มู่อวิ๋นจิ่นเห็นว่าคนในห้องอาหารออกไปหมดจนเหลือเพียงฉู่ลี่แล้ว นางจึงพูดกับอีกฝ่ายอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “องค์ชายหก… เป็ไปได้หรือไม่ที่ฝ่าาจะขอให้เฉินพู่ ผู้ตรวจการแห่งศาลต้าหลี่ยุติการสืบสวนคดีที่จวนเสนาบดีมู่เมื่อวานนี้”
“เ้าถูกชี้ตัวหรือเปล่าเล่า” ฉู่ลี่เลิกคิ้ว ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดละก็ หญิงสาวตรงหน้าก็ควรจะเป็เหยื่อในเื่นี้โดยตรงเสียด้วยซ้ำ ทว่าหากหยุดสืบสวนเื่นี้ลง ก็เกรงว่านี่อาจทำให้คนอื่นหยิบยกเื่ของนางมาเป็ประเด็นต่อไป
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นจินก็เม้มริมฝีปากก่อนจะหาเก้าอี้แล้วนั่งลง แล้วพูดอย่างหมดหนทางว่า “ป้าจางผู้เป็แม่นมของข้า ถูกท่านแม่นำตัวไปกักขังไว้อย่างลับ ๆ ”
“งั้นครานี้หล่อนก็ชนะแล้ว” เมื่อฉู่ลี่ได้ยินสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นพูดก็ยกยิ้มขึ้นตรงมุมปากก่อนจะพูดด้วยความสนใจต่อไปว่า “เ้าเป็คนที่ยอมแพ้ง่ายได้ขนาดนั้นเลยหรือ?”
“ไม่เป็เช่นนั้นแน่ แต่เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ ครั้งนี้ให้นางภูมิใจสักสองสามวัน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการช่วยเหลือป้าจาง” มู่อวิ๋นจิ่นพิงเก้าอี้ และกล่าวถึงป้าจางโดยยังคงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ข้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็เห็นว่ามีเพียงเ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยข้าได้ หากข้าไปที่ศาลต้าหลี่เพียงลำพัง คนพวกนั้นย่อมไม่ไว้หน้าข้า แต่หากเป็เ้าละก็… ทุกคำพูดที่เอ่ยออกไปก็ล้วนมีน้ำหนัก ไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้าเ้าทั้งนั้น” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ย
เมื่อเห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นยังไม่ยอมแพ้ในเื่นี้ ฉู่ลี่จึงคิดในใจว่าเรี่ยวแรงของจิ้งจอกน้อยตรงหน้าอาจจะไม่พอสำหรับเื่นี้เป็แน่… เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดเย้าแหย่อีกฝ่าย “แล้วถ้าข้าไม่อยากจะช่วยเ้าล่ะ?”
“ข้ามาพบเ้าด้วยตนเอง นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงความจริงใจต่อเ้าแล้ว และเ้าก็คง ไม่ใช่คนไร้เหตุผลเช่นนี้ใช่หรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นพูดน้ำเสียงแกมหยอกล้อ ก่อนจะมองดูฉู่ลี่ด้วยสายตาเรียบเฉย
ฉู่ลี่ไม่ทันได้ตกปากรับคำของมู่อวิ๋นจิ่น ก็มีคนมาเคาะประตูห้องอาหารเบาๆ ตามมาด้วยเสียง ของติงเสี่ยนที่ดังมาจากข้างนอก “เรียนองค์ชายหก ขณะนี้องค์หญิงชิงหยวนเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ"
หลังจากพูดจบ ประตูห้องอาหารก็ถูกเปิดออกอย่างแรง และปรากฏร่างผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกระโปรงผ้าไหมปักลายสีชมพูกำลังเดินเข้ามา ผมยาวสีดำสนิทพลิ้วสลวยใกล้กับ่เอว ผิวพรรณเรียบเนียนบริสุทธิ์ดุจไข่ปอก ดวงหน้าใสกระจ่างมีชีวิตชีวา ดูแล้วนางน่าจะมีอายุราว ๆ สิบสามหรือสิบสี่ปี
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเห็นผู้มาเยือนก็มุ่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะนึกถึงเ้าของชื่อชิงหยวน ชั่วขณะและในที่สุดนางก็จำได้
ฉู่ชิงหยวน องค์หญิงลำดับที่เก้าแห่งราชวงศ์
ทันทีที่ฉู่ชิงหยวน เข้าประตูไป ดวงตาสีดำกลมโตของ นางก็สบเข้ากับมู่อวิ๋นจิ่น จากนั้นมองพิจารณาั้แ่หัวจรดเท้าก่อนจะขมวดคิ้ว
“เ้าเป็ใคร ทำไมถึงมาปรากฏตัวในตำหนักของท่านพี่”
ั้แ่จำความได้ พี่ชายคนนี้ของนางมีนิสัยเ็าและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เมื่อเห็นท่านพ่อก็มักจะดูเฉยชา ทว่าขณะนี้กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นี่
แล้วยังมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ ฉู่ชิงหยวนก็ปรากฏตัวขึ้นขัดจังหวะ มู่อวิ๋นจิ่นก็เม้มปากอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะแนะนำตัวต่อนาง“ข้าคือมู่อวิ๋นจิ่น จากจวนเสนาบดีมู่เพคะ”
“มู่อวิ๋นจิ่น...” ฉู่ชิงหยวนทวนคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นอย่างระมัดระวัง จากนั้นไม่นาน ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “เ้าเป็ผู้หญิงที่ท่านพี่้าแต่งงานด้วยใช่หรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นทำได้เพียงส่งเสียงในลำคออย่างเกียจคร้าน นี่แสดงถึงการยินยอมโดยปริยาย
ดวงตาของฉู่ชิงหยวนก็ยิ่งเบิกกว้าง นางก็เดินไปรอบ ๆ มู่อวิ๋นจิ่น กวาดสายตามองขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง
มู่อวิ๋นจิ่นเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่ฉู่ชิงหยวนจะอุทานเบาๆ เสียงหนึ่ง และเดินไปหาฉู่ลี่
“ท่านพี่หก คนพวกนั้นพูดถูกจริงๆ ด้วย มู่อวิ๋นจิ่นผู้นี้ช่างงดงามอย่างน่าทึ่ง ชิงหยวนไม่เคยเห็นใครที่สวยงามเช่นนี้มาก่อนเลย!”
คำพูดของฉู่ชิงหยวนทำให้ความหงุดหงิดของมู่อวิ๋นจิ่นดับลงทันที และนางก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วมองด้านหลังของฉู่ชิงหยวน แม้สาวน้อยคนนี้แม้ว่าท่าทางการกระทำจะดูวุ่นวาย ทว่าคำพูดของนางกลับรื่นหู น่าฟังที่สุด
หลังจากนั้น ฉู่ชิงหยวนก็หันกลับมาอีกครั้ง แล้วส่งยิ้มหวานให้มู่อวิ๋นจิ่น “พี่สะใภ้หก ข้าชื่อชิงหยวน เป็องค์หญิงเก้า”
มู่อวิ๋นจิ่นแทบจะกระอักเืออกมาเต็มปากเมื่อได้ถูกอีกฝ่ายเรียกว่า “พี่สะใภ้หก” แต่เมื่อต้องเจอกับการจ้องมอง และท่าทีกระตือรือร้นของฉู่ชิงหยวน มู่อวิ๋นจิ่นก็ทำได้เพียงฝืนยิ้ม และพยักหน้าตอบรับอย่างเป็มิตรเท่านั้น
“ชิงหยวนมาทันเวลาพอดี” ฉู่ลี่มองน้องสาวของตนด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ดูเ็านัก “ “สิ่งที่เฉินพู่หวาดกลัวมากที่สุด ก็คือฉู่ชิงหยวนนี่แหละ”
“เฉินพู่งั้นหรือ?” เมื่อพูดถึงเฉินพู่ ฉู่ชิงหยวนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ตาแก่นั่น… เขาทำไมหรือ??”
...
ระหว่างทางไปศาลต้าหลี่ ภายในรถม้ามีเพียงมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ชิงหยวนเพียงสองคน มู่อวิ๋นจิ่นไม่นึกไม่ฝันว่าการเข้าวังหลวงในครั้งนี้จะทำให้ได้รู้จักกับองค์หญิงเก้าฉู่ชิงหยวนด้วย
“พี่สะใภ้หก ในวังนี้พี่หกกับข้าสนิทกันที่สุด เพราะพี่หกกับข้านั้นเป็พี่น้องร่วมมารดากัน เราจึงสนิทกันมาก” ฉู่ชิงหยวนที่นั่งอยู่ในรถม้ายังคงยิ้มหวาน และมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
เมื่อเอ่ยถึงแม่คนเดียวกัน มู่อวิ๋นจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย “เสด็จแม่ของพวกเ้าคือใครอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของฉู่ชิงหยวนก็พลันหม่นลง ในแววตาเปลี่ยนเป็เศร้าหมอง
“ เดิมทีนั้นเสด็จแม่เป็พระสนมคนหนึ่งในวังหลัง แต่นางทำให้ไทเฮาไม่พอใจเพราะเหตุการณ์หนึ่งเมื่อสิบปีก่อน และตอนนี้เสด็จแม่ของข้าได้รับคำสั่งให้ถูกกักบริเวณไปตลอดชีวิตในอารามสุ่ยอวิ๋นที่นอกเมือง”
เมื่อได้ฟังเื่ของฉู่ชิงหยวนแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง หลังจากมาที่นี่เป็เวลานาน นางไม่เคยรู้เลยว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของฉู่ลี่ถูกคุมขังในอารามสุ่ยอวิ๋น
อารามสุ่ยอวิ๋น น่าจะเป็วัดที่นางและจื่อเซียงไปในวันนั้น
หลังจากคิดเื่นี้แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็ถอนหายใจเล็กน้อย ครั้นรู้สึกว่าในขณะที่เข้าไปในประตูพระราชวังนั้นลึกพอ ๆ กับทะเล บางทีตัวตนในอนาคตของนางอาจจะจบลงเหมือนนางสนมหรงเฟย ผู้เป็มารดาของฉู่ลี่ และองค์หญิงน้อยตรงหน้า!
ในไม่ช้ารถม้าก็หยุดที่หน้าศาลต้าหลี่
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ชิงหยวนลงจากรถม้า ก็เห็นร่างของเฉินพู่ ค่อยๆ ก้าวออกมาต้อนรับ แล้วโค้งทำความเคารพทั้งสอง
“คารวะองค์หญิงเก้า” หลังจากพูดจบ ก็หันไปทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น “คารวะคุณหนูสาม ”
“ชายชราน้อย เ้า ดีใจหรือไม่ที่ได้พบข้า? ฉู่ชิงหยวนมองไปเฉินพู่ด้วยรอยยิ้มสดใส
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินคำว่า “ชายชราน้อย” นางก็นึกขัน เฉินพู่อายุประมาณสี่สิบ ปีดังนั้นการเรียกเขาว่า “ชายชรา” จึงฟังดูเกินจริงไปสักหน่อย
“องค์หญิงเสด็จมาที่นี่ กระหม่อมก็ย่อมดีใจสุดประมาณ! ข้าไม่ทราบว่าวันนี้ท่านจะเสด็จมาที่นี่ ไม่ทราบว่ามีคำสั่งสำคัญอันใดพ่ะย่ะค่ะ?” หลังจากที่เฉินพู่พูดจบ ฉู่ชิงหยวนก็เดินเข้ามาแล้ว
หลังจากฉู่ชิงหยวนเดินผ่านเข้าประตูศาลต้าหลี่ไป ก็เดินไปยังโต๊ะพิจารณาตัดสินคดีที่อยู่ตรงกลาง ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกออกอ่านหลายเล่ม
“องค์หญิง นี่เป็คดีที่เพิ่งคลี่คลายและจำเป็ต้องนำเสนอต่อฮ่องเต้เพื่อความกระจ่าง โปรดระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เฉินพู่พูดอย่างเร่งรีบ สายตาก็มองดูหนังสือบนโต๊ะที่ถูกแยกจนกระจัดกระจาย
เมื่อได้ยินว่าเฉินพู่ ได้รับมอบหมายจากเสด็จพ่อให้ตรวจสอบเื่นี้ ฉู่ชิงหยวนจึงยอมวางมือไม่แตะต้อง และเลิกอ่านสมุดบันทึกแต่โดยดี
หลังจากนั้นฉู่ชิงเหยียนก็หัวเราะเยาะเฉินพู่อีกครั้ง “ “ข้าเพิ่งเดินทางกลับมาพำนักในวังหลัง รู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ว่าที่ศาลต้าหลี่ย่อมมีงานเยอะจนหัวไม่วางหางไม่เว้น”
“ทำไมเราไม่แบ่งคดีเล็ก ๆ สักสองสามคดี แล้วให้ข้านี้ลองไขดูล่ะ?”
เมื่อเฉินพู่ได้ยินดังนั้น หัวใจก็สั่นสะท้านก่อนจะก้มลงไปมอง ฉู่ชิงหยวนทันที “องค์หญิง กระหม่อมทำงานที่ศาลต้าหลี่มีหน้าที่จัดการคดีต่างๆ มิน้อย ซึ่งส่วนมากเกี่ยวโยงถึงชีวิตผู้คน ขอให้องค์หญิงอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่ามเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านว่าข้าเอาแต่ใจหรือเฉินพู่ ท่านไม่รู้หรือว่าท่านพ่อรักข้ามากที่สุด” ฉู่ชิงหยวนตบโต๊ะผาง
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น...” เฉินพู่ไม่สามารถโต้แย้งได้ สีหน้าของเขาในยามนี้นับว่าดูไม่จืด
หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ ฉู่ชิงหยวนมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านไม่ส่งคดีของจวนอัครเสนาบดีมู่ให้ข้าแทนเล่า”
เฉินพู่ผงะเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สายตาของเขาเหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่นที่มาด้วยกันโดยไม่รู้ตัว และเข้าใจจุดประสงค์ของการมาเยี่ยมของทั้งสองในวันนี้ทันที
ทันใดนั้นสายตาของเขาจึงจับจ้องไปที่มู่อวิ๋นจิ่น และพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “คุณหนูสาม มีการพบเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับคดีนี้ แต่ข้ากังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับผลลัพธ์ของคดี ดังนั้นข้าจึงต้องทำการเปรียบเทียบ…”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังก็ย่อมเข้าใจในสิ่งที่เฉินพู่เอ่ยว่าหมายถึงสิ่งใด นางจึงยิ้มมุมปาก “บางครั้งขุนนางที่เที่ยงตรงก็ยากที่จะตัดสินว่าเื่ใดถูกหรือผิด เื่นี้ใต้เท้าเฉินอย่าได้สนใจในคดีที่ยุ่งยากนี้อีกเลย”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ กระหม่อมทำได้เพียงทำตามแล้ว”
...
(ณ หอปี้ลั่ว)
ปัง! มู่อวิ๋นจิ่นโยนสมุดบันทึกที่นำมาจากศาลต้าหลี่ไปตรงหน้าของซูปี้ชิง
“สิ่งที่ท่านแม่้า ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าต้องได้พบป้าจางภายในครึ่งชั่วยาม” มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างเ็า
ซูปี้ชิงหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง หลังจากเห็นเนื้อหาภายใน และตราประทับอย่างเป็ทางการของศาล
ต้าหลี่บนนั้น นางก็อดประหลาดใจระคนดีใจไม่ได้
เกือบไปแล้วไหมเล่า
“อวิ๋นจิ่น เ้าสามารถยุติการสืบสวนตามที่รับปากได้ในฐานะมารดาแล้ว ข้ามองเ้าไม่ผิดจริง ๆ” ซูปี้ชิงพูดจบก็โยนสมุดบันทึกคดีลงในกองไฟที่เตรียมไว้
“หยุดพูดเื่ไร้สาระ และปล่อยป้าจางเสีย!” มู่อวิ๋นจิ่นพูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูปี้ชิงก็ยกยิ้มพลางโบกพัดในมือ ดวงตาของนางเผยประกายเย็นะเื “ในตอนแรกข้าประเมินเ้าต่ำเกินไปจริงๆ ทั้งยังกังวลว่าเ้าคงไม่อาจทำภารกิจที่ข้ามอบหมายให้สำเร็จลงได้ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าเ้า จะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว”
“ในเมื่อเื่เป็เช่นนี้ เอาเป็ว่าเ้าช่วยมารดาคนนี้อีกสักเื่จะได้หรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะเย้ย สองมือยกขึ้นกอดอก ลดระดับสายตามองซูปี้ชิงอย่างเหยียดหยาม “เมื่อครู่ระหว่างกลับมาที่จวน ข้าพบว่าบนถนนสายยาวมีเด็กสาวกำลังร้องรำทำเพลงเรียกแเื่เต็มไปหมด ดูคึกคักไม่น้อย”
“ ข้าถึงกับคิดว่าหน้าตาของน้องสาวก็ไปวัดไปวาได้ ไม่แน่ว่าอาจขายนางได้ในราคาสูงลิ่ว!”
“เ้าจงหยุดความคิดชั่วๆ นั่นเดี๋ยวนี้!!!” ซูปี้ชิงมิอาจทนฟังสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยได้ นางพลันถลึงตาใส่ “เ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถสั่งคนไปฆ่าป้าจางได้เดี๋ยวนี้!!!”
มู่อวิ๋นจิ่นใช้ดวงตาที่คุกรุ่นไปด้วยเจตนาฆ่าจับจ้องไปที่ซูปี้ชิง“ดูเหมือนว่าท่านแม่จะตั้งใจจะผิดคำสัญญาสินะ?”
“เช่นนั้นจะลองดูก็ได้ ถ้าข้าไม่เห็นป้าจางกลับมาอย่างสมบูรณ์ภายในครึ่งชั่วยามละก็ น้องมู่หลิงจูของข้าอาจต้องไปเรียกแเื่ที่หอคณิกาอย่างที่ข้าเห็นเมื่อครู่ก็ได้"
ซูปี้ชิงได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับตะลึงงัน ความหนักแน่นและเ็าในดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นทำให้ซูปี้ชิงรู้สึกผิดเล็กน้อย นี่ทำให้ท่าทีของซูปี้ชิงคลายลงโดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว ขณะนี้ซูปี้ชิงทำได้แค่โบกมือสั่งป้าหลี่ ที่อยู่ข้างหลังตน “"ไปซะ… ไปพาป้าจางมาที่นี่”
“เ้าค่ะ”
หลังจากป้าหลี่จากไป มู่อวิ๋นจิ่นก็นั่งลงราวกับว่านางหมดความอดทนแล้ว สายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่ซูปี้ชิง
“ความอดทนของข้าไม่ค่อยดีนัก ข้าอาจจะเล่นกับท่านแม่ได้อีกสักครั้งหรือสองครั้ง ทว่าถ้ามีครั้งที่สามหรือสี่ บางทีข้าอาจจะเล่นสนุกมากกว่าที่ท่านคิดก็ได้...”
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ มีดสั้นในแขนเสื้อก็ถูกสะบัดออกด้วยความเร็วมหาศาล มันเสียบเข้าที่มวยผมที่เกล้าสูงของซูปี้ชิงอย่างแม่นมั่น
เมื่อรู้สึกว่ามีมีดสั้นติดอยู่ในหัวของตน ซูปี้ชิงก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวสุดประมาณ ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาที่จ้องมาของมู่อวิ๋นจิ่น ในดวงตาคู่นั้นดูหนาวเหน็บเ็า และเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวดุจขุมอเวจีอัดแน่นอยู่ในนั้น
‘ชีวิตของข้ามาถึงจุดที่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของคนที่ข้าดูถูกดูแคลน และเยาะเย้ยมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างนั้นหรือ!’
โชคชะตาชอบเล่นตลกกับผู้คนเหลือเกิน