เสี่ยวหานเห็นหลงเซี่ยวอวี่จากไปแล้วก็ได้สติกลับเข้ามาทันที วิ่งมาข้างกายมู่จื่อหลิงอย่างตื่นเต้น
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเสียง ตุ้บ! พื้นราบเรียบเสี่ยวหานก็ยังล้มคะมำลงไปได้
มู่จื่อหลิงมองเสี่ยวหานที่วิ่งมาหานางด้วยความตื่นเต้นสะดุดล้มลง กำลังจะลงจากเตียงไปพยุงก็ไม่ทันเสียแล้ว
นางพลันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมีสาวใช้ที่โง่งมเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ได้พบเพียงสามวัน พอกลับมาก็ดีใจเสียจนเป็เช่นนี้
หกล้มนั่นไม่ใช่เบาๆ เลย นางรู้สึกเจ็บแทนเสี่ยวหาน
เสี่ยวหานลุกขึ้นมาอย่างแค้นใจ ดูเหมือนไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย เดินมาเบื้องหน้ามู่จื่อหลิงต่ออย่างทั้งยินดีทั้งตื่นเต้น “นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว สองสามวันนี้บ่าวคิดถึงท่านนัก”
นางเพิ่งเห็นท่านอ๋องอุ้มนายน้อยที่หลับใหลเข้ามาด้วยตนเอง ไม่น่าเชื่อเกินไปแล้ว ดูท่าท่านอ๋องคงสนใจนายน้อยมากขึ้นไปอีกก้าวแล้ว
มู่จื่อหลิงมองเสี่ยวหานที่กำลังตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ กุมหน้าผากอย่างจนปัญญา พูดด้วยความปวดใจ “เสี่ยวหาน ข้ากลับมาเ้าดีใจ ก็อย่าได้ดีใจเสียจนเป็เช่นนี้ เห็นเ้าหกล้ม เจ็บหรือไม่”
เสี่ยวหานสะบัดศีรษะเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่เจ็บ ไม่เจ็บแม้แต่น้อยเ้าค่ะ!”
นางไม่มีทางบอกนายน้อยว่าเพราะเห็นนายน้อยถูกท่านอ๋องอุ้มเข้ามานางจึงตื่นเต้นขนาดนี้ มิเช่นนั้นนายน้อยต้องตำหนินางอีกเป็แน่
เสี่ยวหานดูเหมือนจะนึกสิ่งใดขึ้นมาได้อีก จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความกังวลใจ พูดด้วยความร้อนรน “นายน้อย ตอนบ่ายหรูอี้มาเ้าค่ะ บอกว่าดูเหมือนอาการป่วยของนายหญิงหลี่จะหนักหนาขึ้นกว่าเดิม ท่านแม่ทัพร้อนใจยิ่งนัก แต่นายน้อยก็ยังไม่กลับมาเลย”
“อะไรนะ เกิดอันใดขึ้น?” มู่จื่อหลิงกังวลตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว
สองสามวันก่อนหน้านี้ที่นางจะไปเยี่ยมที่สวนจิ้งซิน กลางทางก็เกิดเื่หลงเซี่ยวหนานขึ้นมาเสียก่อน จึงมิอาจไปได้ ยามนี้เื่ของหลงเซี่ยวหนานยังไม่เรียบร้อย นางมิอาจปลีกตัวไปดูได้แม้ชั่วครู่ชั่วยาม
เพียงแต่ยามนี้อาการของหลี่เอินสาหัสขึ้น นางไม่ไปไม่ได้แล้ว ว่ากันตามเหตุผลตอนนี้หลี่เอินเพิ่งแช่ตัวในน้ำยาได้หนึ่งเดือนเต็มเท่านั้น ยังห่างจากสี่สิบเก้าวันกว่าครึ่งเดือน ระหว่างนั้นเกิดปัญหาใดขึ้นกัน
เสี่ยวหานส่ายศีรษะพูดว่า “บ่าวเองก็ไม่รู้ หรูอี้บอกเพียงแค่อาการของนายหญิงหลี่หนักหนาขึ้น บ่าวไม่กล้าบอกเื่นายน้อยกับหรูอี้เพราะเกรงว่าท่านแม่ทัพจะกังวลใจ นางหานายน้อยไม่พบจึงกลับไปแล้วเ้าค่ะ”
มู่จื่อหลิงเห็นสีหน้าสับสนงงงวยของเสี่ยวหานก็มิได้พูดให้มากความอีก เอ่ยปากอย่างเร่งรีบ “เสี่ยวหานเ้าไปเตรียมรถม้า พวกเราจะไปสวนจิ้งซินตอนนี้เลย”
แม้ยามนี้ท้องฟ้าจะมืดมากแล้ว แต่เื่ราวเร่งด่วนนัก เสี่ยวหานจึงมิได้คัดค้านผงกศีรษะแล้วออกไป
แม้มู่จื่อหลิงจะถูกหลงเซี่ยวอวี่พาออกมา แต่ตอนนี้นางก็มีความผิดติดตัว มิอาจออกจากจวนได้โดยง่าย โดยเฉพาะเวลานี้ที่เป็ตอนกลางคืน
ตอนนี้นางไม่รู้ว่าอาการป่วยของหลี่เอินเป็เช่นไร สาหัสจริงๆ หรือไม่!
เดิมนั้นร่างกายของหลี่เอินก็สาหัสอยู่แล้ว หากยังย่ำแย่ลงไปอีกไม่รู้ว่าจะเป็เช่นใด บัดนี้นางมิอาจคิดสิ่งใดมากมายแล้ว จะต้องไปตรวจดูนางถึงจะวางใจ
ยังดีที่เมื่อครู่นี้หลงเซี่ยวอวี่ยังไม่ได้ออกไป นางจึงยังสามารถไปบอกกล่าวเขาได้เสียหน่อย
มู่จื่อหลิงไม่ฟุ้งซ่านอีก ลุกขึ้นในทันที!
นางเคาะประตูตำหนักในเบาๆ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเื่เร่งด่วนต้องออกจากจวนสักรอบเพคะ!”
มู่จื่อหลิงรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบรับ
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องอยู่หรือไม่เพคะ” มู่จื่อหลิงเอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นสองสามส่วน
ข้างในก็ยังคงไม่มีสุ้มเสียงเช่นเดิม
แปลกนัก? เห็นประตูไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ มู่จื่อหลิงจึงผลักเข้าไปโดยมิได้ตรึกตรองอันใด
เพียงชั่วพริบตาไอเย็นอันหนาวเหน็บผสมกับกลิ่นอายเหมยเย็นก็จู่โจมเข้ามา มู่จื่อหลิงไม่กลัวความหนาวเย็นแม้แต่น้อย นางก้าวเข้าไปโดยไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ
ภายในยังคงเหมือนกับวันแรกที่นางเข้ามา ยังคงประดับประดาอย่างหรูหราสง่างาม บ่อน้ำพุร้อนมีควันร้อนผุดขึ้น และเตียงหยกเหมันต์ยังมีไอเย็นล่องลอย
มู่จื่อหลิงหาทั่วทั้งตำหนักในก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหลงเซี่ยวอวี่
คนเล่า?
เมื่อครู่นี้หลงเซี่ยวอวี่เข้ามาที่นี่ชัดๆ จะหาไม่เจอได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงจึงแหกคอะโเสียงดังอีกครั้ง “ท่านอ๋อง! หลงเซี่ยวอวี่! หลงเซี่ยวอวี่ท่านอยู่หรือไม่?”
ยังคงไม่มีเสียงตอบรับเช่นเดิม มู่จื่อหลิงหาคนไม่พบก็ไม่มัวโอ้เอ้อีก กำลังจะจากไป ทันใดนั้นเตียงหยกเหมันต์ที่คลุมด้วยผ้าปูเตียงไว้ก็เรืองแสงขึ้นมาอย่างเบาบาง
มู่จื่อหลิงรู้สึกสงสัย จึงเดินเข้าไปโดยไม่ทันรู้ตัว ทำทีจะยื่นมือไปเลิกผ้าปูเตียงขึ้น
“นายน้อย รถม้าเตรียมเรียบร้อยแล้ว! นายน้อยท่านอยู่ที่ใด?” เสี่ยวหานด้านนอกหาคนไม่พบก็ะโเสียงดังอย่างร้อนอกร้อนใจ
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองเตียงหยกเหมันต์ ดึงมือที่จะเลิกผ้าปูเตียงออกกลับมา รีบสาวเท้าเดินออกไป “ข้าอยู่นี่ มาแล้วๆ”
หลังมู่จื่อหลิงเดินออกไป เตียงหยกเหมันต์ที่ส่องแสงก็ดับลงในทันที...
“เสี่ยวหาน ข้าจะไปเพียงลำพัง ส่วนเ้ารออยู่นี่ ยามนี้ท่านอ๋องไม่อยู่ ถ้าท่านอ๋องกลับมา เ้าก็ไปบอกเขาสักคำ” มู่จื่อหลิงกำชับเสี่ยวหานอย่างเคร่งขรึม
ตอนนี้หาหลงเซี่ยวอวี่ไม่พบ ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ใดแล้ว นางมิอาจรออยู่อย่างโง่งมต่อไปได้ ผู้ใดจะไปรู้ว่าเขาจะกลับมาตอนดึกอีกหรือไม่
นอกจากนี้นางก็ไปช่วยชีวิตคน มิใช่หลบหนี หลงเซี่ยวอวี่คงไม่ถือโทษนาง ยามนี้ต้องรีบไปที่สวนจิ้งซินโดยด่วน ดูว่าจะสามารถกลับมาก่อนฟ้าสว่างได้หรือไม่
แม้เสี่ยวหานจะไม่วางใจ แต่ก็ยังผงกศีรษะ “บ่าวรับทราบเ้าค่ะ นายน้อยท่านเองต้องระมัดระวังด้วยนะเ้าคะ”
นางย่อมรู้ว่านายน้อยออกไปเย็นมากแล้ว หากท่านอ๋องมาแล้วหาคนไม่พบ รู้ว่านายน้อยออกไปค่ำมืด ต้องพิโรธแน่ๆ ดังนั้นนางอยู่ที่นี่จะดีกว่า
มู่จื่อหลิงมิได้พูดอะไรอีก รีบร้อนออกไปจากจวนอ๋องตามลำพัง
ด้านนอกจวนอ๋องนั้นมีรถม้าหนึ่งคันจอดรอไว้แล้ว มู่จื่อหลิงกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถไป
น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ที่มีแววขุ่นเคืองก็ดังมาจากเหนือศีรษะ
“เถ้าแก่มู่้าจะไปที่ใด เหตุใดออกมาแล้วจึงไม่บอกข้าน้อยสักคำ ให้ข้าน้อยหาทั่วไปหมด!”
เย่จื่อมู่ที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่บนยอดเกี้ยวั้แ่ตอนไหน ก้มตัวลงมามองมู่จื่อหลิงที่กำลังจะปีนขึ้นรถ
มู่จื่อหลิงชะงักไปแวบหนึ่ง รู้เพียงว่าหนังศีรษะชา ดึงเท้าลงมา แหงนศีรษะขึ้นไปมอง
ผู้ที่อยู่บนยอดเกี้ยวก็คือพ่อค้าหน้าเืผู้หลงตัวเอง เย่จื่อมู่ที่ยังคงสวมใส่อาภรณ์สีแดงตลอดทั้งตัว อาภรณ์สีแดงพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน กลีบปากสีแดงสดยกขึ้นอย่างน่าดึงดูด เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างก็มอบความรู้สึกอันเย้ายวนน่าหลงใหลอย่างเป็ธรรมชาติ
ฝูหลินได้ยินเสียงมาจากยอดเกี้ยวก็ใ ะโลงจากด้านหน้ารถม้า แหงนศีรษะมอง “หวางเฟย นี่...”
“ไม่เป็ไร คนรู้จัก” มู่จื่อหลิงแสดงท่าทีให้สารถีวางใจ
มู่จื่อหลิงแหงนศีรษะขึ้นมองเย่จื่อมู่บนยอดเกี้ยวอย่างไม่หวาดหวั่น ยิ้มอย่างเฉยชา “วันนี้พ่อค้าหน้าเืมาเร็วนัก ในเมื่อตอนนี้ท่านรู้แล้ว หาพบแล้ว ก็รีบไปเสีย วันนี้กู่ไหน่ไนไม่มีเวลามาคุยเป็เพื่อนท่าน” แต่เดิมนั้นมู่จื่อหลิงคิดว่าเย็นวันนี้หากเย่จื่อมู่ไปที่คุกหลวงแล้วหาคนไม่เจอ ย่อมจากไปเอง คาดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะมาหาถึงที่นี่
เพียงแต่วันนี้เหตุใดเย่จื่อมู่จึงมาเร็วเพียงนี้ ตอนนี้ยามโหย่ว [1] เพิ่งจะผ่านไป สองสามครั้งก่อนหน้านี้กว่าเขาจะมาก็ข้ามคืนไปเสียแล้ว
คุกหลวงอยู่ไกลจากจวนอ๋องนัก ต่อให้เย่จื่อมู่จะว่องไวก็ต้องใช้เวลา หากคิดอ้างอิงตามนี้พ่อค้าหน้าเืคนนี้ก็ไปหานางั้แ่ตอนกลางวันมิใช่หรือ?
มีธุระกับนางจริงๆ หรือ? แต่นางมีธุระ และนางก็ไม่มีเวลามาสนใจด้วย!
ปลายเท้าเย่จื่อมู่เขย่งขึ้นเบาๆ และทะยานกายลงมายืนอยู่เบื้องหน้ามู่จื่อหลิงโดยอัตโนมัติ
แม้จะสวมใส่หน้ากาก ก็ยังคงมองออกว่าใบหน้าส่วนล่างของเขากำลังขมขื่น
สีหน้าของเขาเ็ปเต็มไปด้วยความตัดพ้อ “เถ้าแก่มู่พูดเช่นนี้ทำให้ข้าน้อยผิดหวังนัก แต่นี่เถ้าแก่มู่จะไปที่ใด? ดูท่าทางแล้วร้อนรนยิ่ง”
วันนี้ตอนบ่ายเขาไปที่คุกหลวงไม่พบมู่จื่อหลิง แต่กลับเห็นผู้คุมกลุ่มหนึ่งในห้องสอบสวนนั่งคุกเข่า ปัสสาวะไปด้วยดื่มปัสสาวะไปด้วย
ไม่ต้องเดา เขาก็รู้ว่านี่ต้องเป็อภินิหารที่เด็กสาวผู้นี้วางอุบายไว้แน่ นางมีความสามารถในการวางอุบายนักย่อมไม่เป็อะไร ดังนั้นเขาจึงไม่กังวล
ยามนี้มาหานาง ย่อมมีธุระของตัวเขาเอง
มู่จื่อหลิงมองค้อนเขาอย่างอารมณ์เสีย พูดอย่างตรงไปตรงมา “ไปช่วยคน ไม่คุยกับท่านแล้ว กู่ไหน่ไนขอตัวไปก่อน ฝูหลิน ไป ขึ้นรถ!”
สิ้นเสียงพูด นางก็เตรียมจะก้าวเท้าขึ้นไปบนรถม้า เย่จื่อมู่ดีดปลายนิ้วเบาๆ ฝูหลินที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าก็หมดสติล้มไปบังประตูรถ และขวางเท้าของมู่จื่อหลิงไว้
มู่จื่อหลิงเห็นเช่นนี้ พลันถลึงตาใส่เย่จื่อมู่อย่างโกรธเกรี้ยว “พ่อค้าหน้าเื เ้าทำอะไรฝูหลิน ข้าต้องไปช่วยชีวิตคนจริงๆ เป็เช่นนี้แล้วข้ายังจะไปได้อย่างไร!”
เย่จื่อมู่แบมือออกด้วยสีหน้าของผู้บริสุทธิ์ “เถ้าแก่มู่ อย่าได้ปรักปรำข้าน้อย ข้าน้อยมิได้ทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ตอนนี้เห็นท่านไม่มีสารถีแล้ว แถมยังมีเื่เร่งด่วน เช่นนั้นข้าน้อยก็จะพยายามสุดความสามารถ พาท่านเหาะไปเสียหนึ่งเที่ยว ทั้งรวดเร็วทั้งประหยัดเวลา”
เหาะบ้านเ้าสิ!
“รีบทำให้ฝูหลินฟื้นขึ้นมาเร็วเข้า ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเ้า” มู่จื่อหลิงกระสับกระส่าย พ่อค้าหน้าเืผู้นี้มาเพื่อก่อความวุ่นวายหรือ
เช้าไม่มา บ่ายไม่มา ดันเลือกมาเวลานี้ หากมิใช่เพราะยามนี้นางกำลังรีบ ไหนเลยจะปล่อยให้พ่อค้าหน้าเืนี่กระดี๊กระด๊าเพียงนี้
เย่จื่อมู่เท้าคางพูดเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ได้ หากตื่นมาตอนนี้ นอนหลับไม่เพียงพอเขาจะตายเอาได้ หากเขาตื่นมา ย่อมตื่นเช้าวันรุ่งขึ้นได้เอง
ได้ยินคำพูดนี้มู่จื่อหลิงก็โมโห แต่ยามนี้มิใช่เวลามาอาละวาด นางสะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าไปในจวนอ๋องอย่างเกรี้ยวกราด
ด้านหลังก็มีน้ำเสียงยียวนของเย่จื่อมู่ลอยมาจากไกลๆ “เถ้าแก่มู่จะเข้าไปหาสารถีหรือ แต่เวลานี้สีท้องฟ้าดึกแล้ว แต่ละคนล้วนหลับไปหมดแล้ว ท่านก็อย่าได้ไปรบกวนผู้อื่นเขาเลย ข้าน้อยพาท่านบินไปดีกว่า”
ฝีเท้ามู่จื่อหลิงชะงักค้าง สองกำปั้นขนาดเล็กใต้แขนเสื้อกำจนดัง ‘กร๊อบแกร๊บ!’
สมควรตาย คำพูดของพ่อค้าหน้าเืหลงตัวเองผู้นี้กำลังอธิบายว่า นางเรียกมาหนึ่งคน เขาก็จะทำให้หลับไปหนึ่ง แล้วนางก็อย่าได้คิดจะไปเลย
มู่จื่อหลิงหันกายมาอย่างโเี้ด้วยท่าทางอยากเชือดคน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ย้ายฝูหลินเข้าไปให้ข้า แล้วเ้าก็มาบังคับรถเสีย”
หากสายตาปลิดชีวิตคนได้ เย่จื่อมู่คงแหลกสลายกลายเป็ผุยผงไปนานแล้ว!
แต่เย่จื่อมู่กลับไม่ใส่ใจ รีบร้อนโบกมือด้วยท่าทางตื่นใ “นี่ นี่คงเป็ไปไม่ได้ ข้าน้อยร่างผอมบอบบาง ไหนเลยจะย้ายเ้าคนบึกบึนนี้ได้ นอกจากนี้แล้วข้าน้อยบังคับม้าไม่เป็! ข้าน้อยเพียงบินได้เท่านั้น!”
ด้วยเหตุนี้มู่จื่อหลิงจึงโมโหจนหายใจไม่ออก ถลึงตาใส่เย่จื่อมู่ด้วยความโกรธ “เ้า”
“เอาเถิด เถ้าแก่มู่มิใช่ว่ากำลังรีบหรือ รีบไปเถิด” เย่จื่อมู่พูดด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของมู่จื่อหลิงโดยสิ้นเชิง
กล่าววาจาจบ เขาเตรียมจะเดินไปข้างกายมู่จื่อหลิง เพียงแต่สายตาเขากลับเหลือบไปเห็นในจวนอ๋องไม่ไกลมีเงาร่างคนสูงใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
เย่จื่อมู่หยุดฝีเท้า ริมฝีปากแดงโค้งขึ้น พูดด้วยรอยยิ้มกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “เถ้าแก่มู่ จู่ๆ ข้าน้อยก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระ มิอาจพาท่านไปได้แล้ว ท่านคิดวิธีด้วยตนเองดีกว่า ไว้พบกันใหม่ภายหลัง”
มู่จื่อหลิงยังไม่ทันตอบสนอง เย่จื่อมู่ก็หายไปจากสายตานางเสียแล้ว
ไว้พบกันใหม่ภายหลัง? เ้ามาอีกก็ลองดู!
------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ยามโหย่ว หมายถึง เวลา 17:00-19:00 น.