หลังจากสวมอาภรณ์ที่บรรจงคัดสรรอย่างดีแล้ว จ้าวอี๋เหนียงตามติดป๋อชางโหวออกห้องไปด้วยความพึงพอใจเต็มประดา
วัดอันเหรินคือวัดที่ใหญ่ที่สุดในเขตชานเมืองหลวง เนื้อที่กว้างขวาง ทั้งยังเป็วัดที่เหล่าฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายในเมืองมักไปเยือน
เรือนพักในวัดจึงมีมากที่สุดและดีที่สุดในบรรดาวัดทั้งหลายนั่นเอง
กระนั้นต่อให้พวกเขาพำนักในเรือนพักที่ดีที่สุดของวัด ทว่าก็ยังมิอาจเทียบชั้นกับจวนโหวได้
จ้าวอี๋เหนียงยกถ้วยชาวางไว้ข้างมือป๋อชางโหว ส่วนตนยืนอยู่ด้านข้าง
นางเงยหน้ามองเก้าอี้ตัวข้างกายป๋อชางโหว อยากไปนั่งยิ่งนัก เพราะตรงนั้นคือตำแหน่งฮูหยินของป๋อชางโหวอย่างไรเล่า
ขณะกำลังคิด เสียงพูดคุยของใครบางคนพลันดังขึ้นจากด้านนอก นางมองตามต้นเสียง เห็นเฉินอี้เหอสาวเท้าก้าวเข้ามา ส่วนผู้ที่ตามติดมาคงเป็คุณชายเผยสินะ?
มองประเมินั้แ่หัวจรดเท้า คุณชายเผยผู้นี้เป็ดั่งที่เฉินจิ้งโหรวเคยบอกไว้จริงๆ ยากจนข้นแค้น ไร้ซึ่งสิ่งใดติดตัว
ลำพังดูแค่เสื้อผ้าคงไม่มีอะไรมากนัก ทว่าเมื่อยืนคู่เฉินอี้เหอแล้ว ก็เห็นถึงความต่างได้อย่างชัดเจน
อาจเป็เพราะร่ำเรียนมานาน ต่างจากเฉินอี้เหอที่เป็แม่ทัพสู้สังหารในามานาน รูปร่างเขาจึงผ่ายผอมไปบ้าง แต่ก็สูงกว่าใครหลายคนไม่น้อย
หากแต่ใบหน้าที่เอาแต่ก้มมองพื้นนั้น ทำเอาจ้าวอี๋เหนียงมองหน้าตาได้ไม่ชัดเท่าที่ควร
เฉินอี้เหอและเผยฉางชิงเดินมาถึงก่อน เฉินจิ้งเจียเดินตามหลังมา ดวงตาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเอาแต่จดจ้องเผยฉางชิง ท่าทางดูโปรดปรานเป็อย่างยิ่ง
ท่าทางเช่นนี้ จ้าวอี๋เหนียงรู้ดีกว่าใคร นั่นมิใช่ท่าทางที่ยกใจทั้งดวงไว้ให้คุณชายเผยหรืออย่างไร?
“บัณฑิตเผยฉางชิง คารวะท่านโหวขอรับ”
เผยฉางชิงมองคนที่นั่ง้า ไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่ามีสถานะเช่นไร ว่าแล้วจึงรีบทำความเคารพทันใด
“คงเป็คุณชายเผยสินะ ข้าได้ยินโหรวเอ๋อร์พูดถึงเ้า ช่างเป็บัณฑิตที่มีแววยอดเยี่ยมมากพร์จริงๆ” จ้าวอี๋เหนียงเอ่ยปากพลางยิ้มตาหยี
ทว่าความจริงแล้ว จนถึงตอนนี้เผยฉางชิงยังมิได้เงยมองหน้าทั้งสองคนตรงหน้าอย่างชัดเจนเสียที แน่นอน ทั้งสองคนก็ยังไม่เห็นหน้าตาเขาอย่างชัดเจนเช่นกัน
กระนั้นวาจาเช่นนี้ของจ้าวอี๋เหนียงกลับเหมือนดั่งวาจาน้ำเสียงนายหญิงแห่งจวนโหวอย่างไรอย่างนั้น
เฉินจิ้งเจียขมวดคิ้วคิ้วมุ่น นี่มิได้เป็การแสดงต่อหน้าฝูงชนภายนอกไปก่อนทั้งที่ยังมิได้ถูกแต่งตั้งเป็ฮูหยินหรอกหรือ?
ยังไม่ทันให้โอกาสเผยฉางชิงได้พูด เฉินจิ้งเจียก็ปรี่เข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับหน้า “อี๋เหนียงพูดอันใดกัน คุณชายเผยเป็ถึงบัณฑิตเตรียมสอบเข้าเชียวนะ นอกจากมีพร์แล้ว เขายังมีความรู้ความสามารถอีกด้วย!”
น้ำเสียงแสร้งฉุนเฉียวที่ทั้งเหมือนการโอ้อวดทั้งเหมือนการอธิบายในเวลาเดียวกันของนางนั้น ทำเอาแววตาเผยฉางชิงส่องประกายวูบ
คุณหนูเฉินผู้นี้เป็คนอย่างไรกันแน่ ไฉนถึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาราวกับคนละคนได้เช่นนี้
เขาเงยหน้า เห็นเพียงแผ่นหลังเฉินจิ้งเจีย ไม่เห็นอารมณ์หน้าตาของนาง กระนั้นแค่คิดก็รู้ได้ว่าสีหน้านางในยามนี้ต้องดูมีชีวิตชีวายิ่งแน่นอน
บทสนทนาที่แทรกขึ้นนี้ป๋อชางโหวหาได้ใส่ใจไม่ ในเมื่อ้าให้เผยฉางชิงแต่งเข้าบ้าน เช่นนั้นก็ไม่ต้องบังคับจิตใจเฉินจิ้งเจียอีกต่อไป นางชื่นชอบสิ่งใดก็ให้ทำสิ่งนั้น
“ในเมื่อเ้าตัวมาถึงแล้ว เช่นนั้นพวกเราไปห้องน้ำชากันเถอะ”
ป๋อชางโหวสีหน้าเคร่งขรึม หยัดกายยืนเดินนำเบื้องหน้า เฉินอี้เหอและเผยฉางชิงตามหลังไปห้องน้ำชาพร้อมกัน
จ้าวอี๋เหนียงยืนชะงักงันอยู่ที่เดิม มองทิศทางที่ทั้งสามหายไปอย่างไม่เชื่อสายตา แบบนี้เลยหรือ?
ท่าทีเช่นนี้ทำเอาเฉินจิ้งเจียนึกขำขัน นางปรี่ไปข้างกายจ้าวอี๋เหนียงอย่างไร้สุ้มเสียง
“อี๋เหนียง ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ปลื้มคุณชายเผยเสียเท่าไร”
น้ำเสียงนางดูเสียใจเล็กน้อย คล้ายกับว่าสนใจในทัศนคติทีุ่จ้าวอี๋เหนียงมีต่อเผยฉางชิงจริงๆ
จ้าวอี๋เหนียงได้ยินก็รีบส่ายหน้าเป็พัลวัน “คุณหนูใหญ่อย่าได้เข้าใจผิดไป ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น แค่กำลังคิดว่าท่านโหวจะหารือกับคุณชายเผยอย่างไรเ้าค่ะ”
จ้าวอี๋เหนียงก้มศีรษะเก็บสีหน้า ไม่เห็นความเยือกเย็นในแววตาเฉินจิ้งเจียแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อจะหารือเช่นไรกับคุณชายเผย นั่นก็เป็เื่ของท่านพ่อกับพี่ใหญ่แล้ว ไม่จำเป็ต้องรบกวนให้อี๋เหนียงลำบากใจแทนหรอก”
นางเอ่ยจบก็หันหน้าเดินจากไป จ้าวอี๋เหนียงถึงได้เงยหน้าขึ้น สายตาจ้องมองแผ่นหลังเฉินจิ้งเจีย ความสงสัยเริ่มผุดขึ้นกลางทรวง
คำพูดของนางเมื่อครู่ หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
นางยืนนิ่งท่ามกลางความสับสนครู่หนึ่ง คอยกระทั่งปลายเท้าเริ่มชา จ้าวอี๋เหนียงถึงได้สติกลับมา
นางกวักมือเรียกแม่นมซุนข้างๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “แม่นม เ้าดูคุณหนูใหญ่สิ นางถูกซูเหยาสิงร่างเข้าจริงๆ หรือไร?”
ใช่หรือไม่ แม่นมซุนก็สุดจะรู้ได้ หากแต่นางเชื่ออย่างหนึ่ง “ไฉนอี๋เหนียงต้องกังวลไปเล่าเ้าคะ คนผู้นั้นตอนมีชีวิตก็สู้เราไม่ได้ ยามนี้เป็เพียงิญญาดวงหนึ่งไหนเลยจะสู้ท่านได้เ้าคะ?”
คำพูดของนางทำเอาจ้าวอี๋เหนียงเบาใจลงไม่น้อย จากนั้นยกยิ้มเย็นะเื “แม่นมพูดถูก ยามนางยังมีชีวิตก็สู้ข้ามิได้ ตายไปก็ไม่มีทางสู้ข้าได้อยู่แล้ว!”
ว่าแล้วท่าทางก็กลับมาอ่อนโยนดังเดิม วางมือบนเอวคอดเล็กก่อนย่างกรายเดินอย่างสง่างาม
เกิดเป็สาวใช้แล้วอย่างไร กฎเกณฑ์ของนาง รูปร่างหน้าตานางล้วนแล้วแต่เรียนรู้มาอย่างดีแล้ว นางมั่นใจว่าตนมิได้น้อยหน้าไปกว่าสตรีผู้ดีคนใดแน่นอน
เฉินจิ้งเจียมิได้เดินห่างไปไกลนัก แค่คอยมองจ้าวอี๋เหนียงอยู่ด้านข้างเท่านั้น
ทำได้เพียงโทษตัวเองในชาติก่อนที่โง่เขลานัก ที่คิดว่าจ้าวอี๋เหนียงทำดีกับตน จนมิได้สนใจสตรีนางนี้สักนิด
ซึ่งทำให้ตัวนางในยามคิดต่อกรจ้าวอี๋เหนียงในชาตินี้ ได้พบว่าตนไม่เข้าใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“หึ เสแสร้งให้เหมือนเพียงใดก็เป็แค่อนุอยู่วันยังค่ำ!”
ครั้นเห็นแผ่นหลังไกลลิบตา หนานจือกระทืบเท้า เอ่ยเสียงเบาอย่างไม่พอใจ
เป็แค่อนุอย่างนั้นหรือ?
เฉินจิ้งเจียมองหนานจือที่โมโหหัวเสียไม่คลายครู่หนึ่ง ก่อนเผยยิ้มดูมีเลศนัย
ชาติก่อน จ้าวอี๋เหนียงมิใช่แค่อนุธรรมดา
เพราะสุดท้ายนางกลายเป็ฮูหยินของป๋อชางโหวอย่างเป็ทางการ ทั้งยังมีตำแหน่งเหนือกว่าใครทั้งปวงอีกด้วย!
“หนานจือ ระวังหน่อย ที่นี่หาใช่เรือนของเราในจวนป๋อชางโหว” เฉินจิ้งเจียเตือน
หนานจือก้มหน้างุด “บ่าวผิดไปแล้วเ้าค่ะ”
นางเข้าใจความหมายของเฉินจิ้งเจีย และรู้ดีว่าท่าทางเช่นนี้ของตนง่ายต่อการเป็จุดอ่อน
การจากไปของฮูหยินครั้งนี้ทำให้คุณหนูใหญ่เติบโตในชั่วข้ามคืน ทั้งที่ตนเป็บ่าวรับใช้ แต่กลับยังต้องให้คุณหนูคอยดูแลอยู่เสมอเสียได้
เฉินจิ้งเจียเบื้องหน้าก้าวขาเคลื่อนไหวแล้ว หนานจือรีบเร่งตามติด เดินไปพักหนึ่งก่อนพบว่านี่มิใช่เส้นทางกลับเรือนพัก
“คุณหนู พวกเราไม่กลับไปหรือเ้าคะ? นี่ท่านจะไปไหนกันแน่?”
เฉินจิ้งเจียยั้งฝีเท้าลง หันตัวกลับมามองหน้าหนานจือที่ทำหน้าสงสัยใคร่รู้ “เ้าคิดว่าพวกเราจะไปไหนกันละ?”
หนานจือเกือบตอบกลับว่าไม่รู้อย่างลืมตัว ขณะกำลังอ้าปากตอบก็เห็นใบหน้าของเฉินจิ้งเจีย ทำให้ตระหนักได้ถึงคำถามของตน
นางก้มหน้าโดยพลัน หัวสมองขาวโพลน ไม่รู้ว่ายามนี้ต้องพูดอะไรหรือทำอย่างไรต่อ
เฉินจิ้งเจียส่ายหน้าอย่างจนใจ “หนานจือ เ้าจำต้องรู้ไว้ว่าการคำนึงถึงความคิดผู้เป็นายนั้น เป็สิ่งที่เ้าต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน ยามนี้ข้ายังคอยบอกเื่ราวที่เ้าอยากรู้ได้ ทว่าหากข้าไม่สะดวกพูดขึ้นมาเ้าจะทำอย่างไรเล่า?”
“บ่าว บ่าว...”
มือข้างหนึ่งแตะลงบนบ่านางอย่างแ่เบา “ค่อยเป็ค่อยไป ไม่ต้องรีบ พวกเราไปดูว่าที่ลูกเขยกันเถอะ”
“เอ๋?”
