครึ่งศีรษะและรูปร่างอรชรเดินเข้ามาข้างในพบว่านางมีโครงหน้ารูปเมล็ดแตงโม จมูกงามเรียวเล็กเพียงแต่ใบหน้าค่อนข้างซูบตอบกลับลดความงามของดวงหน้านี้ลงจนแลดูธรรมดา ไม่เช่นนั้นด้วยปากเล็กจมูกหน่อยและดวงหน้าน่าเอ็นดูของนางไม่ว่าอย่างไรก็เรียกได้ว่างามล้ำเลิศเลยทีเดียว
สตรีนางนั้นถอนสายบัวอย่างเชื่องช้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เหม่ยเหรินแซ่เฝิงคำนับเหนียงเหนียงเพคะ”
นางถอนสายบัวเพื่อทำความเคารพไม่เหมือนกับปั๋วเหม่ยเหรินที่คำนับแนบศีรษะลงกับพื้นั้แ่เขาประตู
“เหม่ยเหรินไม่ต้องมากพิธีนั่งลงเถิด” หรงหว่านซีเอ่ย
“หม่อมฉันยังไม่ได้ยกน้ำชาคำนับเหนียงเหนียงจึงไม่กล้านั่งเพคะ” เฝิงเหม่ยเหรินเอ่ย
หรงหว่านซีหันไปส่งสัญญาณให้ชูเซี่ยชูเซี่ยจึงถือน้ำชาจอกหนึ่งส่งให้เฝิงเหม่ยเหริน เฝิงเหม่ยเหรินรับและเดินเข้ามายามนี้นางถึงคุกเข่าทำความเคารพและเอ่ย “หม่อมฉันยกน้ำชาคำนับนายหญิงเพคะ”
หรงหว่านซีรู้ว่านางจงใจละเว้นคำว่า“ต่ำต้อย” สองคำนี้ จึงยกยิ้มและรับจอกน้ำชาจากนางโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
นางส่งจอกน้ำชาให้ชูเซี่ยแล้วเอ่ย“เหม่ยเหรินลุกขึ้นเถิด ไม่จำเป็ต้องมากพิธีอะไร”
“เพคะ” เฝิงเหม่ยเหรินขานรับ นางชำเลืองมองเก้าอี้ตัวแรกฝั่งขวาเพียงครู่ก่อนจะเดินไปนั่ง
ตามด้วยหลิวเหม่ยเหรินและกูเหนียงอีกหนึ่งนางก็มาถึงแล้วเช่นกันคนทั้งสองเดินเข้ามาในห้องพร้อมกัน หลิวเหม่ยเหรินหันไปเอ่ยกับปั๋วเหม่ยเหรินว่า“เหตุใดเจี่ยเจียจึงมาเร็วนักเพคะ? เมื่อวานยังบอกว่าจะมาด้วยกันเมื่อครู่พวกเรายังเดินไปหาเจี่ยเจียที่ตำหนักอี๋หลานด้วยนะเพคะ!”
“ทำให้เม่ยเหม่ยต้องเสียเที่ยวเสียแล้วเมื่อเช้าพวกหนูฉายทะเลาะกัน นึกไม่ถึงว่าจะลืมนัดหมายของเม่ยเหม่ยเสียแล้ว”ปั๋วเหม่ยเหรินเอ่ยอย่างราบเรียบพร้อมกับยกยิ้ม
หลิวเหม่ยเหรินมีใบหน้ากลมน่าเอ็นดูแก้มทั้งสองข้างอวบอูม เมื่อยกยิ้มจะปรากฏลักยิ้มสองจุดบนแก้มนิ่มถือได้ว่าน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก แม้จะบอกว่าอายุสิบหกแล้วแต่ดูเหมือนนางยังอายุน้อยกว่าสิบหกเสียด้วยซ้ำราวกับใบหน้าและรูปร่างไม่เติบใหญ่ตามอายุ
ทว่ากูเหนียงนางนั้นที่มาพร้อมหลิวเหม่ยเหรินกลับไม่พูดจาหยอกล้อครั้นสิ้นประโยคของปั๋วเหม่ยเหรินนางสะกิดหลิวเหม่ยเหรินให้นั่งลงและคำนับแนบศีรษะลงกับพื้นไปทางหรงหว่านซี“หม่อมฉันแซ่จ้าว คำนับเหนียงเหนียงเพคะ”
เมื่อถูกจ้าวกูเหนียงสะกิดหลิวเหม่ยเหรินจึงรีบคุกเข่าลง “เหม่ยเหรินแซ่หลิว คำนับพระชายาเหนียงเหนียงเพคะ”
“เม่ยเหม่ยทั้งสองลุกขึ้นมานั่งเถิด”หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
ไม่รอให้หลิวเหม่ยเหรินเอ่ยสิ่งใดจ้าวกูเหนียงก็รีบเอ่ยออกมาว่า “ยังไม่ยกน้ำชาคำนับนายหญิงหม่อมฉันจึงไม่กล้าลุกขึ้นเพคะ”
หรงหว่านซีรับรู้ถึงความรีบร้อนในน้ำเสียงของนางคล้ายกับนาง้าพูดให้หลิวเหม่ยเหรินได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
หรงหว่านซีจึงมองดูนางสักหน่อยจากนั้นพบว่าจ้าวกูเหนียงผู้นี้หน้าตางดงามไม่น้อย...
[1]เม่ยเหม่ย หมายถึงน้องสาว
[2]เจี่ยเจีย หมายถึงพี่สาว