ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่าได้เขียนจดหมายตอบกลับสวี่เหรา เนื้อหาในจดหมายบอกว่าเื่แต่งงานของลูกๆ ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับคำสั่งของบิดามารดา ในเมื่อสองสามีภรรยาชื่นชอบในตัวบุตรสาวเรือนอื่น เช่นนั้นก็จัดการหมั้นหมายให้กับสวี่ตี้เสีย
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ดีว่าการที่สวี่เหรากับจางจ้าฉือเขียนจดหมายหาตนเองเื่จะจัดงานหมั้นให้กับสวี่ตี้นั้น คนอื่นๆ ในจวนรวมถึงโหวเย่ โหวฮูหยิน และอนุจู้ต่างไม่ได้รับจดหมาย ฮูหยินผู้เฒ่านางผ่านเื่ราวมามากมาย ย่อมรับรู้ถึงความกังวลของสองสามีภรรยา เป้าหมายที่เขียนจดหมายตอบกลับไปให้กับสวี่เหรา ก็เพื่อบอกกับทั้งสองคนว่านางเห็นด้วยกับความคิดของทั้งสอง นางที่อยู่ในจวนรับรู้เื่แล้ว ต่อไปหากผู้ใดจะหาเื่ครอบครัวของสวี่เหราเพราะเื่ของสวี่ตี้ เช่นนั้นก็เป็การหาเื่ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเช่นกัน
คืนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าได้เขียนจดหมาย หลังจากเขียนเสร็จแล้วก็สั่งให้แม่นมเสิ่นส่งให้กับคนสกุลจางในวันถัดมา ให้คนสกุลจางช่วยส่งจดหมายไปที่เหอซี
แม่นมเสิ่นได้จัดของที่สวี่เหราส่งมาอยู่รอบหนึ่ง ในจดหมายของสวี่เหราบอกว่าทางนั้นหนาวมาก หาของขวัญดีๆ ให้ไม่ได้ ทำได้แค่จัดเตรียมของมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าชั่วคราวไปก่อน ในภายภาคหน้าหากตนเองมีโอกาสกลับไป จะไปหอเงินที่ดีที่สุดของเมืองเหอซีแล้วซื้อปิ่นที่สวยที่สุดไปให้
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงหน้าตั่ง ตรงหน้าโต๊ะมีที่คาดหน้าผากเส้นหนึ่งวางอยู่ ตัวหนังสือที่ใช้พู่กันเขียนว่าอายุร้อยปี ที่คาดหน้าผากเป็สวี่จือปักขึ้นมาภายใต้การชี้แนะของแม่นมลู่ ตัวหนังสืออายุร้อยปีนั้นเป็สวี่ตี้เขียน ฮูหยินผู้เฒ่าจำได้ว่าปีที่แล้วสวี่จือปักผ้าเช็ดหน้าให้ตนผืนหนึ่ง ส่วนสวี่ตี้คัดคัมภีร์มาให้
ฮูหยินผู้เฒ่าลูบหนึ่งในของขวัญที่สวี่เหราส่งกลับมาจากเหอซี นั่นเป็เสื้อคลุมขนแกะผืนหนาสีเทาเข้มหนึ่งชุดใหญ่ ซึ่่งเสื้อคลุมหนานุ่มนี้ เป็วัตถุดิบที่ล้ำค่าที่สุดและได้รับความนิยมที่สุดในเมืองหลวงในตอนนี้ ได้ยินว่าเสื้อคลุมขนแกะคุณภาพดีนั้นหาซื้อได้ยากมาก แต่สวี่เหรากลับส่งมาให้หนึ่งชุด ทั้งหมดนี้จะต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน
แม่นมเสิ่นติดตามฮูหยินเฒ่ามาทั้งชีวิต ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมาั้แ่หกเจ็ดขวบ นางติดตามฮูหยินผู้เฒ่ามาจากจวนเก่า เมื่อแต่งงานเข้ามาที่สกุลสวี่ ทั้งยังอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าตอนคลอดบุตร เลี้ยงดูบุตร แต่งลูกสะใภ้ให้บุตรชาย จนกระทั่งตอนนี้ ผ่านลมผ่านฝนมาหลายสิบปีแล้ว จึงรู้ดีว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าคิดอย่างไร
แม่นมเสิ่นยิ้มแล้วเอ่ย “คุณชายสามของพวกเราเงินหนาจริงๆ นะเ้าคะ ชุดคลุมขนแกะหนึ่งชุดใหญ่ๆ จะมูลค่าเท่าไหร่กัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “ใช่สิ ทั้งยังส่งทางไกลขนาดนั้นมาให้ข้า ไม่รู้ว่าพวกเขาคุ้นชินกับชีวิตที่นั่นอย่างไร มา ดูงานปักของแม่หนูเก้าของพวกเรา พัฒนากว่าปีก่อนใช่หรือไม่”
แม่นมเสิ่นหยิบผ้าคาดหน้าผากขึ้นมา ฝีมือดูแล้วไม่ได้ดีมาก แต่ว่าสำหรับเด็กหญิงอายุหกเจ็ดปี ทำได้ขนาดนี้ไม่ง่ายเลย ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “พัฒนามากเลยเ้าค่ะ ปักด้ายเช่นนี้แค่มองก็รู้ว่าแม่นมลู่สอนมา”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “งานเย็บปักของซินหลันพูดได้ว่าแค่พอใช้ได้ ตอนนั้นนางเองก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน ถึงคราวนี้มาสอนจิ่วเอ๋อร์ก็ยังพอไหว”
แม่นมเสิ่นยิ้มแล้วเอ่ย “ดูท่านสิ คุณหนูของพวกเราถึงแม้งานเย็บปักจะไม่ได้ความแต่ผู้อื่นจะพูดอันใดได้เ้าคะ? ต่อไปคุณหนูของพวกเราจะเป็คนจัดการเื่ในเรือนทั้งหมด จะไปมีเวลามาเย็บปักผ้าได้อย่างไรเ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าว “ข้าคิดไปไกลเสียแล้ว แต่ว่าเด็กหญิงในจวนต่างมีอาจารย์สอนเย็บปักผ้าที่มีชื่อเสียงมาสอน จิ่วเอ๋อร์ของพวกเราอยู่ไกลเกินไป ไม่รู้ว่าจะสามารถจ้างอาจารย์ดีๆ มาสอนได้หรือไม่ แล้วก็การเรียนของคุณชายใหญ่ของพวกเรา ที่ทุรกันดารอย่างชายแดน มิรู้ว่าการเรียนจะเป็อย่างไร เฮ้อ คิดถึงสถานการณ์ทางนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าทั้งครอบครัวจะมีชีวิตความเป็อยู่อย่างไร”
แม่นมเสิ่นเอ่ยเสียงเบา “คุณชายสามกับฮูหยินสามต่างก็เป็คนที่อยู่ที่ไหนก็เอาตัวรอดได้เ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วใจของนางก็ยิ่งทุกข์ “พวกเขาไปที่เหอซี ตอนเทศกาลก็ยังส่งของขวัญกลับมาให้เป็คันรถ ไม่รู้ว่าในจวนของพวกเราได้ซื้อของส่งไปให้เขาหรือไม่”
แม่นมเสิ่นรู้แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่เคยส่งไป หนิงซื่อฮูหยินของซื่อจื่อเป็คนควบคุมจวน ความสัมพันธ์ของหนิงซื่อกับจางจ้าวฉือไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ บวกกับตอนนั้นเพราะว่าจางจ้าวฉือไปฟ้องร้องเื่โรงครัว ไม่เพียงจะทำให้หนิงซื่อเสียหน้า ที่สำคัญที่สุดยังไล่คนที่หนิงซื่อฝึกสอนมาอย่างตั้งใจออกไปจากจวนอีกด้วย
ตัวหนิงซื่อไม่ใช่คนที่ใจกว้างมากนัก หลังจากที่สวี่เหราออกจากจวนโหวไป นางยังคิดอยากจะเอาเรือนที่ครอบครัวสวี่เหราพักอยู่แต่เดิมไปทำความสะอาดแล้วให้บุตรสาวคนเล็กของตนเองเข้ามาพัก แต่เป็ซื่อจื่อที่ขวางเอาไว้ บอกว่าต่อไปน้องสามกลับมาแล้วจะไม่ดี นางถึงได้ปล่อยไป หนิงซื่อรู้สึกว่าครอบครัวสวี่เหราส่งของขวัญมาให้จวนโหวของพวกเขานั้นเป็เื่ที่สมควร ส่วนจะให้ทางจวนส่งของขวัญกลับไปนั้น สวี่เหรายังไม่ได้แยกครอบครัวออกไปไม่ใช่หรือ ในเรือนยังมีผู้าุโอยู่ การส่งของขวัญกลับมาแสดงความกตัญญูถือว่าเป็เื่ที่สมควรกระทำอยู่แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “อีกเดี๋ยวเ้าไปเปิดห้องคลังเก็บของของข้า หาสตรีที่หัวอ่อนหน่อยและเครื่องประดับที่เหมาะกับเด็กหญิง จากนั้นหาผ้าไหมออกมาหลายผืนแล้วเอาไปให้สกุลจาง ขอให้พวกเขาส่งของให้เรา พวกหลานเหลนในเรือนมักจะมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าบ่อยๆ หากข้าอารมณ์ดีก็จะให้ของกับพวกเขา คุณชายใหญ่กับจิ่วเอ๋อร์อยู่ไกลเกินไป แต่ก็มักจะเรียกข้าว่าท่านทวด อีกเดี๋ยวเ้าไปเขียนจดหมาย บอกว่าเครื่องประดับนั่นให้ฮูหยินสามและจิ่วเอ๋อร์ หากชอบก็ใส่ มิชอบก็ไม่ต้องใส่ เก็บเอาไว้ให้ผู้อื่นก็ได้ ผ้าไหมพวกนั้นก็ให้พวกเขาเอาไปทำชุด คนในเรือนทุกคนยังได้ส่วนแบ่ง ไม่มีเหตุผลอะไรที่พอพวกเขาออกจากเรือนไปไกลแล้วจะไม่ได้รับส่วนแบ่งนี้”
ความจริงแล้วในใจของแม่นมเสิ่นนั้นรู้สึกลำบากใจมาก ฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนี้เป็การตบหน้าหนิงซื่อฮูหยินซื่อจื่อเชียวนะ ว่าคุณชายสามส่งของขวัญกลับมาที่เรือนใน่เทศกาล ส่วนเ้าตัวเองไม่รู้จักส่งของขวัญกลับไปให้เขา
เื่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้หลบซ่อน ตอนกลางคืนในจวนก็รู้เื่ที่ทางเหอซีได้ส่งของขวัญวันเกิดมาให้ฮูหยินผู้เฒ่า ได้ยินมาว่าฮูหยินผู้เฒ่าเปิดห้องคลังเก็บของจะส่งของไปให้กับครอบครัวคุณชายสามที่เหอซี
สำหรับเื่ภายในเรือน หย่งหนิงโหวเย่ไม่ค่อยจะถามไถ่สักเท่าไหร่ แต่ว่าสำหรับเื่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเขาให้ความสนใจมาก ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าเตรียมจะส่งของไปยังเหอซีด้วยตนเองก็รู้สึกแปลกใจ ชิงเฟิงกับิเยว่คนติดตามอยู่ข้างกายได้ยินโหวเย่ถาม พวกเขาก็มองหน้ากันไปมา
โหวเย่ก็ยิ่งอยากรู้เข้าไปอีก จึงเอ่ยปากถาม “พวกเ้าสองคนทำอันใด? มีเื่อะไรก็พูดมา”
แม่นมเสิ่นกลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกของฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวเย่จะเกิดความขัดแย้งกันเพราะเื่นี้ จึงมาพูดเื่นี้กับคนข้างกายโหวเย่ ประเด็นสำคัญก็คือฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจที่สองปีนี้จวนโหวไม่ได้ส่งของไปที่เหอซีเลย
ชิงเฟิงเดินไปด้านหน้า แล้วนำคำพูดที่แม่นมเสิ่นพูดกับตนเองมารายงานให้โหวเย่ฟัง หลังจากโหวเย่ฟังจบก็รู้สึกหงุดหงิด แต่ว่าตอนนี้ลูกสะใภ้คอยดูแลเรือน ตนเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ คิดไปคิดมาก็กัดฟันเอ่ย “ไป เอาของในคลังส่วนตัวของข้าไปให้แม่นมเสิ่น พรุ่งนี้ส่งไปที่บ้านสกุลจางด้วยกัน ขอให้สกุลจางส่งของไปที่เหอซี”
ชิงเฟิงกับิเยว่มองหน้ากันไปมา ก่อนที่ิเยว่จะถามว่าของอันใด โหวเย่ก็ตอบ “ไม่ว่าจะเป็ยาหรือว่าอุปกรณ์เครื่องเขียนก็ส่งไป และเอาตั๋วเงินสามพันตำลึงส่งไปให้ด้วย”
ชิงเฟิงกับิเยว่รีบรับคำสั่งก่อนจะออกไป โหวเย่นั่งอยู่ในห้องตำราอยู่นาน ท้องฟ้าในตอนนี้มืดมากแล้ว อาหารที่ส่งมาจากโรงครัวเล็ก โหวเย่ก็ให้ส่งไปยังเรือนของโหวฮูหยินอย่างอู่ซื่อ ก่อนจะลุกขึ้นไปที่เรือนนั้น
ทุกเดือนโหวเย่จะอยู่ที่เรือนของโหวฮูหยินประมาณครึ่งเดือน ส่วนเวลาที่เหลือ ไม่อยู่ที่ห้องตำราก็ไปอยู่ที่เรือนของอนุ
โหวฮูหยินเห็นคนของโรงครัวนำอาหารเย็นของโหวเย่มาส่ง ก็รู้ว่าคืนนี้โหวเย่จะมาทานข้าวที่นี่ ปกติแล้วหลังจากทานข้าวเสร็จก็จะมาพักผ่อนที่นี่ ถึงแม้จะอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว แต่การที่ยังมาพักผ่อนในเรือนของนางนั้นถือว่าเป็การให้เกียรติกัน
ก่อนที่โหวเย่จะเข้าไปในเรือนของโหวฮูหยินก็ได้กดอารมณ์ทั้งหมดลงไป สำหรับสวี่เหราบุตรอนุผู้นี้ โหวฮูหยินยังคงนิ่งเฉยมาโดยตลอด ปกติแล้วไม่ค่อยจะใส่ใจเขาสักเท่าไหร่ ความจริงแล้วหากจะกล่าวถึง ต้องบอกว่าโหวฮูหยินไม่ค่อยจะใส่ใจเื่ในจวนมากนัก ไม่เช่นนั้นนางคงไม่มอบสิทธิ์ในการดูแลเรือนให้กับลูกสะใภ้ของนาง
ความรู้สึกรักเมื่อยามสาว จากการที่ถูกคู่ครองทำเป็หมางเมิน วันเวลาผ่านไปจนตอนนี้ความรู้สึกที่เคยมีได้จางหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้ก็เพียงใจที่ไร้ความรู้สึก แต่ว่าชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป สำหรับการยกย่องให้เกียรติของโหวเย่ ได้เป็โหวฮูหยินที่มีอำนาจอันดับสองในจวนแห่งนี้ นางก็ยินดีที่จะยอมรับ
ทั้งสองรับประทานอาหารกันโดยไม่พูดจา หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็ไปดื่มชาบนตั่งหลัวฮั่นในห้องพักผ่อน
โหวเย่ดื่มน้ำชาเข้าไปอึกหนึ่ง เป็ชาโบตั๋นขาว ใบชานี้เป็ชาที่โหวฮูหยินชอบดื่มมากที่สุด ปกติแล้วโหวเย่มาที่นี่ก็จะดื่มชานี้กับนาง แต่ว่าตอนที่ตนเองอยู่ในห้องตำรา โหวเย่จะชอบดื่มไป๋หาวหยินเจิน [1] เสียมากกว่า
โหวฮูหยินเอ่ย “สาวเอ๋อร์เพิ่งจะส่งมาให้เ้าค่ะ”
สวี่สาวบุตรสาวคนโตของจวนหย่งหนิงโหว แต่งงานไปที่จวนหย่งผิงโหว เป็ภรรยาของจ้าวจื่อฉีซื่อจื่อของจวนสกุลนั้น ตอนนี้อยู่ฝ่ายกรมเลี้ยงม้าเป็ขุนนางขั้นสี่ เป็คนเลี้ยงม้าให้กับฮ่องเต้ โชคดีที่อายุสามสิบกว่าได้เป็ขุนนางขั้นสี่ถือว่าหายาก บวกกับมักได้เข้าเฝ้าฝ่าาอยู่บ่อยครั้ง ก็ถือว่าค่อนข้างมีอำนาจ แต่ว่าตอนนี้จวนหย่งผิงโหวเป็จางซื่อโหวฮูหยินเป็ผู้ดูแลจวน หลังจากสวี่สาวแต่งงานไปที่สกุลจ้าว ก็ถูกแม่สามีรังแกมาพอสมควร
สวี่สาวแต่งงานมาหลายสิบปีแล้ว คลอดบุตรชายออกมาสองคน บุตรสาวหนึ่งคน คนโตนามว่าจ้าวซือสิงซึ่งโตกว่าสวี่ตี้สองปี บุตรสาวคนโตนามว่าจ้าวซือเหยียนอายุน้อยกว่าสวี่ตี้หนึ่งปี สุดท้ายก็ยังมีบุตรชายคนรองนามว่าจ้าวซือเซิ่นอายุแปดปี
จ้าวจื่อฉียังมีอนุอีกหลายเรือน สองคนเป็สาวใช้ข้างห้องก่อนแต่งงาน แล้วก็อีกสองคนที่แม่สามีหามาให้ก่อนที่นางจะคลอดบุตรชายคนโต อีกทั้งยังมีอนุแต่งอีกหนึ่งคน ยึดกันตามหลักกฎหมายของต้าเหลียง อนุแต่งเป็อนุที่มีความรู้ อีกทั้งยังได้มาจากการขอใบอนุญาตจากราชสำนัก เ้าเรือนไม่สามารถซื้อขายได้ตามใจชอบ
หลายปีมานี้สวี่สาวอยู่ที่ครอบครัวสามีเปรียบได้ว่าเหมือนอยู่ในน้ำลึก เหมือนตกอยู่ในกองไฟ ความสัมพันธ์กับแม่สามีก็ไม่ค่อยดี เพราะว่าแต่งงานกับบุตรชายคนโตของสกุลนี้เร็ว พอมีบุตรก็มีทั้งบุตรชาย บุตรสาว ยามอยู่ในจวนจึงสามารถเชิดหน้าได้อยู่บ้าง บุตรชายคนโตของตนก็จะถึงเวลาหาลูกสะใภ้แล้ว เพราะว่าแม่สามีควบคุมเรือนอยู่ ไม่ว่าเื่อะไรก็ต้องไปปรึกษากับแม่สามี
หย่งหนิงโหวฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นแล้วถอนหายใจ “สาวเอ๋อร์มาเมื่อตอนสาย ท่านไม่ได้อยู่เรือน นางยังต้องรีบกลับเรือนจึงไม่ได้อยู่รอท่าน โบตั๋นขาวนี่ก็เป็ลูกน้องของลูกเขยหามาให้ ลูกเขยรู้ว่าข้าชอบดื่มมัน จึงให้สาวเอ๋อร์นำมาให้เ้าค่ะ” พูดถึงเื่นี้ บนใบหน้าของโหวฮูหยินก็เก็บซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
หย่งหนิงโหวเย่คิดถึงบุตรสาวคนโตของตนเอง เื่ในครอบครัวสามีของบุตรสาวคนโตแน่นอนว่าเขารู้ดีอยู่แล้ว หย่งหนิงโหวเย่เป็คนที่วางแผนเอาไว้อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องให้สวี่เหราตั้งใจเรียนหนังสือ จนกระทั่งสอบได้เป็จิ้นซื่อ จากนั้นก็ให้สวี่เหราทำงานจากขุนนางขั้นเจ็ดขึ้นไป
หย่งหนิงโหวเย่กล่าว “สาวเอ๋อร์ไม่ได้พูดอย่างอื่นอีกหรือ?”
โหวฮูหยินถอนหายใจ “จะยังพูดอะไรได้ ก็เพราะแม่สามีของนางผู้นั้นมิใช่หรือ ไม่รู้ว่าแม่สามีของสาวเอ๋อร์นั้นคิดอย่างไร เมืองหลวงของพวกเราก็มีครอบครัวกงโหวตั้งมากมาย ผู้ใดจะไปเหมือนกับนางที่อายุตั้งมากมายแล้วก็ยังจับเื่ในจวนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เป็ตนเองที่โลภอำนาจก็ช่างมันเถิด แต่นี่ยังออกไปพูดด้านนอกว่าลูกสะใภ้ไม่ได้เื่ ตนเองถึงทำได้แค่เหนื่อยอยู่อย่างนี้ ทำให้คนฟังแล้วเกลียดจริงๆ”
โหวเย่ส่ายหน้าก่อนจะกล่าว “หย่งผิงโหวเย่เป็คนที่นิสัยไม่สนใจอะไร ในเรือนก็ให้ฮูหยินของเขาเป็คนจัดการดูแลมาโดยตลอด จึงไม่วางใจเื่ของเด็กๆ รุ่นหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
โหวฮูหยินถอนหายใจ “แต่ว่าบุตรสาวของพวกเราก็ได้รับความไม่ยุติธรรมนะเ้าคะ ดูสิทั้งเมืองหลวงที่อายุเท่ากับสาวเอ๋อร์ ขอแค่แต่งงานกับบุตรชายคนโตของตระกูล ตอนนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่ได้เป็นายหญิงคุมเรือน? อีกอย่างตำแหน่งของลูกเขยพวกเราได้มาอย่างไรในใจของหย่งผิงโหวฮูหยินยังไม่รู้อยู่แก่ใจอีกหรือ?”
โหวเย่ถอนหายใจ “ฮูหยิน เื่ที่มันผ่านไปแล้วพวกเราก็อย่าพูดกันขึ้นมาอีก พูดมากไปก็ผิดใจกันเปล่าๆ แล้วก็เพราะว่าลูกเขยของพวกเราเป็คนที่ทำงานเป็ ไม่เช่นนั้นพวกเราแนะนำไปแล้ว หากเขาไม่มีความสามารถก็คงไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลยไม่ใช่หรือ?”
โหวฮูหยินเอ่ย “เื่อื่นไม่พูดถึง พูดแค่เื่การแต่งงานของซือสิง คนที่สาวเอ๋อร์กับลูกเขยสนับสนุนแม่สามีของนางก็ไม่เห็นด้วย อยากจะให้ซือสิงแต่งงานกับหลานของครอบครัวมารดาตนเอง ตอนนี้ครอบครัวมารดาของนางอยู่ในสถานการณ์ไหนผู้ใดบ้างจะไม่รู้ ยังไม่พูดถึงเื่ตกต่ำนะ ลูกหลานในสกุลก็ไม่ขยัน ต่อไปพวกเขาก็คงจะลดตำแหน่งลง ซือสิงก็จะเป็ถึงคุณชาย จะไปแต่งงานกับบุตรสาวของผู้ที่เกิดจากชาติตระกูลเช่นนี้ได้อย่างไร?”
โหวเย่ก็ว่าแล้วที่บุตรสาวคนโตกลับมาครั้งนี้ จะต้องมาพูดเื่ไม่สบายใจเกี่ยวกับครอบครัวสามีให้กับฮูหยินของเขาฟัง ในใจก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด รอจนกระทั่งโหวฮูหยินพูดเื่ที่คนที่เรือนหย่งผิงโหวทำแต่ก่อนจนหมด อารมณ์สงบลงแล้วถึงได้ถามออกมาอย่างระมัดระวัง “วันนี้ครอบครัวภรรยาของสวี่เหรานำของมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเ้ารู้แล้วใช่หรือไม่?”
โหวฮูหยินฟังแล้วก็ชะงัก “ได้ยินพวกบ่าวพูดกันแล้ว บอกว่าบ่าวของสกุลจางเอาของมาส่ง พอเอาของไว้ที่นี่แล้วก็กลับไป”
โหวเย่เอ่ย “เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าหลังจากพวกเขาไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็เปิดห้องคลัง บอกว่าจะส่งของไปให้เหราเอ๋อร์ ในจวนของพวกเราสองปีนี้ไม่เคยส่งไปให้พวกสวี่เหราเลยอย่างนั้นหรือ?”
โหวฮูหยินได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไป นางโกรธจนหายใจแรง พลางกัดฟันตอบ “ถึงแม้เด็กคนนั้นจะเรียกข้าว่าแม่ แต่เขามาอย่างไรในใจของพวกเราต่างรู้ดี โหวเย่ท่านเองก็ไม่ต้องมาตำหนิข้า ตอนแรกพวกเราก็ตกลงกันแล้ว เื่ทั้งหมดของเด็กคนนั้นข้าจะไม่ยุ่ง ท่านอยากจะยุ่งก็ยุ่งไป ส่วนเื่ส่งหรือไม่ส่งของในจวน ตอนนี้ก็ไม่ใช่ข้าที่ดูแล ข้าไม่รู้”
โหวฮูหยินพูดจบแล้วก็เบือนหน้าไปอีกทาง โหวเย่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย สาวเท้ายาวๆ เดินออกไปด้านนอก โหวฮูหยินเห็นแล้วก็ก้มตัวลงไปร้องไห้เสียใจบนโต๊ะ
แม่นมอู่ที่คอยดูแลเื่ราวต่างๆ ข้างกายโหวฮูหยินคอยยืนดูแลอยู่ด้านนอก ทุกครั้งที่โหวเย่มา แม่นมอู่ก็จะออกไปดูแลอยู่ด้านนอก ด้วยกลัวว่าคำพูดของโหวฮูหยินและโหวเย่จะดังออกมา
บทสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่แน่นอนว่าแม่นมอู่นั้นได้ยิน จนกระทั่งโหวเย่ออกจากห้องไป และออกห่างจากประตูไปไกลแล้ว แม่นมอู่ถึงได้ค่อยๆ ปิดประตูเรือนเบาๆ แล้วรีบเข้าไปด้านในห้อง
เชิงอรรถ
[1] ไป๋หาวหยินเจิน (白毫银针 Báiháo yín zhēn) เป็ชาขาวชนิดหนึ่งของจีน ใบชาขาวนี้เป็พันธุ์ที่มีราคาแพงที่สุด