หนิงมู่ฉือเข้าไปขวางจ้าวซีเหอที่กำลังจะตักน้ำแกงกระดูกหมูใส่ถ้วย ก่อนจะเอ่ยว่า “ซื่อจื่ออย่าเพิ่งใจร้อนสิเ้าคะ รอข้าตักคราบน้ำมันบนน้ำแกงออกให้หมดก่อน ท่านค่อยตักใส่ถ้วย”
จ้าวซีเหอพยักหน้า สายตาจ้องการกระทำทุกอย่างของหนิงมู่ฉือไม่ละสายตา
หนิงมู่ฉือเบ้ปาก “ท่านไปจัดการทำความสะอาดปลาตรงนั้นให้ข้าที อีกประเดี๋ยวข้าต้องใช้มัน”
จ้าวซีเหอได้ฟังก็มองหนิงมู่ฉืออย่างจนปัญญา ทว่าก็ไม่สามารถทำอันใดได้ จำต้องเดินไปที่ปลาตัวนั้น ใช้น้ำสะอาดล้างท้องปลาเพื่อล้างเอาเืออก
หนิงมู่ฉือมองน้ำแกงกระดูกหมูที่อยู่ในหม้อด้วยความภาคภูมิใจ ขณะตักกระดูกหมูสามสี่ชิ้นใส่ถ้วย ตามด้วยน้ำแกง จากนั้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวซีเหอ มองเขากำลังล้างเืออกจากตัวปลาด้วยรอยยิ้มบางๆ “เห็นแก่ที่ท่านมาช่วยเป็ลูกมือข้า ข้าจะให้ท่านทานกระดูกหมูสามสี่ชิ้น”
จ้าวซีเหอยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน ด้านหนิงมู่ฉือยังคงมองจ้าวซีเหอล้างทำความสะอาดปลาอย่างขมักเขม้น ไม่นานก็เอ่ยออกมาว่า “นี่หรือคือวิธีการจัดการปลากุ้ยอวี๋ของท่าน”
จ้าวซีเหอมองหนิงมู่ฉืออย่างงุนงงพลางพยักหน้า “ใช่ ข้าทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในออกมาหมดแล้ว”
หนิงมู่ฉือกลอกตา พูดคำใดไม่ออก แย่งปลามาจากจ้าวซีเหอ ก่อนจะลงมือขอดเกล็ดปลา “เกล็ดปลาหนาเช่นนี้ เหตุใดท่านถึงไม่ขอดเกล็ดมันออกก่อน อีกอย่างท่านต้องเอาน้ำดีออกด้วย เพราะมันทานไม่ได้”
จ้าวซีเหอล้างมือจนสะอาดเอี่ยม แล้วถึงค่อยยกถ้วยน้ำแกงกระดูกหมูขึ้นมาซดหนึ่งคำ “ต้องทำถึงขั้นนั้นเลยหรือ”
“ท่านกำลังไม่เคารพวัตถุดิบอยู่นะ รู้หรือไม่” หนิงมู่ฉือมีท่าทีไม่พอใจกับท่าทางไม่ใส่ใจของจ้าวซีเหอ
จ้าวซีเหอรู้สึกว่าน้ำแกงกระดูกหมูถ้วยนี้รสชาติดีมาก น้ำแกงซึมเข้าไปในกระดูกหมู ดื่มเข้าไปแล้วรสชาติอร่อยกำลังดี กระดูกหมูก็ต้มจนเปื่อยนุ่มได้ที่
“แค่เปลี่ยนเป็ปลาชนิดอื่นก็ใช้ได้แล้ว เหตุใดต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น ตำหนักอ๋องมีมากสุดก็คือเงิน ก็แค่ปลาตัวเดียวเท่านั้นเอง”
หนิงมู่ฉืออ่อนอกอ่อนใจกับความสิ้นเปลืองของจ้าวซีเหอ แค่นเสียงฮึใส่เขา ก่อนจะตักน้ำแกงกระดูกหมูใส่ถ้วยใบใหญ่เพื่อนำไปให้ผู้ดูแลห้องครัว
ทว่าเดินไปถึงหน้าประตู นางก็ถูกจ้าวซีเหอจับชายแขนเสื้อเอาไว้เสียก่อน เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ฉือเอ๋อร์ ผู้ดูแลห้องครัวมักจะทำให้เ้าต้องลำบากใจอยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่”
นางได้ฟังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แม้ผู้ดูแลห้องครัวจะชอบทำให้นางลำบากใจ ทว่าใจจริงก็เป็คนดีคนหนึ่ง นางจำได้ไม่มีวันลืมว่าตอนที่นางเข้ามาเป็บ่าวในตำหนักอ๋องใหม่ๆ อีกฝ่ายดูแลเอาใจใส่นางดีมาก
“ไม่ใช่เ้าค่ะ พวกเราแค่ทะเลาะกันบ้างเป็บางคราวเท่านั้น ตลอดมาท่านผู้ดูแลปฏิบัติต่อข้าได้ไม่เลว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” จ้าวซีเหอส่งยิ้มตอบกลับมาให้
หนิงมู่ฉือถือถ้วยน้ำแกงกระดูกหมูอย่างระมัดระวังตรงไปยังห้องของผู้ดูแลห้องครัว ครั้นผู้ดูแลห้องครัวได้กลิ่นหอมของน้ำแกง ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ชะเง้อมองไปยังทิศทางที่กลิ่นโชยมา
นางผลักประตูเปิดเข้าไป เห็นผู้ดูแลห้องครัวกำลังนั่งอยู่ด้วยสีหน้ารอคอย นางจึงส่งยิ้มไปให้ “ท่านผู้ดูแล เหตุใดถึงลุกขึ้นมาหรือเ้าคะ”
ผู้ดูแลห้องครัวมีสีหน้ารำคาญใจขณะเอ่ยตอบ “ข้าปวดหัวมาก นั่งก็ปวด นอนก็ปวด อยากหาใครสักคนอยู่พูดคุยกับข้า เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องสนใจความเ็ป”
นางยกน้ำแกงกระดูกหมูไปตรงหน้า มองผู้ดูแลห้องครัวทานอย่างเอร็ดอร่อย นี่ทำให้นางนึกถึงมารดาขึ้นมา หากมารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีโอกาสได้ทานอาหารฝีมือของนางเป็แน่
ผู้ดูแลห้องครัวมองหน้าหนิงมู่ฉือ ก่อนจะวางถ้วยน้ำแกงลง “แม่นางหนิง เ้ารับปากข้าเื่หนึ่งได้หรือไม่”
“เื่ใดหรือเ้าคะ” สีหน้านางเต็มไปด้วยคำถาม
ผู้ดูแลห้องครัวมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “เ้าก็รู้ว่าข้าเป็คนเก่าคนแก่ของตำหนักแห่งนี้ ข้าจึงไม่อยากออกไปจากที่นี่ แต่การมาของเ้าทำให้ข้ารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของตำแหน่งของข้า เช่นนั้น…”
“ท่านผู้ดูแลวางใจเถิดเ้าค่ะ เื่นี้ข้ารู้ว่าต้องถอยให้ท่าน” นางเอ่ยพร้อมกับยิ้มบางๆ
ผู้ดูแลห้องครัวเห็นเช่นนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “หลายวันมานี้ เป็เพราะข้าอิจฉาเ้า กลัวว่าเ้าจะมาแย่งตำแหน่งของข้าไป เลยกลั่นแกล้งเ้าสารพัด“
“หึๆ ส่วนข้าก็กลัวว่าท่านจะกล่าวหาว่าข้าใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง” นางนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของผู้ดูแลห้องครัว สีหน้าเปลี่ยนเป็ลำบากใจเหลือแสน
เห็นผู้ดูแลห้องครัวทำท่าจะพูดต่อ ทว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว นางยิ้มพร้อมกับชิงกล่าวขึ้นมาก่อน “ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะท่านผู้ดูแล อย่างไรเื่มันก็ผ่านไปแล้ว นี่ก็เย็นมากแล้ว ท่านพักผ่อนเถิด โปรดระวังสุขภาพด้วย”
กล่าวจบ นางขบคิดได้ว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าวังเพื่อแข่งขันกับพ่อครัวหลวง จึงรู้สึกเครียดขึ้นมาในทันใด
นางหอบจิตใจที่ไม่สงบกลับไปที่ห้อง คืนนั้นทั้งคืนนางนอนหลับไม่สนิท สะดุ้งตื่นอยู่หลายครา
ไม่ง่ายเลยกว่าจะผ่านพ้น่เวลากลางคืนมาได้ เช้าวันต่อมานางมองขอบตาดำคล้ำและสีหน้าเหน็ดเหนื่อยของตัวเองหน้าคันฉ่อง นางยกมือลูบผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของตัวเองขณะพึมพำ “แย่จริง”
นางมองออกไปนอกหน้าต่าง ปรากฏว่ามีฝนตกพรำๆ ในใจนางรู้สึกไม่สดชื่นเอาเสียเลย นางเริ่มลงมือเก็บของ เสร็จเรียบร้อยก็เดินออกไปด้านนอก พบว่าจ้าวซีเหอมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว
จ้าวซีเหอสวมชุดสีขาวขุ่น เมื่อยืนท่ามกลางหมอกยามเช้าเช่นนี้ ทำให้ดูคล้ายราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน เขาส่งยิ้มบางๆ มาให้ แววตาดอกท้อช่างดูน่าหลงใหล ริมฝีปากบางขยับเอื้อนเอ่ยวจี “ฉือเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถิด”
หนิงมู่ฉือเห็นท่าทางเช่นนั้นของจ้าวซีเหอ ในใจรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปหมด มองเขายื่นมือมาหานาง นางค่อยๆ ยื่นมือไปวางบนมือใหญ่ของเขาอย่างเขินอาย
ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถม้า นางนั่งอยู่ภายในรถม้าคันเดียวกับเขา ชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่ง นางไม่เคยเห็นเขามีท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อนเลย
“หากไปถึงวังหลวงแล้ว เ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี การแข่งขันกับพ่อครัวหลวงครั้งนี้ต้องมีคนมากมายรอเยาะเย้ยเ้าอยู่เป็แน่” จ้าวซีเหอเอ่ยอย่างเป็ห่วง
หนิงมู่ฉือมีแผนในใจอยู่แล้ว “ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ”
รถม้าวิ่งผ่านประตูสีแดงสดเข้ามาได้สักพักก็หยุดวิ่ง จ้าวซีเหอพานางลงจากรถม้า แล้วเป็จริงตามคาด พวกเขาได้เจอ “คนคุ้นเคย” มากมาย
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่รีบเดินไปยังตำหนักที่ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินประทับอยู่ องค์หญิงซีเยวี่ยกลับหันมามองจ้าวซีเหอ แววตาเต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนหวาน
ทว่าเมื่อสายตาเลื่อนไปยังหนิงมู่ฉือที่อยู่ข้างกาย แววตาพลันเปลี่ยนไป หนิงมู่ฉือรับรู้ได้ว่าองค์หญิงซีเยวี่ยกำลังมองมาที่ตัวเองอย่างไม่เป็มิตร นางจึงหันไปจ้องมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา
องค์หญิงซีเยวี่ยรีบก้มหน้า เดินไปยังสถานที่แข่งขันอย่างรวดเร็ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้