ทุกคนในตำหนักที่คุกเข่าอยู่บนพื้นต่างกลั้นหายใจ เฝ้ารอการตัดสินใจของฮ่องเต้หยวนเต๋อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้หยวนเต๋อพลันสะบัดมือไล่ผู้คนออกไป“พวกเ้ากลับไปได้แล้ว ส่วนแม่ทัพใหญ่เ้าอยู่ที่นี่ก่อน”
ครั้นตรัสจบ ทุกคนที่นั่นล้วนตกตะลึง โดยเฉพาะหนานกงเลี่ยสีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยนทันใด
ให้ฉู่เพ่ยอยู่ที่นี่ต่อหรือ?
หรือว่าฝ่าาไม่มีความคิดที่จะเผาค่ายเสินเช่อเลยหรือ?
“ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ...” หนานกงเลี่ยยังคงคิดอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างทว่าทันใดนั้นดวงตาของฮ่องเต้หยวนเต๋อพลันสาดความหนาวเหน็บ มองลงมาที่เขา
"ออกไป" ฮ่องเต้หยวนเต๋อขึ้นเสียงใส่เหล่าขุนนางที่คุกเข่าเ่าั้พลันตัวสั่นสะท้าน รีบลุกขึ้น มิกล้าร่ำไรรีรอก้าวฝีเท้าจากไปอย่างเร่งรีบ
หนานกงเลี่ยแม้ไม่พอใจ ทว่าสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาจำต้องเดินออกไป
เหลือเพียงฮ่องเต้หยวนเต๋อและแม่ทัพฉู่เพ่ยในตำหนักรวมถึงชิงหร่านที่ยืนรออยู่ด้านข้างมาโดยตลอด
ครั้นไร้ซึ่งขุนนางพวกนั้นแล้ว บรรยากาศระหว่างฮ่องเต้และขุนนางในยามนี้กลับทวีความเคร่งเครียดยิ่งกว่าเมื่อครู่
“ฉู่เพ่ย...” หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดฮ่องเต้หยวนได้ตรัสออกมาพลางจ้องมองฉู่เพ่ยที่ยืนอยู่ในตำหนัก เขาค่อยๆ ลุกยืนขึ้นและก้าวเดินลงจากที่นั่ง“ตระกูลฉู่ ผู้จงรักภักดีมาหลายชั่วอายุคน เพื่อแคว้นเป่ยฉี เ้ากับฉู่ชิงยอมอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง ทว่าวันนี้ เจิ้น...”
ครั้นฮ่องเต้หยวนเต๋อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาพลันหยุดชะงักลง ขมวดคิ้วแน่นฉู่เพ่ยไม่ได้เป็คนโง่ ได้ยินเพียงเท่านี้ เขาก็สามารถคาดเดาพระทัยของฮ่องเต้หยวนเต๋อได้แล้ว
“เจิ้นต้องขอโทษต่อตระกูลฉู่ เจิ้นขอโทษต่อจื๋อหร่าน” ฮ่องเต้หยวนเต๋อถอนหายใจ“ท่านแม่ทัพ ยามนี้ข้าทำได้เพียง...สั่งการลงไป เจิ้นที่อยู่ในตำแหน่งนี้...จำต้องดูแลสถานการณ์โดยรวม”
ไม่ว่าจะเป็ฉู่ชิงหรือค่ายเสินเช่อทั้งหมดล้วนเป็หัวใจและจิติญญาของเขา มันช่างเ็ปเหลือเกินที่จะต้องตัดอะไรทิ้งไปทว่ายามนี้กลับต้องสละทั้งสองพร้อมกัน!
“ฝ่าา กระหม่อมขอออกไปก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่เพ่ยกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่น เขารู้ดีว่าเื่ราวครานี้คงมิอาจเหลือทางรอดแล้ว แต่ถ้าหากเขาอยู่ที่นั่นหากมีความหวังเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตัวเขาเองจะได้สามารถต่อสู้เพื่อฉู่ชิงได้
ฮ่องเต้หยวนเต๋อเข้าใจเจตนาของเขา "เอาล่ะพรุ่งนี้เช้า...ค่อยออกบัญชาไปก็แล้วกัน!"
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าา" ฉู่เพ่ยคุกเข่าเอ่ยขอบพระทัย พรุ่งนี้เช้า? ดูเหมือนว่าฝ่าายังคงเหลือทางรอดให้ฉู่ชิงอีกหนึ่งคืน ทว่าหนึ่งคืนจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างเล่า?
ในค่ายเสินเช่อยามนี้ มิมีผู้ใดรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหนียนยวี่ขึ้นไปบนเขา มิได้กลับออกมาทั้งคืนในค่ายเสินเช่อ เซียวหรานที่ได้รับความช่วยเหลือจากหมอหลวงและหมอทหารช่วยกันดูแลรักษาอาการของผู้ที่ติดเชื้อ แม้ผู้ติดเชื้อจะยังคงเพิ่มขึ้นทว่าจำนวนผู้เสียชีวิตกลับหยุดชะงักลง
แทบทั้งคืนนี้ ทุกคนในค่ายเสินเช่อ ั้แ่ท่านแม่ทัพหลวง ‘ฉู่ชิง’ ไปจนถึงทหารที่คอยจัดหาอาหารการกินในค่ายมิมีผู้ใดหลับใหลได้ลง
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ยามท้องฟ้ายังคงไร้แสงสาดส่อง
นอกกำแพงฝั่งลานด้านหลังตำหนักองค์หญิงใหญ่ บุรุษชุดขาวยังคงมาที่นี่เช่นเดิมทุกวันในเวลายามเช้าชายหนุ่มทอดสายตาเมียงมองบนท้องฟ้าเหนือลานฝั่งด้านในกำแพงมิมีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ข้างๆ ชื่อฉิน สาวใช้ผู้คอยปรนนิบัติรับใช้เขานางเฝ้ามองชายหนุ่มจากด้านหลัง พลันเอ่ยพูดขึ้นมาอึกอัก
“ท่านอ๋อง ยามนี้คุณหนูยวี่น่าจะยังไม่ตื่นนะเ้าคะ เสียงฉินที่ท่านบรรเลงนางจะได้ยินหรือเพคะ?” ชื่อฉินเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังเป็เวลากว่าสิบวันแล้วที่ท่านอ๋องเสด็จมาที่นี่ทุกวันไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดออกล้วนมาเยือนที่นี่เพียงเพื่อหญิงงามที่พักอยู่ในตำหนักองค์หญิงใหญ่
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้เอ่ยตอบสิ่งใด ทว่าเขาได้นั่งลงไปบนพื้นแล้วทั้งยังตั้งกู่ฉินไว้บนตัก นิ้วมือเรียวยาวทั้งห้านิ้วดีดบรรเลงสะบัดสายเพียงพริบตาเดียว เสียงฉินอันไพเราะดังขึ้นทันใดเสียงนั้นประหนึ่งสายลมอ่อนโยนที่พัดพามาในวสันตฤดู ท่ามกลางแสงอาทิตย์อบอุ่นซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
นางต้องได้ยินแน่!
สตรีผู้นั้นมีจิตใจอันวิจิตรงดงาม และนางต้องเห็นความรักของเขาที่ตั้งใจมอบให้นางในทุกๆวันอย่างมิว่างเว้น
ชื่อฉินที่เฝ้ามองอยู่เข้าใจความรู้สึกภายในใจของท่านอ๋องหลีที่มีต่อคุณหนูยวี่ได้อย่างชัดเจนทันทีวันนั้นท่านอ๋องทรงรอคอยนางที่ทะเลสาบนิรนามทั้งคืน คนที่เขาเฝ้ารอตอนนั้นคงจะเป็คุณหนูยวี่อีกเช่นกัน!
หลังจากรับใช้เขามานาน นี่เป็ครั้งแรกที่นางเห็นเ้านายของตนห่วงใยสตรีนางหนึ่งมากเพียงนี้
ทว่าในใจของคุณหนูยวี่มีท่านอ๋องหลีหรือไม่?
ชื่อฉินขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ นางได้ยินมาว่า ท่านอ๋องมู่กับคุณหนูยวี่นั้นใกล้ชิดสนิทสนมกันสนิทสนมมากเสียจนมีข่าวเล่าลือออกมาว่าท่านอ๋องมู่ชื่นชอบคุณหนูยวี่หากคุณหนูยวี่มิใช่บุตรีอนุ เกรงว่าคงได้ขึ้นเป็มู่อ๋องเฟยั้แ่ตอนนั้นแล้ว
หากเป็เช่นนั้นจริง ความรักครานี้ของเ้านายนางก็คง...
ชื่อฉินเฝ้ามองเ้านายตนเอง แอบทอดถอนหายใจอยู่ในใจอย่างอดมิได้บทเพลง “หงส์คู่โบยบิน” บรรเลงมาได้ค่อนเพลงแล้วทว่าทันใดนั้นประตูหลังพลันเปิดออก
ชื่อฉินเห็นคนเดินออกมา ั์ตานางดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดนางเร่งรีบคุกเข่าลงกับพื้นในทันทีโดยแทบจะไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป “บ่าวคารวะท่านอ๋องมู่เพคะ”
มู่อ๋อง...เขาเข้าไปในตำหนักองค์หญิงใหญ่ได้อย่างไร?
มือที่บรรเลงสะบัดสายฉินสั่นเทาเล็กน้อย ทว่ากลับยังคงมิหยุดบรรเลง
"เสด็จพี่ ยวี่เอ๋อร์ นาง...หายไป"
มู่อ๋องจ้าวอี้กล่าว คิ้วทั้งสองข้างผูกปมแน่น ครั้นเอ่ยจบเสียงบรรเลงฉินพลันหยุดชะงัก บุรุษที่นั่งอยู่บนพื้นรีบลุกขึ้นยืนทันทีแม้แต่ฉินยังโยนทิ้งลงข้างตัว “เ้ากำลังพูดเื่อะไร? เหนียนยวี่หายไป นางจะหายไปได้อย่างไร?”
จ้าวเยี่ยนคว้าจับไหล่ทั้งสองข้างของจ้าวอี้ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะสงบนิ่งเรียบเฉย ทว่ายามนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยอารมณ์ตื่นใแม้แต่ร่องรอยของความตื่นตระหนกยังฉายชัดพาดผ่านดวงตาของเขา
ั้แ่เมื่อวาน ทันทีที่ข่าวโรคระบาดถูกเล่าลือเผยแพร่ออกไปทั่ว ผู้คนทั่วทั้งเมืองชุ่นเทียนล้วนตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกผู้คนส่วนใหญ่ขังตัวเองไว้ในจวน และไม่แม้แต่จะย่างกรายออกมานอกจวน คิดว่าตำหนักองค์หญิงใหญ่เองก็ต้องสั่งปิดจวนอย่างแน่นอนทว่าในเมื่อเป็เช่นนี้ เหนียนยวี่จะหายไปไหนได้อย่างไร? นางไปอยู่ที่ใดกัน?
มิรู้เพราะเหตุใด ในใจของจ้าวเยี่ยนจึงได้รู้สึกไม่สบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อจ้าวอี้เห็นปฏิกิริยาของจ้าวเยี่ยนปรากฏสู่สายตาเสด็จพี่หลีอ๋องห่วงใยยวี่เอ๋อร์มากขนาดนี้เลยหรือ?
เขากับเหนียนยวี่...
ครั้นหวนนึกคำพูดที่ ‘ชิวตี๋’ สาวใช้ในตำหนักองค์หญิงใหญ่บอกว่ามีเสียงบรรเลงดังขึ้นด้านหลังกำแพงจวนทุกเช้า ดังติดต่อกันมาสิบวันแล้ว นั่นคือ...บทเพลงนี้หรือ
เขาคุ้นเคยกับเสียงฉินของหลีอ๋อง เมื่อครู่นี้ที่ได้ยินเสียงบรรเลงเขาจึงแน่ใจได้ทันทีว่าเป็หลีอ๋อง
ความชื่นชมและความปรารถนาแฝงอยู่ในบทเพลงนั้นอย่างชัดเจนเขามิอาจคาดคิดได้ แท้จริงแล้วเสด็จพี่หลีอ๋องมีความรู้สึกเช่นชายหนุ่มหญิงสาว...กับเหนียนยวี่?
เื่นี้เกิดขึ้นั้แ่เมื่อใด?
ยวี่เอ๋อร์รู้หรือไม่? ยวี่เอ๋อร์รู้สึกอย่างไรกับเสด็จพี่หลีอ๋อง?
จ้าวอี้รู้สึกตกตะลึงกับการค้นพบของเขา ่เวลาหนึ่งมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวเขาทว่าครั้นเขานึกเื่ที่เหนียนยวี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้น เขาจึงรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดคำถามค้นหาคำตอบเช่นนี้ยวี่เอ๋อร์นาง...
"ข้าได้ยินผู้คนในตำหนักองค์หญิงใหญ่พูดกันว่ายวี่เอ๋อร์ออกจากตำหนักองค์หญิงไปั้แ่เมื่อเช้าวานนี้และไม่ได้กลับมาอีก"จ้าวอี้ถอนความคิด จ้องมองสีหน้าหน้าเคร่งขรึมของจ้าวเยี่ยนเขาไม่สามารถปิดบังความกังวลในใจของตนเองได้
“แล้วจวนเหนียนเล่า? บางทีนางอาจกลับไปที่จวนเหนียน!” ดวงตาของจ้าวเยี่ยนพลันเปล่งประกายราวกับมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเพียงพริบตาเดียวประกายแสงในดวงตาเขาพลันมืดสลัวลง ในเมื่อเขาคิดถึงจวนเหนียนได้องค์หญิงใหญ่ชิงเหอจะไม่คิดถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
เป็ดั่งที่คาดคิด...
"ไปหาที่จวนเหนียนแล้ว ทว่ายวี่เอ๋อร์ไม่ได้กลับไปที่นั่น"
มิได้กลับไปหรือ?
ถ้ามิได้กลับไปที่นั่น แล้วนางจะไปที่ใดได้อีก
"เมื่อวานยวี่เอ๋อร์ขี่ม้าออกไป ข้าเดาว่านางน่าจะ...อยู่นอกเมือง!"จ้าวอี้ขมวดคิ้วแน่น
ตอนนี้โรคระบาดกำลังลุกลามแพร่กระจายอย่างรุนแรงสถานการณ์นอกเมืองชุ่นเทียนจะเป็อย่างไรนั้นมิมีผู้ใดรู้หากยวี่เอ๋อร์ออกไปนอกเมืองเช่นนั้นจริงและถ้าหากว่าติดโรคระบาดเข้า...
ความรุนแรงของโรคระบาดครานี้ ถึงขั้นพรากชีวิตผู้คนได้เลย ยวี่เอ๋อร์ นาง...
จ้าวอี้ครุ่นคิด เขารู้สึกว่าบางอย่างแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่กล้าคิดไกลไปกว่านั้น
ในหัวของจ้าวเยี่ยนมีความคิดคาดเดาไม่ต่างจากจ้าวอี้เช่นกัน หากเหนียนยวี่ติดโรคระบาด หากว่า...ไร้ชีวีไปแล้วพลังอำนาจขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอที่อยู่ทางนี้คงมิใช่แค่เขา ทว่าจ้าวอี้เองคงจะไม่ก้าวหน้าเช่นกันนี่ย่อมเป็สิ่งที่ดีกว่าสำหรับเขาผู้ซึ่งตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบอย่างมิต้องสงสัย
เพียงแต่...