“นี่คือแป้งสาลี หัวขโมยแสร้งทำตัวลึกลับ นางย่อมต้องใช้แป้งสาลีเพื่อปิดบังใบหน้า บนแขนเสื้อสีม่วงของหลานจูยังมีแป้งขาวหลงเหลืออยู่!”
ทันทีที่ฮวาชีเยว่พูดจบ เหล่าผู้แสวงบุญก็พากันมองแขนเสื้อของหลานจู แล้วเริ่มพูดขึ้นมาทันที “ใช่ ที่แขนเสื้อนาง... ยังมีกระทั่งบนนิ้วของนางด้วย! ”
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็ตกลงสู่ความเงียบงัน
ใบหน้าเล็กของหลานจูพลันซีดเผือด นางคุกเข่าโขกหัวโดยแรง “ไม่ใช่บ่าวนะเ้าคะ... คุณหนูรอง ไม่ใช่บ่าวจริงๆ นะเ้าคะ…”
“หากข้าเดาไม่ผิด พระอี้หานคงรับสินบนมา เงินของพวกเราสกุลฮวามีตราประทับเล็กๆ ระบุเสมอ พระอี้หาน ท่านกล้าให้ผู้แสวงบุญชายค้นตัวท่านหรือไม่?” ดวงตาฮวาชีเยว่ราวสายฟ้า ปราดมองเขาอย่างเยือกเย็น
เหงื่อไหลชุ่มฝ่ามือ อี้หานมองฮวาเมิ่งซือ ทันใดนั้นก็โค้งเอวลงทันที “เ้าอาวาส ข้าผิดไปแล้ว!”
ทั่วร่างเขาสั่นสะท้าน ไม่ว่าใครมองมาก็เห็นว่าเป็หลักฐานของการทำผิด
ไต้ซือหานิหน้าครึ้มลง “ใครก็ได้ ค้นตัวเขา!”
ทันใดนั้น พระรูปหนึ่งก็เดินเข้ามาค้นตัวอี้หาน จากนั้นจึงดึงเอาเงินตำลึงออกมาจากกระเป๋าข้าง บนนั้นมีตราประทับสกุลฮวาอยู่จริงๆ
ทุกคนถอนใจโดยพลัน
ดวงตาที่เคยสงบของฮวาเมิ่งซือพลันปรากฏแววแตกตื่น แต่ทว่าก็หายไปในพริบตา
ฮวาเสี่ยวอีเบิกตากว้าง นางมองไล่ไปทีละคน ไม่เชื่อสิ่งที่ตนเห็น “หลานจู เ้ากล้าร่วมมือกับพระอี้หานใส่ร้ายพี่ใหญ่หรือ? ก่อเื่ร้ายแรงเช่นนี้สมควรตายพันครั้ง!”
หลานจูหน้าซีดเซียว ตัวสั่นระริก
ฮวาเมิ่งซือเอ่ย “หลานจู เ้าไม่ได้ทำใช่หรือไม่?” ประโยคนี้เสียงนางดังเสียจนทุกคนได้ยินชัดเจน ทว่าถ้อยคำต่อมากลับได้ยินเพียงตัวนางและหลานจู
“หลานจู น้องชายเ้า บิดามารดาเ้ายังคงอยู่นอกเมืองหลวง ทราบว่าควรทำอย่างไรต่อไปใช่หรือไม่?”
หลานจูเบิกตากว้าง ดวงตาแดงก่ำปรากฏน้ำตาเอ่อคลอ ทว่านางพลันหัวเราะลั่น ฮวาเมิ่งซือแสร้งแสดงท่าทีหวาดกลัว ก้าวถอยหลังไปทันที
“ใช่! เป็ข้าเอง! ข้าไม่ชอบคุณหนูใหญ่มานานแล้ว! ต่อหน้าผู้อื่น... นางทำตัวราวแมวป่วย ทว่าลับหลังกลับรังแกพวกเราตลอด ข้าเพียง้าทำลายชื่อเสียงนางแพศยานี่เท่านั้น…”
ฮวาชีเยว่มองหลานจูที่ใส่ร้ายตนอย่างเ็า ดวงตาเคยเปี่ยมด้วยความเห็นใจ ทว่ายามนี้กลับเหลือเพียงความสับสนและเหยียดหยาม
หลานจูยอมรับความผิดด้วยโดยฮวาเมิ่งซือข่มขู่ แต่เมื่อฮวาชีเยว่คิดถึงลูกชายตนที่ยังอยู่ในเมืองหลวง นางก็โค้งกายให้หานิ เอ่ยปากถาม “ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้ข้าเ้าค่ะ พระอี้หานข้ายกให้ท่านจัดการ ส่วนหลานจู...ข้าให้น้องหญิงจัดการ ลู่ซิน โหย่วชุ่ย ข้านึกได้ว่ามีเื่ด่วนต้องจัดการ กลับเมืองหลวงคืนนี้เถอะ!”
“ประสกฮวาอย่าได้กังวล อาตมาย่อมต้องลงโทษอี้หานแน่นอน”
ฮวาเสี่ยวอีแค่นหายใจ “น่าเศร้านัก มิคาดบ่าวไพร่ชั้นต่ำจะกล้าก่อเื่!”
ฮวาเมิ่งซือมองทุกคนอย่างใจเย็นก่อนจะบอกลาไต้ซือหานิ นางสงสัยฮวาชีเยว่ในยามนี้เหลือเกิน
เหตุใดนางจึงเฉียบแหลมเ็าขึ้นมาได้และเหตุใดจึงต้องกลับบ้านในคืนนี้?
ฮวาชีเยว่และบ่าวไพร่ขึ้นรถม้าด้วยกัน มีองครักษ์สกุลฮวานำทาง ทว่าการเดินบนเส้นทางูเายากนัก ยามที่ถึงตีนเขาก็เป็ยามเช้าแล้ว
ฮวาชีเยว่นอนอิงหมอนในรถม้า นางยินดีเหลือเกินที่ตนยังมีชีวิตอยู่ ในชาตินี้ นางย่อมไม่ปล่อยคนที่รังแกนางไปง่ายๆ แน่!
โหย่วชุ่ยและลู่ซินที่นั่งอยู่ด้านข้างจ้องมองฮวาชีเยว่อย่างสงสัย
พวกนางเห็นดวงตาแสนงามของคุณหนูใหญ่หรี่ปรือลงน้อยๆ หน้าบูดบึ้งดังอยู่ในหมอกควันแห่งความโศกเศร้ากังวล
ชาติก่อนฮวาชีเยว่เป็เพียงสตรีธรรมดา นางมีความรู้ด้านการค้าอยู่บ้าง ทว่าในด้านพลังชี่ คงบอกได้เพียงว่าเป็ขยะแท้ๆ
เพราะในอาณาจักรนี้ พลังชี่มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะฝึกฝนได้
มีเพียงตระกูลร่ำรวยมีเงินทองที่สามารถซื้อโอสถเปิดชีพจรลมปราณจึงจะฝึกพลังชี่ได้
ฮวาชีเยว่เห็นเพียงความทรงจำดั้งเดิมของเ้าของร่าง เส้นลมปราณของร่างนี้เสียหายยามอายุได้สามปี ดังนั้นไม่ว่าจะใช้โอสถใดก็มิอาจดูดกลืนพลัง ล้วนแต่ไร้ผล
ฮวาชีเยว่คนเก่าถูกจับโยนลงทะเลสาบ จุดชีพจรลมปราณเสียหายในแม่น้ำยามเหมันตฤดู ความรู้สึกปวดใจทำให้นางเกิดหวาดกลัวการสนทนากับผู้อื่นขึ้นมา จึงได้แต่หลบเลี่ยงอย่างคนขี้ขลาด หรืออดทนอย่างเงียบงันทุกคราวไป
เพราะเกรงว่าจะโดนทรมานเช่นนั้นอีก จึงได้หลบหนีและหลีกเลี่ยง กระทั่งยามฮวาชีเยว่ในปัจจุบันพยายามอ่านความทรงจำนั้น นางก็ยังรู้สึกเ็ปไปถึงกระดูก ทำให้นางคิดถึงยามที่ตนเองตายในมือของนางเฒ่าแพศยาทั้งสองคนนั้น