“ทำกระไรน่ะ!”
จู่ๆ ก็มีเสียงะโดังขึ้น อวิ๋นอี้ตกตะลึงจนตัวสั่น
ก่อนที่นางจะหันหน้ามาได้ มืออันใหญ่ที่อยู่ข้างหน้านางก็ััผมยาวของนางเสียแล้ว หลังจากเสียงกรอบแกรบ เขาได้ดึงใบไม้ออกจากผมของนาง
ในเวลานี้หรงซิวได้เข้ามาหาพวกเขาอย่างดุดัน
อวิ๋นอี้อยากจะะโว่าโดนปรักปรำ มิใช่เื่ของนางสักนิด นางมิรู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำกระไร!
“เอ่อ...”
บุรุษหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ หายใจแรงและเร็ว เขายกแขนขึ้นโอบเอวนางโดยทันที และมองไปที่เผยยวนอี้ราวกับแสดงความเป็เ้าของให้เห็น
ครึ่งประโยคหลังของอวิ๋นอี้ติดอยู่ในคอ
หรงซิวน่าจะหึงอีกแล้ว
หัวเชื้อน้ำส้มสายชูเอ๋ย...
กลับไปที่เผยยวนอี้ที่ถูกมองอยู่ สีหน้าของเขายังคงนิ่งเงียบ เมื่อเห็นหรงซิวเขาก็พยักหน้าช้าๆ “องค์ชาย”
อวิ๋นอี้ใเล็กน้อย มองดูความสามารถในการสงบใจรับความกดดันได้ เขานี่ช่างเก่งจริงๆ
หรงซิวค่อยๆ สงบลง เผชิญหน้ากับเผยยวนอี้ อย่างไรเสียเขาก็เป็แขก เขาระงับความไม่พอใจไว้ "องค์ชาย เมื่อครู่ท่านทำกระไร?”
ลมยามเย็นพัดพาความร้อนไปหมดแล้ว บุรุษสองคนยืนเผชิญหน้ากัน คนหนึ่งมีใบหน้าเคร่งเครียด อีกคนหนึ่งมีรอยยิ้ม
เผยยวนอี้ยกมือขึ้น จับใบไม้ไว้หว่างนิ้ว เขาพูดว่า "ผมของพระชายามีสิ่งนี้อยู่ ข้าเห็นจึงหยิบมาให้นางเท่านั้น"
"เช่นนั้นก็ขอบพระทัยองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ" หรงซิวกล่าวอย่างสุภาพ
“มิต้องเกรงใจพ่ะย่ะค่ะ" เผยยวนอี้รับไว้อย่างใจเย็น "แค่ยกมือเพียงเท่านั้น"
หรงซิวมิมีอารมณ์จะพูดเื่นี้นานนัก จึงเปลี่ยนเื่เล็กน้อย "ดึกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่จวนเตรียมอาหารเย็นแล้ว เชิญที่ห้องโถงเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะนี้ หัวใจที่ห้อยอยู่ของอวิ๋นอี้พลันตกลงบนพื้น
นางกลัวว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันมาก
ที่โต๊ะอาหารค่ำ อวิ๋นอี้ได้รู้จักกับบุรุษทั้งสองใหม่
เมื่อก่อนนี้นางรู้สึกว่าสตรีเชี่ยวชาญเื่ตีหน้าแสดง แม้ว่าจะเกลียดชังกันถึงขีดสุด ยังพบกันได้ในฐานะเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม
เพลานี้สถานการณ์ที่เหมือนกันนั้น เกิดกับหรงซิวและเผยยวนอี้
ท่าทีพวกเขาในสวน หรงซิวที่แทบจะทนกัดกินเผยยวนอี้ เพลานี้กลับดื่มกินด้วยกันราวกับไม่มีกระไรเกิดขึ้น
ที่แท้ทุกคนล้วนเป็นักแสดงสินะ
บุรุษหนุ่มคุยกันอย่างมีความสุขโดยมิมีผู้ใดสนใจนาง อวิ๋นอี้ทานอาหารด้วยอาการบูดบึ้ง ตอนที่เดินกลับไปที่ห้องหลังอาหาร นางต้องค้ำกำแพงเดิน
อิ่มเกินไป
หรงซิวเดินตามนางช้าๆ เห็นท่าทีโง่ๆ ของนาง จึงถามนางด้วยรอยยิ้ม "ยังเดินไหวหรือไม่?"
"ข้ากำลังพยายามอดทนเพคะ" อวิ๋นอี้หันกลับมามองเขาแล้วพูดอย่างไร้เหตุผล “ฝ่าามิรู้จักเตือนข้า มิให้ข้าทานเยอะเช่นนี้ ข้าแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว”
"เดินไม่ไหวก็ขอร้องข้าสิ!" เขายิ้มอย่างใจร้าย “ขอร้องข้า ข้าจะอุ้มเ้ากลับไป”
ถุ้ย!
เขาจะอุ้มนาง นางยังต้องขอร้องหรือ?
อวิ๋นอี้หัวเราะ ยกคอขึ้นแล้วพูดว่า "ไม่ขอเพคะ ขอบพระทัย"
ที่ไหนได้หรงซิวกลับปรับน้ำเสียงอ่อนลงและพูดเรียบๆ ว่า "เช่นนั้นข้าขอร้องเ้า ขอร้องให้เ้าให้โอกาสข้า ให้ข้าได้อุ้มเ้าเถิดนะ"
"......"
ปุบปับเช่นนี้ จู่ๆ ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
อวิ๋นอี้มองบุรุษหนุ่มที่เดินเข้ามาด้วยขายาวของเขา มองเขาก้มลงอุ้มนางขึ้นด้วยแขนที่แข็งแรง กลายเป็ว่านางมองท่าทีของเขาอย่างเหม่อลอย
คางที่คม โครงร่างที่ผอมบาง ริมฝีปากบางสุดเย้ายวนอยู่ใกล้แค่เอื้อม มองเห็นได้ชัดเจน
หรงซิวก้าวเท้ายาว ไม่นานทั้งสองก็มาถึงห้อง
เซียงเหอปรนนิบัติอาบน้ำให้นางตามปกติ เมื่อนางจากไป หรงซิวก็แทบรอไม่ไหวที่จะดับเทียนและกดทับนางอย่างแรง
“เมียจ๋า” เสียงของเขายิ่งทุ้มลงในความมืด
อวิ๋นอี้ไม่สามารถต้านทานการจู่โจมที่อ่อนโยนของเขาได้ทุกคราไป ไม่นานนางก็ตกอยู่ในหลุมด้วยฝีมือที่เก่งกาจของเขา
หรงซิวในคืนนี้ทั้งเหมือนเดิมและต่างไปจากเดิม
ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสนใจใหม่ เขาปล่อยริมฝีปากของนาง หันไปนัวเนียที่คอของนาง ดูดมิได้หยุด
อวิ๋นอี้ถูกเขาจูบจนเจ็บอยู่สองครา ยกมือเล็กๆ ขึ้นดันหัวของเขา พึมพำเสียงขัดขืน เขายอมอย่างว่าง่ายทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็ขยับริมฝีปากเข้าไปอีก
ต่อมานางก็ถูกนัวเนียจนมิมีสติจะไปยับยั้งเขา จึงปล่อยให้เขาบรรเลงไป
เมื่อตื่นมาในวันรุ่งขึ้น มีรอบจูบสีม่วงเต็มคอ ต่อๆ กัน ดูน่ากลัว อวิ๋นอี้เห็นเช่นนั้นก็โกรธมาก
หรงซิวป่วยหรือเปล่าเนี่ย!
แค่ดูดฉ่าวเหมย [1] ออกมาก็พอแล้ว นี่เขาจะสร้างสวนฉ่าวเหมยหรือไร?
ปัญญาอ่อนหรือ!
แน่นอนว่าเซียงเหอเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา หัวใจนางเต็มไปด้วยความสุข รู้ว่าองค์ชายและพระชายาจัดหนักเต็มที่กันทุกคืนเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์นั้นลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ!
นางยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะคิกคักขณะปิดปาก ทำให้อวิ๋นอี้โกรธจนไม่อยากพูดกระไร
“ไปหาผ้าพันคอมาให้ข้า”
จะทำกระไรได้อีก ทำถึงเช่นนี้ นางหมดหวังมาก!
โชคดีที่ผ้าพันคอสามารถปกปิดได้ ถึงแม้จะใส่ในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้จะดูแปลกๆ ทว่ายังดีกว่าโดนคนจ้องมองคอนางแล้วนำไปพูดกัน!
อวิ๋นอี้ ต้องรักษาหน้าเหมือนกันนะ!
เมื่อเห็นนางเช่นนี้ เซียงเหอไม่เข้าใจ กล่าวด้วยความสงสัย “พระชายา เหตุใดจึงต้องปิดด้วยเล่าเพคะ! เช่นนี้ถึงจะแสดงให้เห็นว่าองค์ชายรักท่านมากอย่างไรนะเพคะ!”
รักกระไรกัน!
นางขายหน้ามิได้!
ไม่พูดยังไม่เป็กระไร พอพูดถึงหรงซิว นางก็โกรธจนหัวร้อน อวิ๋นอี้มองไปที่เซียงเหออย่างขุ่นเคือง “ฝ่าาเล่า!”
“เห็นบอกว่าจะพาองค์ชายทั้งสองไปดื่มชาเพคะ พระชายาเพคะ ท่านรู้หรือไม่ว่ามีโรงเตี๊ยมที่ชื่อเกาเซิ่งมีชื่อเสียงมากใน่นี้”
อวิ๋นอี้ต้องรู้อยู่แล้วสิ เป็แผนธุรกิจที่นางพอใจมากอย่างหนึ่งนี่ นางจะมิรู้ได้อย่างไร?
นางตอบเบาๆ ทว่าก็แอบดีใจ "ข้ารู้ แล้วกระไร?"
"ฝ่าาไปที่นั่นเพคะ!" เซียงเหอพูด "ข้าได้ยินมาว่ามีงานชุมนุมกวีหรือกระไรสักอย่างซึ่งดึงดูดใจผู้ปราดเปรื่อง ท่านใต้เท้าหลายคนไปหาคนมีความสามารถกันที่นั่น!"
ที่แท้ก็เื่นี้นี่เอง
ชุมนุมกวี อวิ๋นอี้เคยได้เห็นแล้ว
นางอดมิได้ที่จะนึกถึงคนที่มีความสามารถแต่ค่อนข้างประหลาดอย่างหลี่ซูซวน
เหมือนว่าเขาจะชื่อนี้
มิรู้จริงๆ ว่านางทำให้เขาขุ่นเคืองที่ใดกัน เพียงเรียกชื่อผิด แค่บอกว่าตัวอักษรของเขาดูมิได้แค่นั้นมิใช่หรือไง คราก่อนที่พบกันเขาปฏิบัติต่อนางอย่างดุเดือดราวกับว่านางเป็หนี้เขาเสียเช่นนั้น
จริงสิ หากหรงซิวไป น่าจะได้เจอกับหลี่ซูซวนผู้นั้นล่ะนะ
ทั้งคู่มีความคล้ายคลึงกันอย่างประหลาด อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก หากได้พบกันคงจะสนุกอย่างแน่นอน
ใจของอวิ๋นอี้เต็มไปด้วยความสุข จึงให้คนไปแจ้งกู่ซือฝานว่าจะไปที่โรงเตี๊ยมเกาเซิ่ง
ให้ไปเจอกันที่ประตูข้างของโรงเตี๊ยม
ไม่เจอกันหลายวัน กู่ซือฝานไม่เปลี่ยนนิสัยเสียงดัง พูดคุยมิรู้จบ
อย่างแรกคือนางชมอวิ๋นอี้เื่การเต้นรำในงานเลี้ยงค่ำวันนั้น บอกว่าอยากเรียนเต้น พลันเห็นผ้าคลุมที่คล้องคอของนางจึงมือไวดึงออก
“เอ้ย!”
อวิ๋นอี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน รีบปิดคอทันที
แต่มือนางเล็ก บริเวณที่หรงซิวทำไว้ใหญ่มาก กู่ซือฝานใกับความดุดัน นางอึ้งอยู่นานก่อนจะอ้าปากพูด "พระเ้าช่วย!"
อวิ๋นอี้ปากกระตุก พูดไม่ออก
กู่ซือฝานเก็บอาการมิได้ “ท่านพี่สะใภ้! ท่านพี่ชายเจ็ดดุดันราวกับเสือเลยนะเพคะ!”
ดุราวกับเสือกระไรกัน นี่มันแค่สิ่งที่เขาอยากจะแสดง มิใช่เพราะเื่เข้าใจผิดของนางกับเผยยวนอี้ในสวนนั่นหรอกหรือ!
คิดว่ามันจบไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะเ้าเล่ห์เช่นนี้!
บุรุษผู้นี้น่าเบื่อจริงๆ!
เชิงอรรถ
[1] ฉ่าวเหมย 草莓 ความหมายตรงตัวคือ สตรอว์เบอร์รี่ ความหมายในเื่คือจ้ำแดงที่เกิดจากการจูบและดูดบริเวณคอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้