เงาร่างของดรุณีน้อยผู้มีรอยยิ้มกระจ่างพร่างพรายประทับอยู่ในดวงตาของเหลียนเซวียน
นางสวมเสื้อสีแดงดอกไห่ถังปักลายเมฆาและกระโปรงแพรโปร่งลายร้อยผีเสื้อล้อบุปผา สวมต่างหูมุกขาวประดับติ่งหู ปักปิ่นดอกไม้กิ่งทองคำบนมวยผมที่เกล้าเป็ห่วงคู่
แต่งกายเรียบง่ายสง่างาม แฝงไปด้วยความน่ารักสดใส
ดวงตาดำขลับกลมโตเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี หางตายังอาบย้อมด้วยสีแดงจางๆ
"อืม ข้ากลับมาแล้ว" เขารับคำเบาๆ ดวงตาฉายแววยิ้มอ่อนจาง
หญิงสาวฝั่งตรงข้ามยังไม่ทันตอบกลับ ก็มีเสียงท้วงติงดังมาจากด้านข้าง
"เสี่ยวชี ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร เ้าให้ข้ามาเจรจาเื่ราคากับแม่นางเซวียนมิใช่หรือ อย่าบอกนะว่าเ้านึกเสียใจภายหลัง"
ดวงตาคมกล้าของผูหยางชิงหลันจ้องเขม็ง ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะมีลูกไม้อะไรอีก
"ศิษย์พี่ ท่านจะรีบร้อนไปไย ของที่เป็ของท่าน จะไม่วิ่งหนีไปไหน แต่ถ้าไม่ใช่ของท่าน ท่านจะ่ชิงไปได้หรือ" เหลียนเซวียนปรายตามองเรียบๆ
ผูหยางชิงหลันสะอึก ถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง "แล้วเ้าจะเอาอย่างไร"
เหลียนเซวียนนั่งลง หงกูให้สาวใช้ยกน้ำชา จากนั้นก็ถอยออกไปจากห้องรับแขก อูหลันฮวาซึ่งเดิมทียืนอยู่หลังเซวียเสี่ยวหรั่นเห็นเช่นนั้นก็ถอยตามออกไป
"เสี่ยวเหล่ย เฟิงหยางบ่นคิดถึงอาเหลยมาตลอดทาง เ้าพาเขาไปดูมันเถอะ"
เหลียนเซวียนหันไปยิ้มให้เซวียเสี่ยวเหล่ย
อวี๋เฟิงหยางผู้ถูกอ้างชื่อหน้าไม่เปลี่ยนสี แม้ไม่รู้ว่าตนเองไปคิดถึงลิงตัวนั้นั้แ่เมื่อไร
แต่อาจารย์อาบอกว่าคิดถึง เช่นนั้นคิดถึงก็ได้
เขาแขวนรอยยิ้มเหมาะสมบนใบหน้าก่อนเดินตามเซวียเสี่ยวเหล่ยซึ่งยังไม่คุ้นเคยกันเท่าไรนักไปดูลิง
ในห้องรับแขกยามนี้จึงเหลือคนเพียงสามคน
"พูดมา เ้ามีความคิดพิเรนทร์อะไรอีก" ผูหยางชิงหลันชักสีหน้าใส่เขา
ส่งคนออกไปหมดแล้ว มีความก็รีบเอ่ย มีลมก็รีบผาย
เซวียเสี่ยวหรั่นงุนงงเล็กน้อย มองสีหน้าเรียบเฉยของเหลียนเซวียน ก่อนหันไปมองใบหน้าดำทะมึนของผูหยางชิงหลัน
"ศิษย์พี่ มารดาท่านมีพี่สาวหรือน้องสาวบ้างหรือไม่" เหลียนเซวียนครุ่นคิดก่อนเอ่ยปากเรียบๆ
ผูหยางชิงหลันเลิกคิ้ว ยังจับทางไม่ถูกว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
"ต้องมีอยู่แล้ว ถามเื่นี้ทำไม"
"ตระกูลผูหยางของพวกเ้ามีรากฐานนับร้อยปี แตกกิ่งก้านขยายสาขานับไม่ถ้วน หากมีญาติผู้น้องจากแดนไกลเพิ่มขึ้นสักคน ก็คงไม่แปลกหรอกกระมัง"
ฝ่ามือเรียวทรงพลังของเหลียนเซวียนยกถ้วยชาหยกขาวลายดอกฝูหรงขึ้นมา ถ้อยคำเนิบนาบเอ้อระเหยมีความนัยแฝงอยู่
ผูหยางชิงหลันเป็คนฉลาดปราดเปรื่องมาก เขาอึ้งไปเล็กน้อย แต่ต่อมาม่านตาก็ขยายเล็กน้อย หันไปมองเซวียเสี่ยวหรั่นที่ยังอึ้งงันไม่ได้สติปราดหนึ่ง
"เ้าอ้อมรอบใหญ่ขนาดนี้ คิดจะทำสิ่งใด"
คงจะไม่...
ผู้หยางชิงหลันใคร่ครวญถึงความเป็ไปได้เพียงหนึ่งเดียว ดวงตาทั้งคู่พลันเบิกกว้าง
เหลียนเซวียนมองเขาเงียบๆ มุมปากประดับรอยยิ้มสุขุมนุ่มลึกมั่นคงดุจเขาไท่ซาน
เซวียเสี่ยวหรั่นยังคงมองซ้ายทีขวาที ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังเล่นทายปริศนาอะไรกันอยู่
ผูหยางชิงหลันยิ้มออกทันที
"เื่นี้ข้าช่วยได้ แต่ว่า... เสี่ยวชี เ้าคิดว่าแบบนี้จะหลอกบิดาผู้ปราดเปรื่องปรีชาและมากความหวาดระแวงของเ้าผู้นั้นได้หรือ"
"ข้าไม่จำเป็ต้องหลอกลวงเขา เพียงแค่อยากให้นางมีสถานะที่สง่าผ่าเผยเท่านั้น" เหลียนเซวียนสีหน้าเรียบเฉย
เซวียเสี่ยวหรั่นฟังๆ ไป ชักเริ่มรู้สึกทะแม่ง เหลียนเซวียนกำลังพูดถึงเธอหรือ?
"ได้ เื่นี้จัดการไม่ยาก งานนี้ข้ายินดีช่วย แน่นอนว่าไม่ได้ยินดีช่วยเ้า แต่ยินดีช่วยแม่นางเซวีย"
ผูหยางชิงหลันหันไปยิ้มให้เซวียเสี่ยวหรั่นอย่างเป็มิตร รอยยิ้มเจือไปด้วยความจริงใจ
"หา?" เซวียเสี่ยวหรั่นใอย่างมาก "พวกท่านกำลังพูดถึงข้าหรือ"
"ใช่ เสี่ยวหรั่น หลังเ้าเข้าเมืองหลวง จำเป็ต้องมีสถานะใหม่ ตระกูลของศิษย์พี่มีลูกหลานแตกแขนงมากมาย หากมีญาติผู้น้องที่ไม่เคยพบหน้าสักคนเพิ่มขึ้นมา ก็ไม่ใช่เื่แปลกแม้แต่น้อย" เหลียนเซวียนหันไปมองนางพลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม
"แต่ทำไมข้าต้องเปลี่ยนไปเป็ญาติผู้น้องจากแดนไกลของเขาด้วยล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่เข้าใจ "ปัญหาเื่ของสถานะ ไม่ใช่แค่มีเงินก็ลอบซื้อทะเบียนสำมะโนครัวได้แล้วหรอกหรือ"
เหลียนเซวียนมองสีหน้างุนงงของนางก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายว่าอย่างไร
ผูหยางชิงหลันยิ้มพราย แม่นางผู้นี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแคว้นฉีสักอย่าง เห็นทีเขาคงต้องช่วยเหลียนเซวียนเอ่ยปากเสียแล้ว
"แม่นางเซวีย เ้าเป็หญิงสาวตัวคนเดียวพาน้องชายเยาว์วัยมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงเพียงลำพัง เ้าคิดว่าด้วยสถานะสามัญชน จะสามารถเอาตัวรอดจากการถูกกดขี่ข่มเหงได้หรือ แม้ว่าบ้านบรรพบุรุษของสกุลผูหยางจะไม่ได้อยู่เมืองหลวง แต่ชื่อเสียงก็ยังนับว่าข่มคนได้ ดังนั้น เสี่ยวชีอยากให้เ้ามีตระกูลผูหยางเป็ที่พึ่งพิง อย่างน้อยก่อนที่ใครคิดจะรังแกเ้า ก็ต้องพินิจให้ดี"
เซวียเสี่ยวหรั่นฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลใช้ได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปรกติอยู่ดี
"แต่แบบนี้จะไม่ลำบากท่านหรือ"
เธอนึกออกแต่ปัญหาข้อนี้
"ไม่ลำบากเลย ยากนักที่เสี่ยวชีจะเอ่ยปากขอให้คนช่วย ข้าผู้เป็ศิษย์พี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วย" ผูหยางชิงหลันเอื้อมมือมาตบบ่าของเหลียนเซวียน
แต่ผลก็คือมือยังไม่ทันตบลงไป มือใหญ่ของเหลียนเซวียนก็บีบข้อมือของเขาไว้แน่น
นึกว่าตอนนี้เขายังรังแกง่ายเหมือนก่อนหน้านี้หรือไร? เหลียนเซวียนทำตาขวางใส่เขา ก่อนออกแรงฝ่ามือหนักขึ้น
"ซี้ด..." ผูหยางชิงหลันถูกฝ่ามือราวกับคีมเหล็กบีบอย่างแรงจนต้องร้องออกมา "เสี่ยวชี เ้ายังไม่ทันข้ามแม่น้ำก็กล้ารื้อสะพานแล้วหรือ"
ทันทีที่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา กำลังที่ฝ่ามือก็คลายลงโดยพลัน
ผูหยางชิงหลันนวดข้อมือปวดหนึบของตนเอง ก่อนตวัดสายตาเ็าใส่เขาทีหนึ่ง
เหลียนเซวียนสบตาเขาปราดหนึ่งก่อนเลื่อนสายตาไปอย่างสงบนิ่ง
"เ้าเด็กโสโครก" ผูหยางชิงหลันลอบด่าคำหนึ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นยังคลางแคลงใจอยู่ เหตุใดจู่ๆ ต้องเปลี่ยนไปเป็ญาติผู้น้องของผูหยางชิงหลันด้วย หากกลายเป็คนในตระกูลของเขา ต่อไปก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งตระกูลผูหยางของพวกเขา หรือถ้าเกิดเื่อะไรกับตระกูลของพวกเขา จะเดือดร้อนมาถึงเธอด้วยรึเปล่า?
สังคมที่ยึดมั่นต่อตระกูลอย่างแรงกล้า เซวียเสี่ยวหรั่นมิอาจไม่ใคร่ครวญถึงปัญหานี้
เหลียนเซวียนมองถึงความลังเลของนาง
"เสี่ยวหรั่น เ้าเป็แค่ญาติฝ่ายตระกูลมารดาของศิษย์พี่ ไม่นับว่าเป็ญาติสายตรงของตระกูลผูหยาง ดังนั้นไม่ต้องวิตกเกินไป วางใจเถอะ สิ่งใดที่สมควรใคร่ครวญ ข้าล้วนใคร่ครวญแทนเ้าหมดแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นเม้มริมฝีปากเขา สีหน้าเผยแววหนักใจ " เข้าขอคิดดูก่อนได้หรือไม่"
"ย่อมได้" เหลียนเซวียนยิ้มพลางผงกศีรษะ เขาไม่อยากฝืนใจนาง
ดวงตาของผูหยางชิงหลันกวาดมองคนทั้งคู่ ั์ตาพลันมีประกายวาบผ่าน
หากเซวียเสี่ยวหรั่นกลายมาเป็ญาติผู้น้องของเขา ต่อไปตนเองก็สามารถมาถกปัญหาการแพทย์กับนางได้อย่างถูกต้องชอบธรรมแล้วสิ
รอยยิ้มของผูหยางชิงหลันยิ่งล้ำลึกกว่าเดิมหลายส่วน
