ป้าเฉียนเป็คนระมัดระวังมาก
ในความเป็จริงแล้ว ไม่ผิดเลยที่เงินเดือนของคนงานที่ทำงานอยู่ในบ้านเศรษฐีเช่นนี้จะไม่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ขณะเดียวกัน ความกดดันในการทำงานก็สูงมาก ดังนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะไม่ระวังเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเต็มใจที่จะเสียงานที่มีเงินเดือนสูงเช่นนี้ไปหรอก
เธอค่อยๆ นึกย้อนถึงรายละเอียดทั้งหมด
“ตอนเช้า คุณหนูเยว่หรูกลับมารอบหนึ่งค่ะ แต่มาไม่นานก็ออกไป ปกติแล้วเธองานยุ่งมาก คนที่ลำบากที่สุดในครอบครัวก็คือเธอ บางครั้งเธอก็อยู่ทำงานจนดึก ไม่ได้กลับมาบ้านตระกูลหลี่ เธอมีอพาร์ทเม้นต์เล็กๆ อยู่ข้างบริษัทน่ะค่ะ...”
ป้าเฉียนเล่าไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่จ้าวอี้และคนอื่นมาถึง
จ้าวอี้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยหวังว่าจะพบอะไรในนั้น
“ตอนที่แขกมาถึงก็มาพร้อมกับนายน้อยเทียนิด้วย แขกอยู่ในห้องคุณชายใหญ่ไม่นานก็ไปที่ห้องรับแขก จากนั้นก็ออกไปพร้อมกับพ่อบ้าน...”
“ใน่เวลานี้คุณได้สังเกตไหมครับว่านายน้อยเทียนิกำลังทำอะไรอยู่?”
จ้าวอี้ตัดบทคำอธิบายของเธอ0ทันที
ป้าเฉียนนึกย้อนเล็กน้อย “เขาเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องนั่งเล่นค่ะ ตอนนั้นฉันก็อยู่ในห้องนั่งเล่นด้วย ่เวลานั้นเอง คุณหนูเยว่หรูก็กลับมาที่ห้องผู้ป่วย จากนั้นก็ส่งเสียงเรียกหมอดังลั่นเลยค่ะ นายน้อยเทียนิทิ้งโทรศัพท์แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องผู้ป่วย จากนั้นไม่นานคุณหมอประจำตระกูลก็เข้าไปค่ะ เข้าไปดูอาการอยู่ครู่หนึ่งและประกาศว่าคุณชายใหญ่ได้เสียชีวิตแล้ว”
“ใน่ดังกล่าว น้องชายของหลี่ต้าเฮิงอยู่ที่ไหน แล้วใครบอกข่าวนี้กับเขาเหรอครับ?”
“ตอนนั้นเขาน่าจะอยู่ในห้องหนังสือค่ะ คนที่บอกเป็บอดี้การ์ดของคุณชายใหญ่ สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายมาก ฉันเห็นอาหลงกับอาหู่ออกมาจากห้องผู้ป่วยด้วยกันด้วยค่ะ”
“งั้น่เวลานี้ หลี่เยว่หรูมีท่าทางยังไงบ้าง หลี่เทียนิล่ะครับ?”
“คุณหนูเยว่หรูเสียใจมากเลยค่ะ เธอซบลงร้องไห้อยู่บนตัวคุณชายใหญ่ แต่นายน้อยเทียนิยืนอยู่ด้านข้างโดยที่ไม่ร้องไห้หรือพูดอะไรเลย จนกระทั่งได้ยินข่าวคุณชายรองฆ่าตัวตาย นายน้อยเทียนิก็ผลักทุกคนออกแล้วรีบร้อนออกไปเหมือนคนบ้าเลยค่ะ”
“คุณเห็นแก้วน้ำที่ตกแตกในห้องนอนไหมครับ?”
“เห็นค่ะ”
“คุณเห็นครั้งแรกสุดเมื่อไรเหรอครับ?”
“หลังจากที่ได้ข่าวการเสียชีวิตของนายท่าน เดิมทีฉันอยากทำความสะอาดมันน่ะค่ะ แต่คุณหนูเยว่หรูไม่อนุญาต อีกทั้งเธอยังให้ฉันเริ่มเตรียมของที่ใช้ในงานรำลึกด้วย”
จ้าวอี้ตั้งใจฟังอย่างมาก คอยถามคำถามอยู่ตลอด ป้าเฉียนตั้งใจตอบคำถามอย่างจริงจังด้วยท่าทีสุภาพ
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของคุณนะครับ ถ้าพวกเรามีข้อสงสัยอะไร เราอาจ้าคำตอบจากคุณเพิ่มอีก หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะครับ” ท่าทางของจ้าวอี้เกรงใจมาก เขาจับมือป้าเฉียนก่อนจะปล่อยมือเธอ ท่าทางต่างกับหลี่เทียนิราวกับเป็คนละคน
“มีอะไรใหม่บ้างไหม?”
ฉือผิงฮุยที่ค่อนข้างกระวนกระวาย เขาหาว เห็นสายตาของจ้าวอี้มองมาที่เขา เขานั่งยืดตัวตรงทันที เอ่ยถามอย่างจริงจัง
“ตอนนี้เรายังไม่เจออะไร คิดว่าคงต้องกลับไปเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานของพวกเขาถึงจะหาข้อสงสัยในนั้นเจอ” จ้าวอี้ส่ายหน้า ฟังที่พวกเขาพูดอย่างเดียวมันยากที่จะได้ยินทุกอย่างจากพวกเขา เฉพาะผู้ที่เคยอบรมเฉพาะทางหรือผู้ที่เชี่ยวชาญการไขคดีที่มากประสบการณ์เท่านั้น ถึงจะมองหาข้อบกพร่องในนั้นได้
เช่นเดียวกับจ้าวอี้ ความช่างสังเกตของเขาเฉียบแหลมว่าคนทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตัดสินปัญหาได้ภายในคำพูดไม่กี่คำ
“งั้นพวกเราก็กลับแล้วไปวิเคราะห์คำให้การ?”
“รอก่อน ยังมีบอดี้การ์ดอีกสองคน”
อาหลงกับอาหู่ พวกเขาสองคนเป็พี่น้องกัน เข้าร่วมกองทัพด้วยกัน จากนั้นก็ปลดประจำการมาเข้าทำงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยชื่อดัง จากนั้นก็ถูกเลือกให้เป็บอดี้การ์ดประจำตัวของหลี่ต้าเฮิงด้วยเงินเดือนก้อนโต
“ช่วยเล่ารายละเอียดงานของพวกคุณกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นหน่อยสิครับ”
สำหรับทหาร จ้าวอี้ย่อมมีความรู้สึกที่ดีเป็ธรรมดา
“ได้เลย งานของพวกเราคือการปกป้องคุณชายใหญ่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ั้แ่คุณชายใหญ่ป่วย พวกเราก็อยู่แต่ในบ้านตระกูลหลี่ กลางวันจะอยู่ที่ประตูเพื่อรอคำสั่ง ส่วนกลางคืนประมาณเที่ยงคืนจะเป็อิสระมาก เวลาของพวกเราค่อนข้างว่างตอนอยู่ในบ้านตระกูลหลี่ คนในตระกูลหลี่ก็ไม่ได้บังคับพวกเรา แต่พวกเราได้รับเงินเดือนนี้มาจึงไม่อาจเมินเฉยได้”
คนที่พูดคืออาหลง ใบหน้าดูเฉลียวฉลาด แต่อาหู่ดูงุนงงเล็กน้อย เขาก้มหน้าไม่พูดไม่จา
สายตาของจ้าวอี้อยู่ที่ตัวเขา อาหลงเอ่ยอย่างรีบร้อน “อาหู่กังวลเื่อนาคตน่ะ เพราะคุณชายใหญ่เสียชีวิตแล้ว อีกหน่อยงานของพวกเรา...”
ในคำพูดของเขามีความเสียใจแฝงอยู่ เ้านายที่น่าเชื่อถือแบบนี้หาได้ไม่ง่ายเลย
จ้าวอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ
ทหารที่ปลดประจำการจากกองทัพ ถ้ามีเส้นสายอาจทำงานในรัฐบาลได้ แต่ในความเป็จริง มีคนไม่น้อยที่กลับบ้านไปทำไร่ และมีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่อยากเสียเวลาอยู่ในกองทัพ บอดี้การ์ดจึงเป็ทางออกที่ดีทางหนึ่ง
“ช่วยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่หลี่ต้าเฮิงเสียชีวิตหน่อยครับ”
“ตอนนั้น หลังจากคุณหนูเยว่หรูเข้าไป เธอก็ร้องเรียกหมอทันที พวกเรารีบผลักประตูเข้าไปก็เห็นคุณชายใหญ่ได้เสียชีวิตลงแล้ว ใน่นี้มีคนมากมายหลั่งไหลเข้าไปในห้องผู้ป่วย พวกเราได้รับคำสั่งจากคุณหนูเยว่หรูให้ไปแจ้งข่าวกับคุณชายรองที่กำลังดื่มชาอยู่ในห้องอาหาร ตอนที่ได้ยินข่าวนี้เขาเงียบมาก แล้วก็ให้พวกเราออกมาก่อน พอพวกเรากลับออกมาก็รออยู่สักครู่แต่คุณชายรองยังไม่มา เพราะงั้นพวกเราก็เลยจะไปดู เราได้พบจดหมายสั่งเสียของคุณชายรอง เขาดื่มยาพิษฆ่าตัวตายอยู่ในห้องอาหาร”
อาหลงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เขาเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น
คนที่ควรสอบปากคำก็สอบเสร็จหมดแล้ว จ้าวอี้อ่านแฟ้มคดี จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะกลับ ฉับพลันก็นึกถึงประโยคหนึ่งที่อาหลงพูดขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถาม “เมื่อครู่คุณเพิ่งพูดว่าั้แ่หลี่ต้าเฮิงป่วย หลังจากนั้นพวกคุณก็ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก ถ้าอย่างนั้นก็มีบางครั้งที่ต้องออกไปเหรอ?”
"ก็ประมาณนั้น คุณชายใหญ่เคยขอให้พวกเราไปคุ้มกันคุณเยว่หรูอยู่พักหนึ่ง ประมาณสองเดือนได้ แล้วคุณหนูเยว่หรูก็ให้พวกเรากลับมา"
“โอ้? ทำไมกันล่ะ?”
“ยังไงเราก็เป็คนของคุณชายใหญ่ แม้ว่าจะรับใช้บ้านตระกูลหลี่ แต่คุณหนูเยว่หรูก็มีบอดี้การ์ดที่อยู่ด้วยกันมานานอยู่ เธออาจจะไม่คุ้นเคย พวกเราเข้าใจความหมายของคุณชายใหญ่ดี เขาหวังให้พวกเรามีทางออกในอนาคต หลังจากที่หมอตัดสินว่าอาการป่วยของเขาแม้ว่าจะรักษายังไง ก็เกรงว่าจะยื้อไปได้ไม่ถึงปี...”
บอดี้การ์ดและคนขับรถพวกนี้เป็คนที่ไว้ใจได้ของนายใหญ่และเหล่าคนรวย ในแง่มุมหนึ่ง พวกเขามีความใกล้ชิดมากกว่าเลขา ดังนั้น วิธีการของหลี่ต้าเฮิงจึงสมเหตุสมผล มนุษย์เป็สิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์อ่อนไหว ผ่านการคบหามาเป็เวลานาน หลี่ต้าเฮิงคงหวังให้พวกเขามีอนาคตที่ดี
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของพวกคุณนะครับ...”
หลังออกมาจากบ้านตระกูลหลี่แล้ว งานรำลึกของสองพี่น้องตระกูลหลี่ยังคงดำเนินต่อไป ผู้คนยังมาร่วมงานกันไม่ขาดสาย เพียงแต่เื่ทั้งหมดไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับจ้าวอี้เลย
“ผู้ตรวจการฉือ ไม่ทราบว่ามีรายงานใหม่จากแผนกจราจรเข้ามาบ้างไหมครับ?”
ตอนที่นั่งอยู่บนรถ จ้าวอี้ก็นึกถึงเื่นี้ขึ้นมาได้
“วันนี้ผมออกมากับคุณนะ ทำไมเราไม่กลับไปถามที่แผนกเทคโนโลยีด้วยกันล่ะ”
“งั้นก็ได้”
เมื่อกลับมาถึงสถานีตำรวจ ทั้งสองคนก็มาแผนกเทคโนโลยีด้วยกัน
"หัวหน้า!"
เมื่อคนของแผนกเทคโนโลยีเห็นหัวหน้าหน่วยตรวจการมาถึง พวกเขาก็ทำความเคารพทักทายกันเป็ปกติ ซึ่งเป็เื่ที่ไม่ต้องพูดถึงเลย
“พาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของคดีการเสียชีวิตของหลี่ต้าเฮิงมาที แล้วข้อมูลจากแผนกจราจรส่งกลับมาหรือยัง?”
ฉือผิงฮุยออกคำสั่งอย่างคุ้นเคย
“มีสถานการณ์มาใหม่ครับ ภายใน่เวลาที่เกิดเหตุยี่สิบนาที พบรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ครับ นอกจากนี้ก็ไม่มีข้อมูลใหม่อะไรแล้วครับ”
“พอจะหาคนคนนี้ได้ไหม?”
ฉือผิงฮุยค่อนข้างดีใจ ข้อมูลนี้ไม่เลวเลย
“ผมเกรงว่ามันจะยากเกินไปน่ะครับ คนคนนี้สวมหมวกนิรภัยและไม่สามารถจำแนกใบหน้าได้ มอเตอร์ไซค์คันนี้เป็มอเตอร์ไซค์ของแบรนด์ที่ปริมาณการขายมากที่สุดในฮ่องกง อีกทั้งไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน หาก้าตรวจสอบ น่าจะต้องใช้เวลานานพอสมควรเลยครับ อีกทั้งไม่แน่นอนด้วยครับ”
เ้าหน้าที่ตำรวจของแผนกเทคโนโลยีอึกอัก ถ้า้าตรวจสอบจากมอเตอร์ไซค์ละก็ มันคงจะเป็คดีที่ยากมาก นี่ไม่ใช่แค่รถคันสองคัน สิบคันหรือร้อยคัน แต่เป็แสนคัน พื้นที่เท่าแมวดิ้นตายแต่มีประชากรสูงถึงเจ็ดล้านคน ปริมาณของมอเตอร์ไซค์ไม่น่าใเท่าไร พวกวัยรุ่นชอบยานพาหนะ และมอเตอร์ไซค์ก็ได้รับความนิยมมากกว่ารถยนต์
แต่เมื่อมันมีส่วนในการไขคดี ความยากลำบากก็เพิ่มมากขึ้น
ฉือผิงฮุยเกาหัว “ออกหนังสือแจ้งขอความร่วมมือไป ดูว่าสถานีท้องที่ไหนที่ยังไม่ได้รายงานเข้ามา ดูด้วยว่ามอเตอร์ไซค์ของใครหายหรือเปล่า ตามรอยนี้ไป ตรวจสอบไม่ได้เพราะมันยุ่งยาก ก็เลยไม่หางั้นเรอะ”
นี่คือการที่้าขยับปาก ด้านล่างขัดขา ตำรวจนายนี้ทำได้เพียงตอบรับอย่างช่วยไม่ได้
ตามหามอเตอร์ไซค์คันนี้จากจำนวนกว่าแสนคัน เป็การงมเข็มในมหาสมุทรอย่างไม่ต้องสงสัยเลย อีกทั้งอี้เกอยังจำกัดเวลา จ้าวอี้รู้ดีว่าวิธีนี้ใช้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว
จ้าวอี้เชื่อว่า การลอบสังหารพวกเขากับการฆาตกรรมหลี่ต้าเฮิงต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน ถ้าจับตัวฆาตกรได้ เราก็สามารถสาวถึงตัวผู้ที่อยู่เื้ัจากปากเขาได้ ถ้าเป็อย่างนั้นคดีนี้ก็จะปิดได้
แต่ความคิดเช่นนี้เป็เหมือนภาพลวงตา ชวนให้คนท้อแท้เสียจริง
หัวหน้าหน่วยตรวจการยังคงยุ่งมาก เขาไม่อาจจดจ่ออยู่กับคดีเบื้องหน้าได้ เขาบอกลูกน้องของตนว่าให้ความร่วมมือกับจ้าวอี้ จากนั้นเขาก็หายตัวไป
จ้าวอี้ไม่้าอะไรเพิ่มอีก เพียงพลิกแฟ้มคดีและอ่านคำให้การของคนเ่าั้อย่างคร่ำเคร่งกับคนกลุ่มหนึ่ง ด้วยหวังว่าจะพบความคืบหน้า
เขาจำลองคดีที่เกิดขึ้นในสมอง จากนั้นก็เปรียบเทียบกับคำให้การของพวกเขา เื่ทั้งหมดค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฆาตกรอาจไม่ใช่โจวเหวินิก็ได้ โจวเหวินิไม่มีแรงจูงใจมากพอให้ก่อเหตุ สถานะทางการเงินของเขาเองก็ดี เงินเดือนก็ไม่น้อย เพียงพอให้เขาและครอบครัวมีใช้จ่าย
ถ้าอย่างนั้น ผู้บงการก็มีเพียงคนในบ้านตระกูลหลี่แล้ว
จ้าวอี้มองรูปบนโต๊ะ สายตาแล่นไปอย่างไม่หยุด
หลี่เยว่หรูในรูปภาพท่าทางสูงส่งและเ็า ฉลาดหลักแหลม หลี่เทียนิดูไม่เอาไหน ใบหน้าของหลี่ต้าเฮิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ปิดไว้ไม่อยู่ ส่วนคุณชายรองดูเหมือนโจร...คนเหล่านี้ปรากฏอยู่ในสมองของจ้าวอี้อย่างผิวเผิน ราวกับเขา้าให้รูปภาพเหล่านี้ประทับในสมอง
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็ตกอยู่ที่คำให้การสองชุด
ข้อมูลชุดหนึ่งที่ไม่ดึงดูดตกอยู่ในสายตาของจ้าวอี้
เห็นได้ชัดว่าตามคำให้การนั้น มีความแย้งกันอยู่เล็กน้อย แม้จะความขัดแย้งที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่จ้าวอี้ก็คิดว่าสำคัญมาก
นั่นก็คือ ตามคำให้การของป้าเฉียน ตอนที่หลี่ต้าเฮิงเสียชีวิต สถานการณ์วุ่นวายมาก หลี่เยว่หรูร้องไห้ซบอยู่บนตัวของเขาตลอด การตอบสนองเช่นนี้ปกติมาก อย่างน้อยก็ในมุมมองของจ้าวอี้
แต่หลี่เยว่หรูกลับพูดว่า ในระหว่างนี้ เธอให้บอดี้การ์ดของหลี่ต้าเฮิงไปบอกคุณชายรอง เช่นเดียวกับบอดี้การ์ดของหลี่ต้าเฮิงที่พูดเหมือนกันว่า พวกเขาไปแจ้งข่าวกับคุณชายรองตามคำขอของหลี่เยว่หรู
คำถามก็คือ ความแตกต่างอันเล็กน้อยนี้ ป้าเฉียนมองข้ามไปหรือมีคนกำลังโกหกอยู่?
ด้วยสัญชาตญาณที่มี จ้าวอี้พลันอยากให้ใครสักคนเรียกป้าเฉียน เพื่อสอบถามรายละเอียดอีกครั้ง
ตอนนี้หลี่เยว่หรูยุ่งมาก แต่ในขณะที่คนรับใช้อย่างป้าเฉียน เธอสามารถออกมาให้ปากคำได้
เพิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จ้าวอี้ก็วางลงมันลงไปอีก
เขาไม่ควรรีบร้อนขนาดนี้
ไม่ว่าคนบงการจะเป็ใคร คนคนนั้นจะต้องเป็คนที่มิจิตใจโเี้อย่างไม่ต้องสงสัย จากการที่ส่งคนไปลอบสังหารพวกเขาแล้ว ก็พอจะมองจุดนี้ออกว่า คนคนนั้นคิดจะโยนความผิดให้โจวเหวินิทั้งหมด ดังนั้นจ้าวอี้จึงคิดว่าเขาต้องระวังไว้ให้ดี