ฮูหยินหลี่ทนรอไม่ไหว วันต่อมาก็รีบถือไหผักดองที่ดองเสร็จแล้วใบโตมาที่เรือนสกุลสวี่
เมื่อคืนสวี่เหรากลับมาก็พูดเื่เอวของอาลักษณ์หลี่ ถามนางว่ามียาทาที่เหมาะสมหรือไม่ จางจ้าวฉือก็บอกว่าเื่นี้จะต้องดูก่อนถึงจะสามารถยืนยันได้ เช่นนี้ฟังแล้วเหมือนหมอนรองกระดูกสันหลังอักเสบ ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะเป็โรคอื่นหรือไม่? ผลสรุปตื่นมาตอนเช้า ตอนที่กำลังทานข้าวเช้าได้ไม่นาน ป้าจ้าวที่อยู่ตรงหน้าประตูเรือนมาแจ้งว่าฮูหยินของอาลักษณ์หลี่มาหา ทั้งยังเอาไหขนาดใหญ่มาด้วย
จางจ้าวฉือรีบออกไปต้อนรับ สำหรับฮูหยินของอาลักษณ์หลี่ผู้นี้ จางจ้าวฉือชอบมาก นางนิสัยหนักแน่น สั่งสอนลูกๆ กี่คนก็ดี จางจ้าวฉือชอบลูกสาวคนเล็กของพวกเขามากที่สุด อีคิวก็สูง พูดคุยกับนางแล้วรู้สึกสบายใจมากเป็พิเศษ
ลูกสาวสองคนของอาลักษณ์หลี่ คนโตนามว่าหลี่เยว่หลิน คนเล็กนามว่าหลี่เยว่ซี หลี่เยว่หลินเป็คนอ่อนโยน ขี้อายเล็กน้อย ถึงแม้ว่าแต่ก่อนจะเคยติดตามมารดาของตนเองมาที่เรือนสกุลสวี่มาก่อน แต่ว่าตอนที่มาอีกครั้งก็ยังไม่เลิกเขินอาย ส่วนหลี่เยว่ซีนั้นไม่เหมือนกัน ดูแล้วเป็คนใจกว้าง ตอนที่เล่นกันสวี่จือก็สามารถพูดคุยกันได้ทุกเื่
ฮูหยินหลี่จะพูดธุระกับจางจ้าวฉือ ซึ่งจางจ้าวฉือก็สั่งให้สวี่จือพาคุณหนูทั้งสองคนออกไปก่อน โดยให้แม่นมลู่ไปที่เรือนเพาะชำที่เรือนหลังด้วยกัน เพื่อดูสวี่ตี้ปลูกผัก
ฮูหยินหลี่เห็นว่าในห้องมีเพียงตนเองกับจางจ้าวฉือแล้ว ก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกเกรงใจว่า “ฮูหยินสวี่เ้าคะ ที่ข้ามาในวันนี้คืออยากจะเชิญให้ท่านมาตรวจเอวให้กับสามีของข้า เขาปวดมาหลายปีแล้ว พออากาศเย็นลง บางครั้งก็ปวดจนไม่สามารถยืดเอวได้ ใจข้านี่อยากจะปวดแทนเขาจริงๆ เ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือหัวเราะก่อนจะเอ่ยเย้า “ไอ๊หยา ฮูหยินหลี่ ท่านมาปล่อยความหวานของคู่ท่านใส่ข้าหรือไร?”
ฮูหยินหลี่ได้ยินจางจ้าวฉือพูดหยอกล้อนางถึงได้ผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนจะเอ่ย “พวกเราก็เป็ภรรยาแก่ๆ กันแล้ว จวนจะมีหลานอยู่แล้ว จะมาปล่อยความหวานใส่ท่านทำไมกันล่ะเ้าคะ ท่านอย่ามาหยอกล้อข้าเลยเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือหัวเราะฮ่าๆ “ได้ แต่ว่าข้าจะต้องไปตรวจใต้เท้าหลี่ของพวกเ้าด้วยตัวเองนะ ดูว่าอะไรที่ทำให้เขาปวดเอว”
ฮูหยินหลี่เอ่ย “เื่นี้มันแน่นอนอยู่แล้วเ้าค่ะ รอพวกเขาผ่านงานยุ่งๆ ่นี้ไปก่อน ข้าจะพาสามีมาให้เ้าดู หลายปีมานี้พวกเราเองก็ไม่ใช่ไม่ได้จ้างหมอมาตรวจเลย ไม่เพียงแค่หมอที่เหอซี แม้แต่หมอเลื่องชื่อของก่านโจว พวกเราก็เคยไปตรวจมาแล้ว กินยามาก็ไม่น้อย แต่ไม่ค่อยจะได้ผล ข้าน่ะก็ไม่กลัวว่าท่านจะหัวเราะเยาะหรอกนะเ้าคะ ครอบครัวพวกเราน่ะมาจากเจียงหนานมาถึงสถานที่ยากแค้น เพื่ออะไรน่ะหรือ ก็เพื่อให้สามีของข้ามีงานทำที่นี่ สามารถเลี้ยงพวกเราทั้งครอบครัวได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะมาที่นี่ทำไมกันล่ะเ้าคะ?”
ฮูหยินหลี่เอ่ยต่อ “ฮูหยินสวี่ สามีของข้าเป็เสาหลักของครอบครัวของพวกเรา หากเขาล้มลง ครอบครัวของพวกเราก็คงจะไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ ข้ารู้ว่าความสามารถด้านการแพทย์ของท่านสูงส่ง เดิมไม่อยากจะมารบกวนท่าน ก็กลัวแต่ว่าท่านจะรู้สึกลำบาก แต่เมื่อคืนวานสามีของข้ากลับมาพูดกับข้าเื่นี้ ตัวข้าน่ะดีใจมากเลยนะเ้าคะ หากท่านลงมือข้ารู้สึกว่าเื่นี้จะต้องสำเร็จ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ฮูหยินหลี่ หมอที่ไหนก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสามารถรักษาคนไข้ของตนเองให้หายขาดได้นะเ้าคะ ข้าไม่กล้ารับปากอะไรกับท่าน ข้าทำได้แค่พูดกับท่านว่าข้าจะพยายามให้ถึงที่สุด พยายามรักษาใต้เท้าหลี่ให้ถึงที่สุด ท่านว่าอย่างไร?”
ฮูหยินหลี่ยิ้มแล้วเอ่ย “มีท่านรับประกันข้ายังมีอะไรไม่วางใจอยู่อีกหรือเ้าคะ? เอาล่ะ พวกเราไม่พูดเื่นี้กันแล้ว ข้ามาพูดกับท่านว่าทำผักดองอย่างไรให้อร่อยดีกว่า ข้าจะบอกกับท่านนะ ข้าน่ะเป็คนทางใต้ เดิมทีพวกเราเองก็ทำผักดอง แต่ว่าใช้ผักจินช่ายกับเสวี่ยหลี่หง [1] เป็วัตถุดิบ หลังจากข้ามาอยู่ที่นี่ ถึงได้เห็นคนอื่นเขาดองผักกาดขาวกัน ปกติแล้วข้าชอบผักดองเค็มๆ จึงเรียนวิธีการดองกับเหล่าพี่สะใภ้ที่นี่ พอดองออกมาเป็ผักดองเปรี้ยวๆ แล้วก็อร่อยดีนะเ้าคะ”
จางจ้าวฉือเดิมทีเคยกินผักดองตุ๋นเนื้อที่ร้านอาหารตะวันออกเฉียงเหนือมาก่อน รู้สึกว่าผักดองนั้นกินแล้วสดชื่นมาก ต่อมาเดินทางมาที่เหอซี ได้ยินมาว่าใน่ฤดูหนาวบ้านชาวบ้านต่างเอาผักกาดขาวมาดองเป็ผักดอง ใจอยากจะกินผักดองตุ๋นเนื้อ สรุปป้าเหอที่เป็คนในพื้นที่ การเอาผักดองมาทำอาหารกลับเป็คนที่มาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงจะทำเป็ คนท้องถิ่นเองก็เรียนวิธีการทำมาจากพวกเขา แต่ก็ส่วนน้อย ป้าเหอเองก็ทำไม่เป็ จางจ้าวฉือจึงปล่อยไป
แต่อย่างไรความคิดก็ยากที่จะสงบ ตอนที่ไปพบกับพวกฮูหยินหลี่ก็พูดถึงเื่ผักดอง ผู้ใดจะไปคิดว่าฮูหยินหลี่จะจำใส่ใจ อีกทั้งตอนนั้นยังเป็ฤดูร้อน ่นี้อากาศหนาวแล้ว หลังจากผักกาดขาวเข้าตลาด ฮูหยินหลี่ก็ซื้อผักกาดขาวเอาไว้มากมายเพื่อเอามาทำผักดอง ตอนนี้ดองได้เข้าที่ดีแล้วถึงได้เอามาให้จางจ้าวฉือ
ฮูหยินหลี่ยิ้มแล้วเอ่ย “พี่สะใภ้ที่สอนข้าพวกนั้นมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือน่ะเ้าค่ะ ต่อมาพวกเขาก็กลับไปบ้านเกิด พวกเราที่อยู่ที่นี่เรียนทำผักดองเปรี้ยว ผู้ที่ทำเป็ก็มีไม่มาก ครอบครัวข้าทำทุกปีเลย อากาศหนาวแล้ว เอาผักดองมาตุ๋นก็อร่อย กินแบบดองเค็มก็ชื่นใจ ทั้งยังสามารถเก็บไว้กินได้ถึงครึ่งปีเลยนะเ้าคะ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เดิมทีข้าเคยกินเนื้อที่ใช้ผักดองมาตุ๋น กินเข้าไปแล้วก็รู้สึกว่าอร่อยดี หลังจากมาที่นี่ได้ยินว่ามีคนทำเป็ อยากจะลองชิมเสียหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่รสชาติดั้งเดิม”
ฮูหยินหลี่ยิ้มแล้วเอ่ย “พี่สะใภ้ที่สอนข้าพวกนั้นก็เคยพูดเอาไว้ ผักดองเปรี้ยวที่ข้าดองออกมา เป็รสชาติที่ดีที่สุดของพวกเขาแล้ว ข้าน่ะทำอย่างอื่นได้ไม่ดี แต่อาหารทานเล่น ผักดองพวกนี้กลับทำได้ดีมากนะเ้าคะ”
ทั้งสองคนพูดคุยไปก็เดินเข้าไปด้านในโรงครัว ฮูหยินหลี่บอกให้คนเอาไหผักดองไปวางไว้ด้านในมุมห้อง ตอนนี้อุณหภูมิด้านนอกห้องต่ำมาก ด้านนอกห้องก็เป็ตู้เย็นธรรมชาติแบบหนึ่ง เอาของไปวางไว้ด้านนอกก็จะไม่เน่าง่ายๆ ผักดองที่อยู่ในไหเช่นนี้ หากเอาไปวางไว้ด้านนอก ยามเอามากินตอนหน้าหนาวก็ไม่มีปัญหา
ผักดองที่ฮูหยินหลี่เอามารสชาติดีมากจริงๆ ฮูหยินหลี่ไม่เพียงจะเรียนทำอาหารหลายชนิดมาจากคนพวกนั้น ยังคิดค้นอาหารออกมาเองหลายชนิดด้วย ตอนรับประทานอาหารกลางวัน บนโต๊ะอาหารของสกุลสวี่ได้วางอาหารที่ทำจากผักดองอยู่หลายอย่าง ผักดองเนื้อขาว ต้มผักกาดดองใส่ไส้หมู ผัดผักกาดดอง แล้วก็น้ำแกงผักดอง
กับข้าวที่ทำจากผักดองจะมีรสชาติเปรี้ยว กินแล้วสดชื่น แม้แต่สวี่ตี้ที่เลือกกินก็ยังทานเข้าไปไม่น้อย หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็มานั่งพักกันบนเก้าอี้ไม่อยากจะขยับตัว
ชิงเหมี่ยว ชิงซุยเก็บถ้วยกับข้าวบนโต๊ะไป จางจ้าวฉือกับสวี่ตี้จึงไปดื่มชาอยู่ตั่งใหญ่ในห้องพักผ่อน
สวี่ตี้เอ่ย “คิดไม่ถึงจริงๆ นะขอรับ ว่ากับข้าวที่ทำจากผักดองจะอร่อยขนาดนี้”
จางจ้าวฉือเอ่ย “หากมีซาจูช่าย [2] ก็เยี่ยมเลย ในอาหารเหลาใช้ผักดองมาตุ๋นเนื้อสิถึงจะอร่อย แม่เคยกินครั้งหนึ่ง ลืมไม่ลงเลยเชียวล่ะ”
สวี่ตี้เอ่ย “ลืมไม่ลงตอนนี้ก็ไม่มีที่ที่จะพาท่านไปกินหรอกนะขอรับ จะเดินทางไปที่ไกลๆ สักที่ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ นะขอรับ”
ฉับพลันจางจ้าวฉือก็ถามขึ้นมา “ใช่แล้ว ลูกสาวสองคนของสกุลหลี่ไปที่เรือนเพาะชำ พวกเ้าเล่นกันเป็อย่างไรบ้าง?”
สวี่ตี้เอ่ยตอบ “เฮ้อ พวกนางเป็เด็กอายุสิบกว่าปี ท่านว่าข้าจะไปเล่นอะไรกับพวกนางได้? เป็แม่นมที่พาพวกนางมาดูในเรือนเพาะชำ ข้าก็เลยเก็บมะเขือเทศผลหนึ่งมาให้พวกนางกิน อย่างอื่นข้าก็ไม่รู้แล้ว”
จางจ้าวฉือยื่นหน้ามาที่โต๊ะ พูดเสียงเบา “สวี่ตี้ เ้าคิดว่าลูกสาวคนเล็กของสกุลสวี่เป็อย่างไร?”
สวี่ตี้ฟังแล้วก็มองจางจ้าวฉืออย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ย “ท่านคิดจะทำอะไร?”
จางจ้าวฉือตอบ “ข้าอยากได้ลูกสาวคนเล็กมาเป็ลูกสะใภ้ของข้า หากเ้าคิดว่าได้ เช่นนั้นพวกเราก็จัดงานหมั้นเอาไว้ก่อน”
สวี่ตี้ฟังแล้วก็มองมารดาของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านแม่ของข้า ท่านจะทำอะไรน่ะ? ข้าทำไม่ดีตรงไหนหรือ ท่านพูดกับข้ามาสักคำ ขอเพียงข้าแก้ให้มันดีก็พอแล้วไม่ใช่หรือขอรับ?”
จางจ้าวฉือตอบ “ไอ๊หยา เ้าทำอะไรน่ะ เ้าฟังข้าวิเคราะห์ก่อนนะ ตอนนี้เ้าอายุสิบสี่แล้ว เด็กผู้ชายที่อายุเท่าเ้าก็ต่างหมั้นหมายเอาไว้แล้ว พวกเราก็ไม่ได้จะหมั้นปุ๊บก็แต่งเข้าบ้านเลยเสียเมื่อไหร่ หลี่เยว่ซีปีนี้ก็เพิ่งจะสิบขวบ อ่อนกว่าเ้าสี่ปี รอเ้าอายุยี่สิบกว่า นางก็อายุสิบหกสิบเจ็ดแล้ว พวกเ้าก็จะได้แต่งงานกัน แบบนี้ไม่ดีหรือ?”
สวี่ตี้ค้าน “ท่านแม่ เช่นนั้นถ้าหากถึงตอนนั้นข้ามีคนที่รักแล้ว ไม่อยากแต่งกับนางจะทำอย่างไร? หรือข้าไม่มีความรู้สึกอะไรกับนางเลย ใช้ชีวิตด้วยกันสองคนเช่นนี้ ท่านว่าชีวิตเช่นนี้ยังจะมีความหมายอะไร?”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เช่นนั้นเ้าพูดมาสิว่าเ้าจะทำเช่นไร? ข้าพิจารณาเช่นนี้ ก็เพราะว่าข้ารู้สึกว่าหลี่เยว่ซีน่ะเป็เด็กที่ดีมากจริงๆ อายุน้อยแค่นี้ทำอะไรก็รอบคอบมาก เ้าเองก็เป็ลูกชายคนโต อีกทั้งต่อไปเ้าเองก็ไม่มีทางที่จะรับ่ต่อกิจการเหมือนกับคนในครอบครัวซื่อจื่อ หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยู่แล้ว ร่างกายของพ่อเ้ากับซื่อจื่อเกิดมาจากพ่อคนเดียวกัน ขอแค่สองสามีภรรยานั้นยังอยู่ ก็ไม่มีทางแยกครอบครัว พ่อของเ้าถึงแม้จะเป็ขุนนางมีหน้าที่การงานดีแค่ไหน รอถึงตอนเ้าพูดเื่แต่งงานเมื่อไหร่ พ่อของเ้าจะทำงานได้นั่งตำแหน่งถึงไหน? หากถึงตอนนั้นจริงๆ จะมีแม่นางดีๆ มาให้เ้าเลือกหรือไม่?”
สวี่ตี้เม้มปากฟังคำพูดของมารดาตนเอง
จางจ้าวฉือถอนหายใจ “นี่ล้วนเป็เื่จริงจัง ที่วางอยู่ตรงหน้าของครอบครัวพวกเรา ตำแหน่งของเ้าในจวนโหวได้ตัดสินแล้วว่าเ้าจะต้องหาเด็กผู้หญิงที่จิตใจยอมรับเื่ราวต่างๆ ได้อย่างดี รู้จักดูสถานการณ์ อีกทั้งยังสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างง่ายดายมาเป็ภรรยา ข้าสนับสนุนหลี่เยว่ซี ก็เพราะว่าข้ารู้สึกเด็กคนนี้มีความสามารถนี้ นางเป็คนที่ใจเย็นมาก คนเช่นนี้เจอกับปัญหาใดๆ ก็สามารถจัดการได้อย่างรอบคอบ”
สวี่ตี้เอ่ย “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อข้า แต่ว่าท่านยอมให้นางมาเป็สะใภ้ของท่าน แต่พ่อแม่ของนางจะยอมให้ลูกสาวของตนเองะโเข้ามาในกองไฟหรือ?”
จางจ้าวฉือได้ยินสวี่ตี้พูดแกมประชดออกมาก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “จะยอมหรือไม่พวกเราไปคุยก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ? มีข้าอยู่ ลูกสาวของเขาแต่งมายังจะได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรอีกหรือ?”
สวี่ตี้ขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ย “คำพูดหน้ากับหลังของท่านมันขัดแย้งกันนะขอรับ ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่”
จางจ้าวฉือถอนหายใจ “ข้าคิดอย่างไร ข้าก็อยากจะให้เ้ามีชีวิตในอนาคตที่ดี ศัตรูในจวนโหวของพวกเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็ผู้ใด แล้วก็เป็ตอนนี้ที่พวกเราหลบมาไกลถึงที่นี่ เขาถึงได้ไม่มีโอกาสลงมือ หากคนผู้นั้นคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเรามากขึ้น แค่พวกเราไม่กี่คนก็ไม่รู้ว่าจะหนีพ้นหรือไม่ พ่อของเ้าเกิดในจวนโหว ตอนนี้ร่างกายของโหวเย่ก็ยังถือว่าแข็งแรงอยู่ จะมีชีวิตไปอีกสามสิบปีสี่สิบปีก็ไม่มีปัญหา บวกกับพ่อของเ้าก็ใช้ความสามารถของตนเองสอบได้ตำแหน่งขุนนางมา จวนโหวจะอย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยพวกเราไป ข้าจะกลัวก็แต่ตอนนี้หากข้าไม่จับเ้าหมั้นไว้ก่อน ต่อไปในจวนโหวก็จะเอาเื่แต่งงานของเ้าขึ้นมาพูด ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ พวกเราคงทำได้แค่มองคนพวกนั้นขุดหลุมให้พวกเราตาปริบๆ แล้ว”
สวี่ตี้ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ท่านแม่ ไม่เช่นนั้นท่านก็เชิญฮูหยินหลี่มาพร้อมให้พาลูกสาวของนางมาด้วย แล้วข้าค่อยไตร่ตรองให้ดีๆ อีกหน่อยเป็อย่างไร? แล้วก็นะ เื่แต่งงานข้าไม่รีบ ข้าเป็บุรุษ แต่งสตรีเข้ามาไม่เชื่อฟังก็โยนทิ้งเอาไว้ในจวน ผู้ใดก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ อย่างมากบอกว่าข้าไม่ได้เื่ แต่สำหรับจือเอ๋อร์ไม่ได้ หากในจวนยื่นมือเข้ามายุ่งเื่แต่งงานของนาง หาครอบครัวสามีแล้วก็สามีที่พึ่งพาไม่ได้มาให้นาง แบบนั้นจะทำร้ายจือเอ๋อร์ไปทั้งชีวิต”
จางจ้าวฉือพูดออกมาอย่างหงุดหงิดใจ “เื่นี้ข้าก็กังวลกับพ่อของเ้าอยู่นานแล้ว แต่ว่าพวกเราอยู่ที่ชายแดนห่างไกลขนาดนี้ อยากจะหาก็หาคนที่เหมาะสมไม่ได้หรอก ต่างพูดกันว่าจะต้องแต่งเข้าสกุลที่สูงส่ง การสู่ขอสกุลที่ต่ำกว่านั้น สำหรับบุรุษขอแค่ถูกใจนิสัยของแม่นางเ่าั้เข้า อยากแต่งก็แต่งเข้ามาได้เลย อย่างมากตรงไหนไม่ดีพวกเราก็ค่อยๆ สอนได้ แต่ว่าลูกสาวนั้นจะหาครอบครัวสามีนั้นไม่ใช่เื่ที่ง่าย ตอนนี้ข้าได้แต่หวังว่าพ่อของเ้าจะทำผลงานให้มีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ พวกเราสามารถไปที่อื่นได้ จะได้ให้พวกเรามีทางเลือกมากกว่านี้”
สวี่ตี้เอ่ย “ใช่สิ จือเอ๋อร์จะหาครอบครัวสามีทางที่ดีที่สุดก็ต้องหาที่เมืองหลวง ต่อไปพวกเราจะต้องกลับไปที่เมืองหลวง ข้าไม่อยากให้จือเอ๋อร์แต่งงานไปที่ไกลๆ”
จางจ้าวฉือพยักหน้า “แต่งงานไปไกลอะไรกัน มีทางที่ดีที่สุดไม่เอา ในโรงพยาบาลของแม่แต่ก่อนมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแต่งงานไปที่ไกลๆ ผลเป็อย่างไร? คนที่ได้กับสามีของนางก็เป็เพื่อนร่วมงานโรงพยาบาลเดียวกัน สามีของนางมีชู้ไม่พอนะ ยังวางแผนจะให้นางหย่าแล้วทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับเขา แล้วก็โชคดีที่นางเป็คนฉลาด ถึงได้ไม่ให้คนพวกนั้นฉวยโอกาสไปได้”
สวี่ตี้เอ่ย “ข้ากลับไปกลัวว่าต่อไปจือเอ๋อร์หาครอบครัวสามีแล้วทางนั้นจะรังแกนาง แค่คิดว่าแต่งงานออกไปไกลแล้วอยากจะไปหาก็ยุ่งยากเกินไป ในเรือนทำอาหารอร่อยๆ จะส่งให้นางก็ไม่สะดวก”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็พยักหน้า พยักหน้าเสร็จถึงคิดขึ้นมาได้ “ข้าไม่ได้พูดกับเ้าเื่หาภรรยาให้เ้าหรือ เหตุใดพูดไปพูดมาถึงเป็เื่ของจือเอ๋อร์ไปได้ สวี่ตี้ แม่พูดกับเ้าอย่างจริงจังนะ ถึงแม้ตอนนี้อายุเ้าจะยังน้อย แต่ว่าจิตใจของเ้าไม่เด็กแล้ว เ้าสามารถตัดสินใจจากที่เ้าวิเคราะห์ได้”
สวี่ตี้ลูบหน้า “นี่จะให้ข้าเลี้ยงภรรยาเด็กหรือ? ข้าก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เช่นนั้นเ้าก็กลับไปคิดมาดีๆ สถานการณ์ก็เป็สถานการณ์เช่นนี้แล้ว ถึงแม้การแต่งงานของบุตรธิดาจะต้องฟังคำบิดามารดา แต่ว่าชีวิตที่ต้องใช้ร่วมกันก็เป็ของพวกเ้าสองคน จะหาแบบไหนก็ต้องให้เ้าเป็คนเลือกเอง”
สวี่ตี้กลับมาถึงในห้องของตนเองก็พิงหมอนนอนอยู่บนตั่ง ในใจกลับคิดถึงเื่ที่มารดาของตนเองพูดเมื่อครู่
สวี่ตี้ที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระมาสามสิบกว่าปี เพราะว่าพ่อแม่ไม่ได้มีความ้ากับชีวิตของตนเองมากเกินไป ตอนที่เพิ่งจะเข้ามหาลัยตอนนั้นก็คบหาดูใจในความสัมพันธ์ธรรมดาเรียบง่าย ตอนรับปริญญา เพราะว่าแฟนสาวจะต้องกลับบ้านเกิดจึงเลิกรากันไปเอง ต่อมาตอนที่นางจะแต่งงานสวี่ตี้ยังส่งของขวัญไปให้ ถือว่าให้ความรักวัยเรียนที่ไม่หวานไม่เค็มใน่นั้นมีความรู้สึกที่ถือว่าสมบูรณ์ ต่อไปตนเองมาเดินอยู่บนเส้นทางการวิจัยก็ไปแล้วไม่หวนกลับ วันๆ หมกตัวอยู่ในห้องทดลอง วันๆ วุ่นวายอยู่กับผลการทดลองและวิทยานิพนธ์ มีเวลาไปคบหาดูใจใครที่ไหน?
แต่ว่าตอนนี้ ในใจของสวี่ตี้นั้นรู้ดีเป็อย่างยิ่ง คำพูดของมารดาเมื่อครู่มีเหตุผลมาก เขาเป็บุตรชายคนโตของบุตรอนุ ยิ่งเป็หลานชายคนโตในเรือน แต่พอถึงเวลาที่ตนเองจะต้องเสียสละแต่งงานขึ้นมาจริงๆ จวนโหวไม่มีทางสนใจว่าตนเองจะมีความคิดเห็นอะไร ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทำไมไม่วางแผนกันั้แ่เนิ่นๆ ล่ะ?
เชิงอรรถ
[1] เสวี่ยหลี่หง (雪里蕻 Xuělǐhóng) เป็ผักประเภทเดียวกับจินช่ายที่ดัดแปลงสายพันธุ์มา สูงประมาณร้อยห้าสิบเิเ มีใบแหลม รสชาติเผ็ด คนทางตอนใต้มักจะนิยมเอามาดอง
[2] ซาจูช่าย (杀猪菜 Shā zhū cài) เป็อาหารของทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะใช้ส่วนต่างๆ ของหมูมาทำอาหาร เข้าคู่กับผักหลายชนิดเมื่อนำมาตุ๋นด้วยกัน ซึ่งเมนูนี้เวลาใกล้สิ้นปีในหมู่บ้านจะฆ่าหมูทั้งตัวมาทำอาหาร