โยวหยวนยกมุมปากอย่างไม่สนใจ บินไปบนหลังคา
ครั้งนี้กลับเป็เจียงเฉิงเยว่ที่ไล่ตามอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ โม่หลงอยู่ในฝ่ามือของเขา กำลังชี้ไปที่แผ่นหลังของโยวหยวน เขาะโด้วยความหวาดผวา “เ้าเป็ใครกันแน่?!”
ในฐานะาาผี เกี่ยวกับตัวตนยามมีชีวิตย่อมเป็ความลับในความลับ...จุดอ่อนของเผ่าภูตผีอยู่ที่เถ้ากระดูก หากถูกผู้คนรู้ชื่อจริงยามที่ยังมีชีวิต เป็ไปได้มากว่าจะถูกควบคุมโดยผู้อื่น ดังนั้น หลังจากที่เขาตาย ผู้คนในปรโลกที่รู้ชื่อจริงของเขาแทบนับนิ้วได้ และคนไม่กี่คนที่นับนิ้วได้นี้...เจียงเฉิงเยว่มั่นใจเป็อย่างยิ่งว่าจะไม่แพร่งพรายความลับเขาโดยเด็ดขาด หากเป็เช่นนี้จึงเหลือเพียงความเป็ไปได้อีกหนึ่ง นั่นคือคนผู้นี้มีที่มาเช่นเดียวกับเขา และมีความเป็ไปได้มากว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่อาจ...รู้จักตน?!
โยวหยวนเพียงมองเขาจากระยะไกลโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเอียงตัวเล็กน้อย และบินออกมาจากรูบนหลังคาที่ทั้งสองคนทำพังไปก่อนหน้านี้
เจียงเฉิงเยว่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไป เวลานี้กลับไม่ยอมงที่จะปล่อยผ่าน ทันใดนั้น ความรุนแรงที่คุ้นเคยกลับพรั่งพรูออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ ต่อให้ไม่สนใจอย่างไร เคล็ดวิชาแผดเผาิญญาก็ใช้ไปจนถึงขีดสุด ถึงอย่างนั้น ต่อให้ิญญาของตนเองจะถึงขั้นเผาไหม้จนถึงขั้นแตกสลาย เขาไม่เสียดายอีกแล้ว
“เ้ารู้อะไรบ้างกันแน่? หากวันนี้ไม่อธิบายให้ชัดเจน...อย่าคิดที่จะไปเชียว!” ฉับพลันเขากลับกลายเป็สับเปลี่ยนกับโยวหยวน ท่าทางของเขาราวกับว่า้าที่จะลอกิั หักกระดูก กินเนื้อและดื่มเืของอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น ตรงหน้าของเจียงเฉิงเยว่นั้นมืดมิด ดวงตาทั้งสองแดงก่ำราวกับโลหิต
โยวหยวนต่อสู้กับเขา เพียงต่อสู้กันจนวัดเสวียนชางแห่งนี้ใกล้จะถูกทำให้พินาศ ทั้งสองคนปะทะกันราวกับัแหวกว่ายอยู่บนหลังคา แรงกดดันของพลังิญญาแห่งการต่อสู้เต็มที่ แสงและเงากระพริบ สายลมและเมฆาเปลี่ยนสี
โยวหยวนยิ้มอย่างเ็า “คิดหรือว่าอาศัยเ้าในตอนนี้จะขวางข้าได้จริง?!”
พลังิญญาของเจียงเฉิงเยว่ ณ ตอนนี้สู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่หากอาศัยเคล็ดวิชาแผดเผาิญญา ขอเพียงโยวหยวนได้รับาเ็การบ่มเพาะย่อมเสียหาย อย่างไรก็ตาม เขาค่อนข้างลังเล ไม่กล้าใช้อย่างแข็งกร้าว
ชั่วขณะหนึ่งที่ต่อสู้อย่างก้ำกึ่งอยู่กลับไม่สามารถสลัดออกได้ ทั้งสองคนต่างโจมตีโดยไม่ล่าถอย กลุ่มคนเบื้องล่างได้แต่อ้าปากค้างเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม พวกเขาที่ล้อมรอบหลี่อวิ๋นเฉินไว้ข้างในคงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว และสองาาผีผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในวงล้อม
ครู่ต่อมา ภายหลังเจียงเฉิงเยว่หลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิดครั้งหนึ่งแล้วเกือบถูกจู่โจม กลับมีเสียง ‘ฟิ้ว’ พร้อมกับที่ลำแสงดาบิญญาเล่มหนึ่งพุ่งไปยังใบหน้าของโยวหยวนจากระยะไกลเข้าไปใกล้ โยวหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพลิกตัวหลบ
เจียงเฉิงเยว่ประหลาดใจเช่นเดียวกัน หลังจากเห็นว่าในม่านราตรีที่ดาบิญญาเล่มนั้นบินผ่านไปแล้วกลับมาที่เดิม เงาร่างหนึ่งที่คุ้นเคยบินมา เมื่อเจียงเฉิงเยว่เห็นอีกฝ่าย ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันที
อีกฝ่ายคือหลี่อวิ๋นหัง!
หลี่อวิ๋นหังเหินดาบลงบนกำแพงรอบๆ ของวังจินเชวียอย่างเชื่องช้า หลังมองไปรอบด้าน ดวงตาพลันนิ่งค้าง ทันใดนั้นเขาพบหลี่อวิ๋นเฉินนอนหมดสติอยู่บนพื้นในลาน จึงเงยหน้ามองทางด้านเจียงเฉิงเยว่กับโยวหยวน จู่ๆ สีหน้าปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย บินไปพร้อมกับดาบในมือ
“อา...” เจียงเฉิงเยว่เกือบจะหลุดปากออกมาตามสัญชาตญาณเพื่อเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อาหัง’ ทว่าเขานึกขึ้นได้ว่าตนเองในตอนนี้อยู่ในร่างที่แท้จริง และหลี่อวิ๋นหังไม่รู้จักเขา! เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นเข้าร่วมการต่อสู้อย่างไม่สนใจอะไรแล้ว เขาครุ่นคิดในใจอย่างลับๆ ว่าแย่แน่
เขาไม่อาจต่อสู้กับโยวหยวนไปพร้อมกับดูแลได้...นอกจากนี้อีกฝ่ายไม่รู้ว่าตนเองเป็ใคร นี่นับว่าเป็การเพิ่มความวุ่นวายให้กับตนเอง ผลลัพธ์คือคนทั้งสามต่อสู้กันเป็เวลานาน ทันใดนั้นเจียงเฉิงเยว่กลับค้นพบว่าเป้าหมายการโจมตีของหลี่อวิ๋นหังราวกับมีเพียงโยวหยวนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าหลี่อวิ๋นหังจะมีพร์หรือเฉลียวฉลาด โดดเด่นเหนือใครเพียงใด สุดท้ายแล้วก็มีอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ยังไม่เป็ผู้ใหญ่ ดังนั้นการบ่มเพาะจะสามารถไปได้สูงเพียงไหน การต่อสู้ระหว่างสองาาผีผู้ยิ่งใหญ่ ขอเพียงส่งผลกระทบไปถึงเขาเล็กน้อย เขาต้องตายคาที่ในทันทีเป็แน่!
เจียงเฉิงเยว่ขวางตรงหน้าอีกฝ่าย ขณะที่พัวพันต่อสู้กับโยวหยวนกลับดุหลี่อวิ๋นหังอย่างโกรธเคือง “ถอยไป!” ทั้งยังไม่สนใจที่จะอธิบายมาก เขารู้ว่าในยามนี้เพียงต้องพาหลี่อวิ๋นเฉินออกไปจึงจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ ดังนั้นจึงพูดอีกครั้ง “ไปปกป้องเสด็จพี่ของเ้าเสีย!!!”
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึงอย่างที่คาดไว้ จากนั้นหันศีรษะมองไปยังตำแหน่งของหลี่อวิ๋นเฉิน พบว่าอีกฝ่ายได้รับการปกป้องเป็อย่างดีจากเขตอาคม จึงไม่มีท่าทีว่า้าจะบินกลับ
เจียงเฉิงเยว่ตะลึง เมื่อจิตใจสงบลงแล้วก็ไม่พัวพันอยู่กับโยวหยวนอีกต่อไป เขากังวลเกี่ยวกับหลี่อวิ๋นหัง เพียง้าให้โยวหยวนรีบจากไปเสียที ถึงอย่างนั้นโยวหยวนกลับดูเหมือนจะหงุดหงิดเพราะหลี่อวิ๋นหัง ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้หลียางโจมตีไปยังหลี่อวิ๋นหังด้วยพลังทั้งหมด หลียางถูกอีกฝ่ายทำให้กลับกลายเป็ร่างดั้งเดิมโดยกลายเป็แส้ เจียงเฉิงเยว่ออกคำสั่งให้โม่หลงปกป้องหลี่อวิ๋นหัง ขณะที่เสียสมาธิเขาโดนแส้จากโยวหยวนตีจนตกลงไปยังหลังคา หลังจากนั้นลื่นไถลห่างออกไปสองสามจั้ง1 กระเบื้องเคลือบ้าของวัดเสวียนชางแตกเสียงดัง ‘เปรี๊ยะ’ ทันใดนั้นร่วงกราวราวกับสายฝนเข้ามาในวิหาร เศษฝุ่นเริ่มปลิวว่อน
หลี่อวิ๋นหังมองเขาแวบหนึ่ง ความโกรธแค้นในดวงตายิ่งเพิ่มขึ้น จากนั้นจึงกัดฟันแล้วเข้าไปจู่โจมโยวหยวนอย่างดุร้าย
“เ้า!” เจียงเฉิงเยว่แทบอยากดุด่า แต่เมื่อคิดว่าหลี่อวิ๋นหังในยามนี้ไม่รู้จักเขา ทั้งกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจและเสียสมาธิ เช่นนี้อาจยิ่งอันตรายขึ้นจึงหุบปากพลางถือโม่หลงพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วเขากลับช้าไปหนึ่งก้าว...หลี่อวิ๋นหังถือดาบปิดกั้นแส้ของโยวหยวนอย่างช้าๆ ไม่คาดคิดว่าโยวหยวนจะใช้พลังิญญาทั้งหมดกับการลงแส้นี้ เช่นนั้นแล้วหลี่อวิ๋นหังจะต่อต้านได้อย่างไร ฉับพลันจึงถูกฟาดออกไป ด้านหลังชนเข้ากับกำแพงในลาน ตกลงไปไม่ไกลจากหลี่อวิ๋นเฉินที่อยู่ในลานเช่นเดียวกัน กำแพงอิฐบุบเข้าไปเล็กน้อยจนเกิดเสียง จากนั้นกระเบื้องบนกำแพงของลานพลันตกลงบนพื้นแตกเป็ชิ้นๆ
หลี่อวิ๋นหังได้รับาเ็สาหัส นอนอยู่บนพื้นและดิ้นรนเล็กน้อย หลังจากนั้นพลิกตัวกระอักเืออกมาคำใหญ่ หมดสติไปชั่วขณะ เจียงเฉิงเยว่เบิกตากว้างในทันทีแล้วกรีดร้อง “อาหัง!” จากนั้นหันไปหาโยวหยวนอีกครา ดวงตาเปล่งแสงสีแดงมากยิ่งขึ้น เขาชักดาบบินขึ้นไปอย่างหยิ่งผยองราวกับสายฟ้าร้อง ใช้ดาบฟาดลงบนหลังคาของอุโบสถครึ่งหนึ่ง หลังคาร่วงหล่นไปครึ่งทันใดพร้อมกับเสียงดังสนั่น ตำแหน่งที่โยวหยวนยืนอยู่เมื่อครู่หายไปจากสายตาทันที
ทว่าโยวหยวนบินขึ้นมานานแล้ว คนทั้งสองแน่นิ่งอยู่บนอากาศ ทั้งผลัดกันปะทะไปมาอยู่หลายรอบ ไม่ทันไรโยวหยวนกลับเผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง มองผ่านเขาไปทางด้านหลัง กล่าวด้วยเสียงเ็า “ฉิงชางจวิน...ทางที่ดีเ้าควรจะมองไปข้างหลังนะ”
่เวลาเดียวกัน เจียงเฉิงเยว่ได้ยินเสียงลูกธนูที่ขาดผึงดังขึ้นข้างหู พร้อมกับที่แม่ทัพวัยกลางคนผู้นั้นะโเสียงดัง “ยิง!”
เจียงเฉิงเยว่เบิกตากว้างหันศีรษะไปอย่างเร่งรีบ เห็นมือธนูเ่าั้นั่งอยู่บนหลังคาและกำแพงโดยรอบ หลังจากนั้นขึงสายธนูจนสุด ตำแหน่งที่ปลายลูกธนูชี้ไป...คือพี่น้องสกุลหลี่ที่อยู่กลางลาน
เพราะเหตุใดจึง้าที่จะสังหารพวกเขาทั้งหมดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหลี่อวิ๋นหัง...เดิมทีไม่นับว่าเป็อุปสรรคต่อหลี่อวิ๋นอี้ไม่ใช่หรือ กระทำการนี้เพื่อสังหารปิดปากอย่างนั้นหรือ?
“อาหัง!” เขาไม่มีเวลาคิดเื่นี้ ทำได้เพียงบินไปยังใจกลางลานโดยไม่สนใจสิ่งใด
เขาคือาาผีผู้หนึ่ง! ซึ่งยามนี้เหลือพลังิญญาเพียงสิบส่วนจากร้อย คือาาผีในอดีต จึงไม่สามารถควบแน่นเป็ร่างแท้จริงที่ตีรันฟันแทงไม่เข้า แม้ว่าจะถูกยิงด้วยคมธนูกลับไม่ทะลุผ่านร่าง...ตอนนี้เขาเพียง้าช่วยเหลือ ค้นหาสิ่งที่สามารถกำบังและปกป้องร่างกายของพวกเขาได้
เขตอาคมครอบคลุมเพียงหลี่อวิ๋นเฉิน แล้วหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ข้างกายเล่าจะทำอย่างไร จะทำอย่างไรกับอาหังของเขาดี? เขาจำดวงตาคู่นั้นที่ตื่นตระหนกและสว่างไสวยามพบเขาครั้งแรกได้...เด็กคนนั้นช่างเย่อหยิ่งและแปลกประหลาด ถึงอย่างไรกลับเทียบไม่ได้กับการพึ่งพิงที่ทำให้ภายในใจของเขาต้องอ่อนยวบจนเลอะเลือน
ทันใดนั้น เขาโถมตัวเข้าไปในร่างของหลี่อวิ๋นเฉิน เกือบจะเวลาเดียวกัน เขาควบคุมร่างของหลี่อวิ๋นเฉิน ให้ลืมตาแล้วกลิ้งไปสองตลบมานอนทับบนร่างของหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ข้างกาย ปกป้องส่วนที่สำคัญทั้งหมดบนร่างไว้ในอ้อมแขน
สายเกินไปแล้วที่จะคิดว่าหลังจากนี้เขาจะต้องทำอย่างไรกับิญญาของหลี่อวิ๋นเฉิน เขารู้ว่าตนเองเห็นแก่ตัว ทว่าตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวในใจของเขา นั่นคือการปกป้องเด็กคนนี้
หลี่อวิ๋นหังที่อยู่ใต้ร่างราวกับตื่นขึ้นมา ร่างกายขยับเล็กน้อย ทันใดนั้น เจียงเฉิงเยว่รู้สึกว่าเอวของตนเองถูกมือคู่หนึ่งโอบไว้อย่างแ่เบา ก่อนที่จะเกิดแรงผลักน้อยๆ ส่งผลให้เขารู้สึกวิงเวียงศีรษะอยู่พักหนึ่ง ครู่ต่อมาร่างกายที่โอบกอดตนเองอยู่พลันแข็งทื่อและกระตุกไปชั่วขณะภายหลังได้ยินเสียงคมธนูทิ่มแทงเข้ามาในเนื้อดังขึ้น
ดวงตาของเจียงเฉิงเยว่เบิกกว้าง
มีลูกธนูที่พลาดเป้าตกลงบนพื้นข้างกายจึงทำให้เกิดเสียงดังเกรียวกราว เสียงเ่าั้ดูเหมือนจะปลุกเรียกสติของเขาที่กำลังล่องลอยไป
คนบนร่างพยายามที่จะยกศีรษะขึ้นมา
เจียงเฉิงเยว่เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างลำบากจนแทบจะเหม่อลอย บนใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังปรากฏรอยยิ้ม แต่ยังไม่ทันคลี่ยิ้มออกมา ริมฝีปากของอีกฝ่ายกลับมีเืทะลักออกมาจนทำให้ดวงตาของเจียงเฉิงเยว่พร่ามัว
หลี่อวิ๋นหังยังไม่ทันกล่าวอะไรสักคำกลับค่อยๆ หมดเรี่ยวแรง ศีรษะที่อ่อนยวบซบลงบนไหล่ของเจียงเฉิงเยว่ เจียงเฉิงเยว่จับมือทั้งสองของนั้นด้วยความสั่นสะท้าน ก่อนัับนลูกธนูกับเสื้อผ้าที่เปียกโชกไปด้วยโลหิตบนร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว...เขาพยายามที่จะลุกขึ้นนั่งช้าๆ ดันร่างของหลี่อวิ๋นหังออกไป ปล่อยให้นอนตะแคง ร่างกายของอีกฝ่ายราวกับหนามเม่นทิ่มแทงบนแผ่นหลัง
เขาเข้าใจว่าในขณะนั้น...เป็หลี่อวิ๋นหังพลิกตัวแล้วกดเขาไว้ใต้ร่างเพื่อปกป้อง เจียงเฉิงเยว่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด มองใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็รองใครซึ่งอาบย้อมไปด้วยโลหิต ขนตายาวสีดำที่ปิดสนิทดูราวกับขนอีกาอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าสงบนิ่งของอีกฝ่ายดูเหมือนเพียงนอนหลับไปเท่านั้น
“อา...อาหัง” เจียงเฉิงเยว่ลองผลักอีกฝ่ายแ่เบา มือและเท้าอ่อนยวบจนไม่สามารถใช้กำลังได้ หลังจากที่เขาเหม่อลอยจนนิ่งงัน เพียงชั่วพริบตากลับทำอะไรไม่ถูก เขาตื่นตระหนกจนถึงขีดสุด ดวงตามืดมิด
หลี่อวิ๋นหังไม่มีการตอบสนอง
เจียงเฉิงเยว่เริ่มเขย่าอีกฝ่ายอย่างแรงพลางตบหน้า ะโเรียกชื่อเขาซ้ำไปมาพร้อมกับร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้นโดยไม่รู้ตัว...ทว่าใบหน้าของคนผู้นี้ที่เขาเคยเห็นยามหลับใหลมานับครั้งไม่ถ้วน กลับทั้งสงบและงดงาม ไม่มีการตอบสนองอีกต่อไป
การมองเห็นค่อยๆ เลือนราง กระเบื้องที่พื้นเปียกโชกไปด้วยหยาดน้ำตาราวกับสายฝน ฝ่ามือของเจียงเฉิงเยว่สั่นคล้ายกับใบไม้ที่ร่วงหล่นในสายลม หลังจากตรวจสอบหลอดเืแดงที่ลำคอของอีกฝ่าย...
หยุดนิ่งเสียแล้ว
ชีพจรของอีกฝ่ายไม่เต้นแล้ว
.............................
โยวหยวนมองลงไปยังเจียงเฉิงเยว่ในร่างของหลี่อวิ๋นเฉินที่มีท่าทางตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาอ้าปากค้าง ก่อนมองไปยังใบหน้าหมดสติของหลี่อวิ๋นหังในเวลานี้อย่างมิอาจควบคุม...ดูไม่ออกเลยว่าเด็กคนนี้จะพิเศษกับฉิงชางจวินเพียงนี้? เขารับรู้ถึงอันตรายโดยจิตใต้สำนึกอย่างอธิบายได้ยาก นึกถึงเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ซีเฉียนล่มสลาย แม้ว่าเขาจะไม่เคยไปที่นั่นด้วยตนเอง แต่เหตุการณ์่เวลานั้นค่อนข้างจะอึกทึกครึกโครม จึงได้ยินรายละเอียดทั้งหมดไปโดยปริยาย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โยวหยวนลอบเตือนสติตนเอง
“อา อาหัง” เจียงเฉิงเยว่ค่อยๆ โอบไหล่ของหลี่อวิ๋นหังด้วยฝ่ามือเย็น เขาโอบร่างนั้นเข้ามาในอ้อมแขนแล้วรัดไว้แน่น ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง มือธนูเ่าั้ยังคงไม่ยอมแพ้ เมื่อเห็นหลี่อวิ๋นเฉินก้าวออกมาจากเขตอาคมที่ป้องกันจึงรับรู้ได้ว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง หลังจากนั้นพวกเขาง้างคันธนูเต็มที่ ยิงลูกธนูเข้าใส่คนทั้งสองที่โอบกอดกันอยู่ในลาน
“อา!” สุดท้ายแล้วฉิงชางจวินที่อดทนมาจนถึงขีดสุดเริ่มปล่อยเสียงคำราม ความอาฆาตแค้นที่ไม่อาจระงับไว้ได้อีกต่อไปะเิชั่วพริบตา ราวกับก้อนหินที่ขว้างลงบนผิวน้ำจนเกิดเป็ระลอกคลื่น แสงรัศมีที่ล้อมรอบทุกผู้คนเอาไว้เริ่มผลักออกไป
โยวหยวนยื่นมือมาบังในชั่วพริบตาที่อีกฝ่ายะเิก่อตัวเป็เขตอาคม ถึงกระนั้นเขากลับถูกผลักจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ขมวดคิ้วฉับอย่างควบคุมไม่ได้ก่อนเลิกคิ้วอีกครั้ง
เขามองมือธนูที่ถูกผลักลงจากกำแพง หลังจากความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรงจนมนุษย์ธรรมดาไม่อาจต้านทานได้อย่างสิ้นเชิงกวาดล้างไปทั่ว ใบหน้าของทุกคนพลันหมองคล้ำ บางคนถูกลูกธนูบินย้อนกลับมาแทงจนกระอักเื และผู้คนอีกจำนวนมากที่ถูกความอาฆาตแค้นเข้าสู่ร่างและทำร้ายดวงิญญาโดยตรงล้วนนอนอยู่บนพื้น เหลือเพียงดิ้นรนและคร่ำครวญอยู่เล็กน้อย เหล่ามนุษย์ที่บงการความเป็ตายของผู้อื่นเมื่อครู่ต่างาเ็ล้มตายไปกว่าครึ่งในทันที
โยวหยวนยิ้มอย่างเ็า แค่มดที่โง่เขลาเท่านั้น แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เห็นใจ พลางคิดในใจว่าพวกเขากลับไม่รู้ค่าตอบแทนที่ควรต้องชดใช้ยามทำให้าาผีโกรธเช่นนี้ เดิมทีก่อนหน้านี้ที่เจียงเฉิงเยว่ไม่ยอมลงมือ คงคิดว่าพวกเขาจะล่าถอยไปในค่ำคืนนี้ คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วต้องมาจบชีวิตทั้งหมดในที่แห่งนี้
“ฝ่าา ฝ่าา” ทางด้านของหลี่อวิ๋นอี้ที่ได้รับการปกป้องอย่างแ่าจากผู้ใต้บังคับบัญชาในขณะที่เจียงเฉิงเยว่ะเิพลัง เวลานี้เขากำลังลุกขึ้นอย่างยากลำบากด้วยการประคองของแม่ทัพวัยกลางคน หลี่อวิ๋นอี้จัดระเบียบเสื้อผ้ากับหมวกอย่างอับจนหนทาง รอออกคำสั่งให้ทุกคนที่ยังเคลื่อนไหวได้ไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ใจกลางลาน โยวหยวนเหน็บแนมด้วยเสียงหัวเราะเย็นเยียบ “ยังไม่รีบไปอีก? ถูกฉิงชางจวินกระทำมากมายเช่นนี้ ผู้คนาเ็ล้มตายมากถึงเพียงนี้ ทางปรโลกไม่มีทางไม่ทราบ เมื่อประตูหยินเปิดออกมนุษย์อย่างพวกเ้า...จะยังอยู่และเตรียมมอบิญญาเป็อาหารให้ภูตผีอีกหรือ?”
หลี่อวิ๋นอี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนรีบโบกมือสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา “ไปๆๆ “ หลังจากพูดจบก็พากันหลบหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน
โยวหยวนแค่นเสียงเ็า มองคนทั้งสองที่กอดกันบริเวณใจกลางลานก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เกรงว่าสถานการณ์นี้อาจมีบุคคลเหนือชั้นที่ตื่นตระหนกอยู่ด้วย แน่นอนว่าเขาต้องจากไปก่อนที่สถานการณ์จะเกินความควบคุม คำสาปชั่วร้ายเฉกเช่นคำสาปร้อยผีกลืนใจนี้ขัดต่อกฎ์ หากเขาถูกตี้จวินจับได้ จุดจบของเขาคงไม่ดีไปกว่าฉิงชางจวินเท่าไรนัก
ณ ตอนนี้เจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจสิ่งใดรอบตัว เขาบังคับตนเองให้สงบลง โอบกอดหลี่อวิ๋นหังไว้แน่น ทั้งร่างสั่นสะท้าน กล่าวเสียงแ่ที่ข้างหู “เสด็จพี่จะไม่ปล่อยให้เ้าเป็อะไรแน่ เ้าวางใจเถิด!”
------------------------
[1] จั้ง หมายถึง หน่วยวัดความยาว 3 เมตรของจีน
