เล่มที่ 2 บทที่ 37 ะโเข้าเตาหลอมฆ่าตัวตาย
อาจเป็เพราะถูกหลินเฟยตื๊อจนรำคาญเต็มทน หลังออกคำสั่งแก่ศิษย์ของตนแล้ว อู๋เย่วก็หันหลังเดินออกจากเพิงหลอมไป จะได้พ้นจากภาพรกหูรกตานี่เสียที
พออู๋เย่วจากไป หลี่ฉุนก็แสดงอาการลิงโลดขึ้นทันที…
“ฮ่าๆ…” หลังจากที่แผ่นหลังของอาจารย์ได้พ้นสายตาไปแล้ว เขาก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ก่อนจะหันไปมองหลินเฟยที่ถูกแขวนอยู่เหนือเตาราวกับเนื้อย่าง ‘ช่างเป็ภาพที่งดงามจริงๆ’
“อากาศข้างบนเป็อย่างไรบ้างล่ะ ร้อนไปหน่อยหรือไม่ ข้าเห็นเหงื่อเ้าหยดติ๋งๆเลย อยากให้ศิษย์พี่ช่วยพัดหรือไม่ล่ะ?"
“หึหึ ศิษย์พี่ช่างร้ายกาจจังนะ…”
“ทำไมล่ะ ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ดีเลย วันนี้แหละ ข้าจะให้เ้าได้ลิ้มรสไฟโลกันตร์ของหุบเขาหมัวเจี้ยนแห่งนี้!”
ขณะที่หลี่ฉุนโคจรพลังปราณ ทันใดนั้นเปลวไฟในเตาก็ลุกโชนขึ้นมา ทำให้อุณหภูมิในเพิงหลอมสูงขึ้นตามไปด้วย อย่าว่าแต่หลินเฟยที่ถูกแขวนอยู่เหนือเตาเลย แม้แต่เขาเองก็ยังร้อนจนเหงื่อไหลมาเป็สาย…
“เป็อย่างไรบ้าง ไฟโลกันตร์ของหุบเขาหมัวเจี้ยน ไม่เลวเลยล่ะสิ?”
“อื้อ ก็ไม่เลว” เมื่อได้ยินคำถากถาง ผู้ที่ถูกพันธนาการอยู่ก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แถมยังชวนหลี่ฉุนคุยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งนั้น
“จริงสิ ขอถามอะไรอย่างหนึ่งหน่อยได้หรือไม่?”
‘เ้านี่ต้องมีแผนชั่วอีกอะไรแน่!’
หลี่ฉุนที่เคยพลาดพลั้งถึงสองครั้งรู้สึกระแวงขึ้นมาทันที เอาแต่เตือนสติตัวเองไม่ให้หลงกลอีก…
“อยู่นิ่งๆ มาถงมาถามอะไรกัน เ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน ถึงได้เที่ยวถามโน่นถามนี่อยู่ได้”
“ทำไมล่ะ ศิษย์พี่หลี่กลัวอย่างนั้นหรือ?”
“ไร้สาระ คนอย่างข้านี่นะจะกลัว!” หลี่ฉุนเถียงขาดใจจากนั้นจึงหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อน แล้วเอ่ยถามตามมา
“อยากจะถามอะไรก็ว่ามา!”
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากถามว่า หากข้าโชคร้าย ตกเข้าไปในเตานี่ ศิษย์พี่หลี่จะพลอยซวยไปด้วยหรือไม่…”
“หมายความว่าอย่างไร?” หลี่ฉุนทบทวนอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจคำถาม อะไรคือโชคร้ายตกลงไปในเตา เชือกที่เกิดจากเปลวไฟนั่น ถือเป็สุดยอดวิชาของอาจารย์เชียวนะ มันเหนียวแน่นยิ่งกว่าอะไรดี ต่อให้เป็หินั์หนักหมื่นจิน* ก็เอาอยู่ แล้วนับประสาอะไรกับหลินเฟยที่หนักเพียงร้อยกว่าจินเท่านั้น…
(*จิน หมายถึง 500 กรัม)
หากโชคร้ายถึงขนาดเชือกโลกันตร์ก็ไม่สามารถพันธนาการได้อย่างแ่าแล้วล่ะก็ ะโเข้าเตาหลอมไปเลยเสียจะดีกว่า…
อีกอย่าง…
‘เดี๋ยวก่อนนะ เ้าหลินเฟยคิดจะทำอะไรกันแน่?’
ขณะที่หลี่ฉุนกำลังพินิจทบทวนไปมาอยู่ดีๆก็มีลำแสงสีทองพาดผ่านเชือกที่มัดมือทั้งสองของหลินเฟย…
“หลินเฟย ทำอะไรน่ะ!” หลี่ฉุนใสุดขีดจนิญญาแทบออกจากร่าง มือก็พลันเอื้อมไปห้ามโดยอัตโนมัติ ‘แต่จะห้ามได้ที่ไหนกันล่ะ?’
ชั่วขณะที่ปราณกระบี่สีทองพาดผ่านนั้น เชือกไฟโลกันตร์ของผู้าุโก็ขาดสะบั้นออกทันที หลินเฟยตกลงมาจากที่สูงประมาณหนึ่งจ้าง แล้วจึงตกลงไปในเตาหลอมอย่างพอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว...
“แย่แล้ว!” หลี่ฉุนตะลึงจนตาค้าง…
‘เกิดอะไรขึ้น?’
‘หลินเฟยตั้งใจะโเข้าเตาหลอมอย่างนั้นหรือ?’
‘บ้าเอ๊ย มันเพี้ยนหรือเปล่า?’
‘แค่ทำให้อาจารย์เขาโกรธ จนถูกสั่งสอนโดยการแขวนบนเตาให้สำนึกผิดเท่านั้น ศิษย์หุบเขาอื่นๆก็เคยโดนมาทั้งนั้น ศิษย์พี่หวังจากหุบเขาเทียนจีที่อายุก็มากกว่า ตำแหน่งก็สูงกว่า ก็ไม่แคล้วยังเคยถูกแขวนมาก่อนเลย แล้วเ้านี่เกิดนึกครึ้มอะไรขึ้นมา ถึงได้คิดสั้นะโลงไปแบบนั้น?’
‘คงสติฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว…’
หลี่ฉุนเห็นแล้วอยากร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ…
คราวนี้หลินเฟยหาเื่ให้เขาอีกแล้ว หากอาจารย์กลับมา เขาจะตอบคำถามอย่างไรดี จะให้บอกว่าแค่คุยกันไม่กี่คำ พอมีปากเสียง เ้านั่นก็คิดสั้นะโลงไปหรือ หากพูดเช่นนั้น เกรงว่าอาจารย์คงจะตีเขาจนขาหักเสียมากกว่า
‘ทำอย่างไรดี หรือจะตักออกมาดี บางทีอาจจะได้เถ้ากระดูกออกมาก็ได้?’
‘จบแล้ว จบสิ้นแล้ว…’
หลี่ฉุนหมดอาลัยตายอยาก เอาแต่เดินวนไปวนมาด้วยอาการว้าวุ่น ครุ่นคิดว่าจะอธิบายกับอาจารย์อย่างไรดี…
‘หรือจะทำเป็ไม่อยู่ในเหตุการณ์นะ?’
‘ไม่ได้ๆ เมื่อครู่อาจารย์เพิ่งสั่งให้เขาเฝ้าหลินเฟยไปเอง หากบอกว่าไม่อยู่ นั่นก็แปลว่าข้าขัดคำสั่งน่ะสิ…’
‘จริงสิ ถึงข้าจะอ้างว่าไม่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ได้ แต่หลินเฟยอยู่ในเหตุการณ์ได้นี่!’
เมื่อคิดได้ดังนั้นแววตาของหลี่ฉุนก็เกิดประกายขึ้นทันที ‘ใช่แล้ว…หากอาจารย์กลับมา เขาก็จะบอกว่าหลินเฟยใช้ปราณกระบี่พิสดารสีทองตัดเชือกขาด ก่อนจะหนีไป’!
‘ส่วนจะหนีไปไหนนั้น?’
‘ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร…’
คนทั้งคนเชียวนะ แถมยังอยู่ขั้นย่างหยวนอีก ในเป่ยจิ้งมีที่ให้ไปเยอะแยะ บางทีเกิดเสียสติ คิดหนีไปที่เมืองผีชิงหยางก็เป็ไปได้หรือไม่ก็วังปีศาจอะไรพวกนั้น ดีไม่ดีอาจถูกปีศาจจับกินไปแล้วก็ได้…
‘ใช่แล้ว เอาแบบนี้แหละ’
‘เริ่มจากมาสร้างหลักฐานก่อนดีกว่า…’
หลี่ฉุนภูมิใจในความฉลาดของตัวเอง จากนั้นเขาก็ยุ่งอยู่กับการสร้างหลักฐานปลอมในเพิงหลอมแห่งนี้…
แน่นอนหลี่ฉุนไม่รู้เลยว่าหลินเฟยที่ตกลงไปในเตาหลอมนั้นสบายดี ไม่ได้าเ็หรือตายไปแล้วแต่อย่างใด…
หากเป็ผู้บำเพ็ญขั้นย่างหยวนคนอื่น คงจะตายไปนานแล้ว
แต่กับหลินเฟยนั้น ไม่ใช่เลย…
เพราะบำเพ็ญเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียน จึงทำให้หลินเฟยมีมนต์สะกดสิบแปดสายในตัว เปรียบเสมือนศาสตราวุธขั้นอิงฝูมานานแล้ว เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญขั้นย่างหยวนทั่วไป จึงมีความแตกต่างของกายเนื้อที่ไม่เท่ากัน
ข้างในเตาหลอมนั้น ราวกับมีโลกอีกใบ ดูภายนอกเตาหลอมมีขนาดประมาณสามฉื่อเท่านั้น แต่ด้านในกลับรายล้อมไปด้วยเปลวไฟที่ไม่มีที่สิ้นสุด หลินเฟยรู้ดีว่านี่คงเป็ผลงานการย้ายจุดชีพจรไฟโลกันตร์ของปรมาจารย์หุบเขาหมัวเจี้ยนในอดีต…
เมื่อหลินเฟยร่วงตกลงไปท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชนนั้น จึงเหมือนกับเรือลำน้อย ที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ การตกลงไปในกองไฟกับการถูกแขวนย่างสดนั้นไม่เหมือนกัน ถึงแม้หลินเฟยจะมีมนต์สะกดสิบแปดสาย มีกายเนื้อเสมือนศาสตราวุธขั้นอิงฝูก็ตาม แต่เวลานี้เขากลับโคจรพลังปราณเต็มพิกัด แถมยังปล่อยปราณกระบี่สองสายออกมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้อีกด้วย
พอเงยหน้าขึ้น ก็พบกับเพดานที่มีลำแสงแปดสายพาดผ่าน หลินเฟยรู้ทันทีว่าลำแสงแปดสายนี้ ก็คือแปดทิศของเตาฟงอวี่ ประกอบไปด้วยทิศเฉียน คุน ขั่น หลี ตุ้ย เจิ้น ซวิ้น เกิ้งปา แต่หลินเฟยก็ตามหามันมาอยู่นาน ก็ไม่เจอเปลวไฟแปดทิศนี่เสียที…
สำหรับหลินเฟยแล้วเปลวไฟแปดทิศนี้สำคัญยิ่งกว่าการได้ปราณกระบี่มาเพิ่มเสียอีก…
‘จะโทษก็ต้องโทษเ้าของร่างเดิมนี้…’
ก่อนที่หลินเฟยจะทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ เ้าของร่างเดิมก็ฝึกวิชากระบี่ไปไม่น้อยเลย แต่ส่วนมากล้วนเป็วิชากระบี่พื้นฐานของสำนัก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกระบี่ระลึกตน แถมเ้าของร่างเดิมยังฝึกฝนจนมีรากฐานมั่นคง หากฝึกเคล็ดหมื่นกระบี่แบบทั่วไปก็คงไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงหรอก แถมยังถือเป็เื่ดีด้วยซ้ำ เพราะหลินเฟยจะได้ฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่น้อยลงด้วย…
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------