รถฉุกเฉินนำตัวซุนปอกับไช่เว้ยตงไปส่งโรงพยาบาลแล้ว
เพราะฉะนั้น คาบภาษาอังกฤษก็เลยกลายเป็คาบทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองไปโดยปริยาย
แม้จะมีคนจำนวนมากติฉินนินทาการกระทำของฉินหลางกับรั่วปิน แต่ด้วยความที่รั่วปินมีความเป็ตัวของตัวเองสูงมาก จึงไม่ได้สนใจว่าใครจะมองยังไง ยังคงยืนกรานจะนั่งข้างฉินหลางดังเดิม ทั้งสองต่างก็เล่าเื่ราวของตัวเองหลายๆ ปีมานี้ให้อีกฝ่ายฟัง
ความจริงแล้ว รั่วปินไม่ได้เห็นฉินหลางเป็คนพิเศษเพราะความดูดี หรือมีเสน่ห์หรอก แต่เพราะพวกเขารู้จักกันมาก่อนอยู่แล้วต่างหาก และตอนนั้นยังเป็เพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกันอีกด้วย
เื่ราวผ่านมากว่า 13 ปีแล้ว ตอนนั้นทั้งฉินหลางและรั่วปินเรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลดอกทานตะวัน เพราะปกติแล้วรั่วปินจะขี้มูกโป่งตลอด ทำให้เพื่อนๆ ต่างก็เรียกเธอว่า ‘ยัยเด็กขี้มูกโป่ง’ และแทบจะไม่มีใครยอมเล่นกับเธอเลย ฉินหลางเป็เพื่อนรักคนเดียวของเธอ ทุกครั้งที่รั่วปินโดนนักเรียนชายคนอื่นๆ รังแกฉินหลางก็จะเป็คนที่เข้ามาช่วยเธออยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ รั่วปินจึงเรียกเขาว่า ‘เสี่ยวจินกัง’ ตามซูเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนที่เขาชอบดู สำหรับรั่วปินแล้วนับั้แ่ตอนนั้น ‘เสี่ยวจินกัง’ ก็ได้กลายเป็ฉายาของฉินหลางมาจนถึงทุกวันนี้
ตอนยังเรียนอนุบาลกันอยู่ ‘เด็กขี้มูกโป่ง’ กับ ‘เสี่ยวจินกัง’ เปรียบได้กับคู่รักที่โตมาด้วยกัน นอกจากนี้พวกเขายังเคยเล่น ‘เกมแต่งงาน’ กันด้วย เป็เพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของกันและกัน
แต่น่าเสียดาย…เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ผ่านไปเพียงหกเดือนเท่านั้น แม่ของรั่วปินก็พาเธอย้ายไปจากโรงเรียนอนุบาลดอกทานตะวัน ั้แ่นั้นเป็ต้นมา ฉินหลางและรั่วปินก็ไม่เคยได้พบกันอีกเลย
ในที่สุดตอนนี้ก็ได้กลับมาเจอกันอีก ทั้งคู่พูดถึงเื่ตอนเป็เด็ก ทั้งสองรู้สึกสนิทสนมกันเป็พิเศษ ราวกับได้เอาความบริสุทธิ์ และความไร้เดียงสาของพวกเขาในวันวานกลับมาอีกครั้ง
แต่—
ในใจฉินหลางรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็สุข ‘์ทำกับผมแบบนี้ ท่านจะดีกับผมเกินไปรึเปล่า! ท่านเพิ่งให้ผมได้เจอรักแรกพบอย่างอาจารย์เถา ทำไมเผลอแป๊บเดียว ท่านก็ส่งความรักใสใส ทั้งเชื่อใจและไว้ใจกันมาให้ผมอีก ท่านทำแบบนี้จะบีบให้ผมเป็เดรัจฉานเหรอ!’
“ใครชื่อฉินหลาง?”
จู่ๆ ก็มีตำรวจสองคนเดินเข้ามาในห้องเรียน
นักเรียนทุกคนหันไปมองหน้าฉินหลางพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย ในขณะที่ฉินหลางนั้น ยังไม่รู้ตัวเพราะเขากำลังหยอกล้ออยู่กับรั่วปินอย่างสนุกสนาน
จนกระทั่งตำรวจสองนายเดินมาถึงตรงหน้าฉินหลาง เขาจึงถามขึ้นว่า “คุณอาตำรวจ นี่พวกคุณจะทำอะไรน่ะ?”
“ฉินหลางใช่ไหม?” ตำรวจคนอื่นพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ใช่ครับ” ฉินหลางพยักหน้า
“งั้นก็ถูกแล้ว” ตำรวจอีกคนหนึ่งหยิบกุญแจมือออกมา “ยื่นมือออกมาเถอะ! นายถูกจับข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไป! ไปโรงพัก!”
“ไอ้ตัวดี ไช่เว้ยตง มาหาเื่เร็วขนาดนี้เลยเหรอ” ฉินหลางหัวเราะเย็นะเืในใจ แต่ฉินหลางไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับตำรวจทั้งสอง ยอมให้ใส่กุญแจมือแล้วเดินตามตำรวจสองนายนั้นออกไป เพียงแต่ก่อนที่จะเดินตามทั้งคู่ออกไป ฉินหลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกก่อนหนึ่งสาย
“รอเดี๋ยว—ฉันขอไปด้วยคน!” รั่วปินกล่าวขึ้น
“นักเรียน เธออยู่ที่นี่แหละ ตั้งใจเรียนนะ เื่นี้มันไม่เกี่ยวกับเธอ!” ตำรวจตอบรั่วปินด้วยกิริยาที่ไม่สุภาพ
“ไม่เป็ไร รั่วปิน ฉันไม่เป็อะไรหรอก” ฉินหลางบอกรั่วปินด้วยรอยยิ้ม “เธอลืมไปแล้วเหรอ ตอนเด็กเรามีเื่ต่อยตีกับใครๆ ฉันเคยเสียเปรียบด้วยเหรอ”
“ฉันรู้” รั่วปินพยักหน้า
หลังจากฉินหลางถูกตำรวจนำตัวไปแล้ว จ้าวเหว่ยก็แอบมานั่งบนที่นั่งฉินหลาง ก่อนจะหันไปถามรั่วปิน “รั่วปิน เธอรู้จักกับฉินหลางได้ยังไง?”
“เกี่ยวอะไรกับนายไม่ทราบ!” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของรั่วปิน ก็ดูเยือกเย็นเหมือนดังเดิม จ้าวเหว่ยตกตะลึง แอบด่าตัวเองในใจ ทำไมต้องหาเหาใส่หัวด้วย ลืมไปได้ยังไงว่าปกติรั่วปินเป็คนที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
รั่วปินเดินออกจากห้องเรียนเงียบๆ จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์มาโทรออก “พ่อ หนูเองนะคะ รั่วปิน… เพื่อนสนิทหนูโดนตำรวจจับไปแล้ว หนูอยากให้พ่อรับประกันความปลอดภัยให้เขาหน่อย… หนูไม่อยากให้ใครมารังแกเขา…หนูไม่สนใจหลักการของพ่อ… เอาเป็ว่าพ่อจะต้องตกลง! เขา…เขาเป็เพื่อนที่ดีที่สุดของหนู!”
※※※
พูดไปแล้ว ฉินหลางก็นับว่าเป็แขกประจำของโรงพักแล้ว
แม้ว่าสถานีตำรวจเขตหนานเจียจะไม่ใช่หลูจินแล้ว แต่ดูเหมือนคนที่เพิ่งได้เลื่อนมาอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานีตำรวจคนใหม่นี้ ก็ไม่ถูกชะตากับฉินหลางเหมือนกัน
ตอนนี้ผู้อำนวยการโรงพักคนใหม่คนนี้ก็อยู่ในห้องสอบสวนด้วย เขาจะสอบสวนฉินหลางด้วยตัวเอง
ผู้อำนวยการสถานีตำรวจคนใหม่ชื่อเฉินกวงหยี อายุราวๆ สามสิบสองปี ความจริงคดีแบบนี้เขาไม่ต้องมาสอบปากคำเองก็ได้ แต่ที่เขาต้องมาสอบปากคำฉินหลางด้วยตัวเอง เพราะเมื่อสักครู่เขาเพิ่งได้รับสายจากคนสำคัญคนหนึ่ง เขาจึงมาสอบปากคำฉินหลางเอง เพื่อเอาใจผู้บังคับบัญชา
“ชื่อ? อายุ?”
เฉินกวงหยีเป็คนถามฉินหลาง ในขณะที่ข้างกายมีตำรวจอีกคนที่คอยจดบันทึก
“ผมทำผิดข้อหาอะไร พวกคุณถึงต้องใส่กุญแจมือ” ฉินหลางถามกลับ
ปัง!
เฉินกวงหยีตบโต๊ะแรงๆ “บิดาถามอะไร แกก็ต้องตอบแค่นั้น!”
“ใหญ่มากเลยเนอะ” ฉินหลางหัวเราะเสียงเย็นะเื “ท่านผู้อำนวยการ คุณเพิ่งจะได้เลื่อนขึ้นมาไม่นานละสิท่า ผมเตือนคุณไว้สักอย่างนะ ถ้าคุณอยากจะอยู่บนตำแหน่งนี้นานๆ ล่ะก็ *อย่าเป็ปืนให้คนอื่นใช้”
ฉินหลางต้องรู้อยู่แล้วว่าที่เขาทำแบบนี้ เพราะมีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับครอบครัวไช่เว้ยตงแน่นอน เมื่อก่อนฉินหลางเคยได้ยินจ้าวเหว่ยพูด ว่าเ้าไช่เว้ยตงคนในชีจงต่างก็เรียกว่า ‘คุณชายไช่’ เพราะบ้านเขาเป็แบ็กชั้นดี
แต่ถ้าไช่เว้ยตงอยากจะแข่งกับเขาเื่แบ็กแล้วล่ะก็ เขา ฉินหลางก็ไม่เคยกลัว
“เ้าหนู นี่แกกล้าขู่ฉันเหรอ?” เฉินกวงหยีสบถด้วยความไม่สบอารมณ์ “มาถึงที่นี่แล้ว แกยังกล้าทำตัวหยิ่งผยองอีก! ฉันจะเตือนแกอีกครั้ง ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวล่ะก็ ฉันถามอะไรแกก็ตอบอย่างนั้น!”
“ผมไม่ชินกับการสอบปากคำในขณะที่ถูกใส่กุญแจมือ” แน่นอนว่าฉินหลางไม่กลัวอยู่แล้ว เขาเพียงรู้สึกไม่เป็ธรรมชาติไปทั้งตัว
“เ้าหนู ฉันว่าแกกำลังวอนหาเื่เจ็บตัว—อยากโดนตีน!” เฉินกวงหยีหันไปส่งสายตาให้ตำรวจที่อยู่ข้างกาย
ตำรวจคนดังกล่าวอยากอวดตนต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ะโขึ้น “นี่แกยังกล้าทำร้ายตำรวจอีกเหรอ! จากนั้นเอื้อมมือไปตบฉินหลาง ตำรวจคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ ด้วย ก่อนจะลงมือทำร้ายเขา ยังจะเอาข้อหาทำร้ายมาครอบไว้ให้เขาก่อนด้วย แค่ ‘ทำร้ายตำรวจ’ ก็มีโทษหนักมากแล้ว ต่อให้พวกเขาซ้อมฉินหลางจนปางตาย พวกเขาก็ไม่มีความผิด
“เ้าหมอนี่มันเลวจริงๆ!” ฉินหลางหัวเราะอย่างเยือกเย็น เพื่อเลียแข้งเลียขาถึงกับลงมือกับนักเรียนมัธยมแบบนี้เลยเหรอ เพียงแต่ฉินหลางก็ไม่ได้เป็นักเรียนธรรมดาหรอกนะ จะให้ตำรวจคนนั้นตบหน้าเขาง่ายๆ ได้ยังไง เขาเอนตัวไปข้างหลังเบาๆ ทั้งคนทั้งเก้าอี้เอนไปด้านหลัง ทำให้สองขาหน้าของเก้าอี้ยกขึ้น เหลือเพียงสองขาหลังของเก้าอี้ที่ยังคงยืนอยู่อย่างมั่นคง ทำให้ตำรวจคนดังกล่าวตบโดนเพียงอากาศเท่านั้น ส่วนฉินหลางยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจเฉิบ
เวลานี้มือของฉินหลางถูกใส่กุญแจมืออยู่ ตำรวจคนดังกล่าวยังตบไม่โดนฉินหลางอีก นั่นทำให้เขารู้สึกขายหน้ามาก กำลังคิดว่าจะกระโจนไปใส่ฉินหลางเหมือนหมาบ้า เพื่อสั่งสอนฉินหลางหนักๆ สักยก ก็ได้ยินเสียงที่หยิ่งผยองดังขึ้นจากข้างนอก “ผู้อำนวยการเฉินล่ะ! เฉินกวงหยีอยู่ไหน?”
นี่เป็เสียงของผู้หญิงวัยกลางคน เป็เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความอาฆาต
เหมือนว่าเฉินกวงหยีจะรู้จักเ้าของเสียงนี้ เขาขมวดคิ้วก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตูห้องสอบสวน
เมื่อประตูเปิดออก ก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ดูมีฐานะพุ่งเข้ามาในห้องสอบสวนด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ข้างตัวผู้หญิงคนดังกล่าว ยังมีตำรวจวัยกลางคนที่สวมชุดเครื่องแบบเต็มยศ ดูจากดาวบนบ่าแล้ว น่าจะเป็ผู้บังคับบัญชาของเฉินกวงหยี
*อย่าเป็ปืนให้คนอื่นใช้ : อย่าเป็เครื่องมือให้กับคนอื่น/ออกหน้าหาเื่แทนคนอื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้