สารเลว……?
หมายความว่าอย่างไร?
ใช้ชีวิตมายี่สิบสามปี เว่ยจวินหยางไม่เคยได้ยินคำว่า สารเลว มาก่อน แต่เขาก็ปล่อยมือที่กำลังออกแรงลง
ถึงอย่างไรก็ได้ยินชื่อตัวเองจากปากอวี๋มู่ด้วย จิตสังหารของเขาจึงหายไปบ้าง ในใจกลับรู้สึกดีขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
หรือไม่ ลองช่วยชีวิตเขาสักครั้งก็ได้
ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เสียแรงอะไรมากมาย อีกหน่อยยังมีคนรับใช้ปรนนิบัติเพิ่มมาอีกคน
จะว่าไป มีเพียงการปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ถึงจะถามได้ว่าไอ้เหลียงหานนั่นคือใครกันแน่ ถึงขั้นสำคัญกับอวี๋มู่มากกว่าเขาอีก
หลังจากหาข้ออ้างให้ตัวเองมากมาย เว่ยจวินหยางหยิบผลไม้มาหนึ่งลูก แล้วบีบคั้นน้ำให้หยดลงปากแห้งแตกของอวี๋มู่ จากนั้นฉีกผ้ามาหนึ่งส่วนพับเป็แนวยาว ชุบน้ำแล้ววางบนหน้าผากเพื่อลดไข้
ที่จริงเขาดูแลคนเก่ง เพียงแต่คนที่ล่วงรู้ข้อนี้ในทั่วยุทธภพหรือสำนักชิงอี ต่างตายไปหมดแล้ว
แม่ของเว่ยจวินหยางคืออนุของประมุขพรรคมาร เพราะโดดเด่นเตะตาเกินใครจึงถูกประมุขพากลับสำนัก นั่นเป็จุดเริ่มต้นของขุมนรก
ประมุขนั่นมีความชอบการทารุณกรรม โดยเฉพาะกับหญิงงาม ยิ่งงามความ้าในการทารุณก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เขาทรมานมารดาของเว่ยจวินหยางทุกวี่ทุกวัน กระทั่งตอนที่ตั้งครรภ์เว่ยจวินหยางก็ยังทรมานไม่หยุดหย่อน
หลังจากเว่ยจวินหยางคลอดออกมา ก็ให้คนรับใช้ดูแลอยู่กับบรรดาลูกๆ ของประมุข พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มฝึกวรยุทธ์ หากไม่สามารถแสดงฝีมือโดดเด่นเหนือกว่าบรรดาลูกๆ คนอื่นๆ ของเขา การจะมีชีวิตอยู่เห็นทีจะลำบากมาก
แน่นอนว่าการแสดงฝีมือ ก็เป็การนำพามาซึ่งอันตรายใหญ่หลวงเช่นกัน
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ความศรัทธาเดียวที่เว่ยจวินหยางมีอยู่ก็คือมารดา ทุกครั้งหลังจากประมุขทรมานมารดาเขา เขาก็จะเป็คนดูแลมารดาเอง กระทั่งทายาอาบน้ำ ทำกับข้าวที่นางชอบ
จากนั้นมีอยู่วันหนึ่ง มารดาผลักเขาให้กับบิดาของเขา
มารดาเอ่ยกับประมุขว่าให้เขาปล่อยนางไป หน้าตาของลูกชายคล้ายกับนาง ถ้าหากจะเฆี่ยนตีให้เฆี่ยนตีลูกแทน เขาหนุ่มกว่า สิ่งของพวกนั้น ใช้กับเขาได้หมด เขารับได้แน่
ภายในสำนักชิงอี คนถกเื่ศีลธรรมเป็เื่น่าตลก ความจริงใจ ความรักก็เช่นกัน
เว่ยจวินหยางรู้ดี บรรดาพี่น้องของเขาที่ถูกบิดาเขาพาไป ยามกลับมาล้วนเนื้อตัวาเ็ ร้องไห้ครวญคราง คนที่คิดไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตายเพื่อหนีก็มี
เขาเองก็กลัวว่าเื่ราวพวกนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เขาจึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าก่อเื่ให้เข้าตา
แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ผลักไสเขาไปให้บิดา กลับเป็มารดาของเขาเอง
ปีนั้นเขาอายุสิบสอง เหมือนย่างเท้าเข้าสู่ขุมนรก
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ขณะต่อสู้กับฝ่ายธรรมะนั้น บิดาของเขาได้รับาเ็และพิการท่อนล่าง ได้แต่นั่งยานพาหนะเทียมดำเนินชีวิต เว่ยจวินหยางรอดพ้นการถูกข่ม*ขืนจากบิดาตัวเอง
แต่หลังจากพิการ การทารุณกรรมของคนผู้นั้นกลับยิ่งโหดร้ายมากขึ้นเป็เท่าตัว
ทุกวันที่ลืมตาตื่นสิ่งที่เว่ยจวินหยางนึกถึงเป็สิ่งแรกก็คือ พรุ่งนี้เวลานี้เขาจะยังตื่นมาได้อีกหรือไม่
กระนั้นเขาก็ยิ่งหมั่นเพียรในการฝึกฝนวิชา และแอบหยิบตำราต้องห้ามในหอคัมภีร์ ฝึกฝนวิชามารที่ไม่มีใครกล้าฝึก ใช้ทางลัดฝึกฝนจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่อย่างนั้นหลายหน ในที่สุดก็ฝึกจนถึงขั้นแปดในตอนอายุสิบหกปี
จากนั้นเขาก็ล้างบางสำนักชิงอีด้วยเื
ดังนั้นคนที่ล่วงรู้ความลับของเขาจึงถูกเก็บไม่เหลือแม้แต่คนเดียว รวมกระทั่งบิดามารดาและบรรดาพี่น้อง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าขณะที่ฝึกฝนจนเกือบจะบรรลุขั้นเก้า เขากลับธาตุไฟเข้าแทรกเสียก่อน จึงต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
ร่างกายของอวี๋มู่นั้นเข้มแข็งมาตลอด การได้นอนพักเต็มที่ทั้งคืน หลังจากนั้นไข้ก็ลดลงอย่างอัศจรรย์
เขาถูกปลุกตื่นด้วยกลิ่นปลาเผา แสงสว่างส่องหน้า อบอุ่นมาก เขาท้องร้องด้วยความหิว จมูกดมกลิ่นหอมที่โชยมาทางนี้
มองเห็นเด็กน้อยกำลังย่างปลานั่งอยู่บนก้อนหิน
เว่ยจวินหยางเปียผมหางม้า สวมใส่ชุดปักลายเมฆาสีขาวตัวใน ด้านนอกเป็เสื้อกั๊กสีขาวเงินไม่มีแขน มีรอยเปื้อนเืที่รองเท้าสีข้าว ทั้งร่างสีสว่าง รูปร่างสวยงามมองดูแล้วเหมือนเทวดาตัวน้อย
แต่อวี๋มู่รู้ดีว่า แม้ภายนอกจะดูน่ารักเพียงใด แต่จิตใจเขาก็ยังเป็เว่ยจวินหยางที่เป็วายร้ายโรคจิต***อยู่ดี
เล่นเอาอวี๋มู่ที่ปกติเป็คนชอบเด็กถึงกับไม่อาจรับมือกับเด็กคนนี้ได้
“ตื่นแล้วรึ?” เว่ยจวินหยางสังเกตเห็นเขามองมา มองดูปลาที่เสียบไม้อยู่เกยคางขึ้นแล้วเอ่ย “นี่เก็บไว้ให้เ้า มากินสิ”
“.......” อวี๋มู่ที่ลุกขึ้นนั่งท่าทางชะงักเล็กน้อย รู้สึกไม่ค่อยเชื่อหูตัวเอง
เขาเอ่ยถามระบบ : ระบบ เขากินยาผิดรึไง? ทำไมจู่ๆ ก็ดีกับฉันขนาดนี้?
[ผมบอกแล้ว ถ้าตัดนิ้วยังไงคะแนนความประทับใจก็พุ่งแตะ…...]
พูดถึงตรงนี้ ระบบหยุดชะงัก อวี๋มู่พลันหันขวับไปมองหัวใจห้าดวงน้อยๆ ที่อยู่เหนือหัวเว่ยจวินหยาง
จากนั้นก็ของขึ้น : ครึ่งดวง?? ฉันยอมให้เขากระทำชำเราทั้งคืน แล้วไหนจะยอมตัดนิ้วแสดงความภักดี นายกำลังบอกฉันว่า ความประทับใจเพิ่มขึ้นแค่ครึ่งดวงเนี่ยนะ???
[ไม่ใช่ๆ โฮสต์ คุณใจเย็นก่อน ผมคิดว่าเขาจำเื่คืนนั้นไม่ได้ คงเป็เพราะผลข้างเคียงจากการฝึกวิชามารนั่นกับพิษดอกเสน่หาปนกันมั่ว ส่งผลให้เขาในตอนนั้นไม่มีสติสัมปชัญญะ จึงจำไม่ได้]
อวี๋มู่ : …….ปนกันมั่วจนจำไม่ได้?
[ถูกต้องครับ ผมเดาว่าเป็แบบนั้น]
อวี๋มู่นิ่งเงียบ แต่พอลองคิดดู แบบนี้ก็ไม่เลว เพราะถึงอย่างไรการแสดงของเขาในคืนนั้นก็เป็เื่ที่ทำให้เสียหน้าชายแท้อย่างเขาเหลือเกิน เว่ยจวินหยางจำไม่ได้เป็ดีที่สุด
เท่านี้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็จะได้ไม่อึดอัดด้วย
ช่างเถอะ แบบนี้ดีกว่า ใช้วิธีอื่นชนะใจก็ดี
“ข้าเรียกให้เ้ามาทางนี้” เว่ยจวินหยางเห็นเขาเหม่อลอย เริ่มไม่พอใจ “เ้าไม่ได้ยินรึไง?”
“ขอรับ นายท่าน” อวี๋มู่รีบทำตามคำสั่ง เดินทุลักทุเลไปทางนั้น นั่งลงข้างเว่ยจวินหยาง หยิบปลาย่างขึ้นมากิน
เขาหิวแล้วจริงๆ อีกอย่างปลาที่เ้าเด็กนี่ย่างก็อร่อยดี ไม่รู้ใส่เครื่องปรุงอะไรไปบ้าง เนื้อปลาหอมหนังกรอบ ไม่นานนักก็ถูกเขาจัดการเรียบ
“อร่อยหรือไม่? ” จู่ๆ เว่ยจวินหยางก็เอ่ยถาม อวี๋มู่หยุดเคี้ยวไปชั่วครู่
“อืม อร่อย”
เว่ยจวินหยางถามต่อ “ดีใจหรือไม่?”
“เอ๋?” อวี๋มู่ตามไม่ทัน
“คนที่เป็นายท่านอย่างข้าลดเกียรติลงมาย่างปลาให้เ้ากิน เ้าไม่ดีใจหรืออย่างไร?”
“อ่อ ดีใจดีใจ ขอบพระคุณนายท่าน”
“อยากกินอีกหรือไม่?”
อวี๋มู่ไม่รู้ว่าที่เขาถามมา เขา้าอะไรกันแน่ จึงตอบไปตามตรง “อืม อยากกิน”
“อยากกินก็ไม่มีแล้ว” เว่ยจวินหยางเย้ยหยัน “เ้าเกิดมาเป็ขี้ข้า สมควรรับใช้นาย แต่กลับนอนอุตุให้นายมาย่างปลาให้เ้ากิน เ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่?”
“......” ***เว่ยจวินหยาง!
อวี๋มู่สะกดความรู้สึกที่อยากจับตัวเ้าเด็กนี่มาถอดกางเกงตีก้น สูดหายใจลึกสองครั้ง แล้วเอ่ย “เป็ความผิดของข้าน้อยเอง ต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ขอนายท่านเมตตา”
“รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว” เว่ยจวินหยางทำเสียงฮึ เห็นอวี๋มู่กินได้พอสมควรแล้วก็ยื่นปลาย่างในมือให้เขา “ถ้าอย่างนั้นก็ตบรางวัลให้เ้าอีกตัว กินอย่างสำนึกบุญคุณด้วย”
“......”
*
การหลับพักผ่อนเป็เครื่องมือเยียวยาร่างกายชั้นเลิศ แม้ว่าร่างกายอวี๋มู่ยังคงอ่อนแอ แต่ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะ ทั้งยังได้กินปลาย่างจนอิ่ม สบายตัวขึ้นมาก
เว่ยจวินหยางดูยังไม่มีท่าทีจะไปไหน เขาสั่งให้อวี๋มู่ดับกองไฟ แล้วแยกย้ายกันนั่งคนละมุม จากนั้นก็เริ่มจัดท่านั่งฝึกลมหายใจ
อวี๋มู่กำลังคิดอยู่ว่าควรเข้าเมืองเพื่อซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่หรือไม่ เขาเตรียมอาหารแห้ง แต่ถูกระบบสั่งห้ามไว้ บอกว่าตอนนี้เขาเพิ่งจะได้รับความเชื่อใจจากเว่ยจวินหยางมาเล็กน้อย หากเอ่ยว่าจะไปไหนกะทันหัน ย่อมทำให้อีกฝ่ายเกิดความคลางแคลงใจ ที่ยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะเพิ่มคะแนนมาได้ครึ่งดวงก็อาจจะเท่ากับศูนย์
อีกอย่างหัวเมืองใกล้ๆ ตอนนี้คงมีแต่พวกคนของสำนักชิงอีที่ควานหาตัวพวกเขาอยู่ หากถูกพบเข้า พวกเขาไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าจะสามารถฝ่าวงล้อมในสภาพกึ่งพิการเช่นนี้ได้ไหม
ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง อวี๋มู่นั่งพิงผนังูเา เด็ดดอกหญ้ามาเคี้ยวในปาก
เขายื่นมือขวาเข้าใกล้ พินิจนิ้วที่ถูกพันไว้ด้วยความพิถีพิถัน แทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็ฝีมือของเว่ยจวินหยาง
ระบบบอกกับเขาว่า่ที่เขาสลบไปเว่ยจวินหยางเป็คนดูแลเขา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้สึกขนลุกซู่
ถึงอย่างไรเื่ที่เ้าบ้าโรคจิตชอบทารุณคน แต่กลับดูแลใส่ใจคนอื่นเป็ด้วย นี่ช่างเป็เื่เกินคาดหมาย
ตัวช่วยระงับความเจ็บที่ระบบเปิดให้เขาสามารถออกฤทธิ์ได้มากสุดแค่สิบวัน เมื่อนึกถึงความเจ็บแบบนั้น อวี๋มู่พลันตัวสั่น
เขาชักกระบี่เมฆาวิสุทธิ์ข้างเอวออกมา ลองถือดู พบว่าไม่ถนัดเอาเสียเลย ท่ากระบี่ทั้งหลายในความทรงจำ เมื่อขาดนิ้วหัวแม่มือไปกลับทำได้อย่างไม่แม่นยำ
อีกทั้งไม่มั่นคง หากเพียงแค่ฝึกฝนยังพอว่า แต่ถ้าต้องต่อสู้กับศัตรู เดาว่าสู้กันไม่กี่กระบวนท่ากระบี่ในมือก็คงถูกศัตรูฟาดฟันจนหล่นมือ
เขาถอนหายใจอีกรอบ อวี๋มู่วางกระบี่ลง กลับพบว่าเว่ยจวินหยางลืมตาขึ้นมา ตอนนี้กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาซับซ้อน… พร้อมกับมองกระบี่เมฆาวิสุทธิ์ในมือเขา
อวี๋มู่ได้ยินเขาถาม “เสียใจงั้นรึ?”
“.....”
ไม่รอให้อวี๋มู่ได้ตอบ เว่ยจวินหยางก็เอ่ยบางอย่างทิ่มแทงใจ “คนที่หมกมุ่นวรยุทธ์กระบี่ แต่แม้กระทั่งกระบี่ยังถือไม่มั่นคง หากเปลี่ยนเป็ข้า ตายไปเสียยังจะดีกว่า”
“......”
“ข้าจะบอกให้เ้าฟังอย่างชัดเจน ข้าไม่มีทางเชื่อใจเ้า” เว่ยจวินหยางตอกย้ำซ้ำเติม “เื่ที่เ้าตัดนิ้วตัวเองมีแต่จะทำให้ข้ารู้สึกน่าหัวเราะ”
“.......”
อวี๋มู่ชำเลืองมองเว่ยจวินหยางที่พูดเองเออเองอยู่คนเดียว ใบหน้าดุจดังเทวดาน้อย แต่พออ้าปากกลับทิ่มแทงทำร้ายคนอื่น
รู้สึกตลก
ฟ้าเป็พยาน เมื่อครู่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร เพียงแค่ลองแกว่งกระบี่ไม่กี่ครั้ง แต่ทำไมในสายตาเว่ยจวินหยาง กลับร้อยเื่ราวแทนเขาเสียมากมาย
เ้าหมอนี่เป็พวกดราม่าขนาดไหนกันเนี่ย?
“ข้าพูดได้จี้จุดสินะ ถึงไม่พูดจาใช่ไหม?” เว่ยจวินหยางหัวเราะ “ไม่เสียใจในภายหลังอะไรกัน…..”
“ไม่ว่านายท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ ขอเพียงข้าน้อยได้ติดตามข้างกายนายท่าน แม้ว่าต้องตายก็ไม่เป็ไร” อวี๋มู่ขัดคำพูดเว่ยจวินหยาง เขาเก็บกระบี่ แล้วสบตาเว่ยจวินหยางตรงๆ ก่อนเอ่ย “ลำพังเพียงนิ้วๆ เดียวแล้วจะทำให้ข้าเสียใจทีหลังได้อย่างไรกัน?”
เขาท่าทางจริงจัง เว่ยจวินหยางอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นค่อยๆ เผยรอยยิ้ม หันหลังไป นานพักหนึ่งค่อยเอ่ยออกมาคำหนึ่ง “โง่เง่า”
และในตอนนี้เอง อวี๋มู่เห็นแถบคะแนนความประทับใจห้าดวงที่โผล่เหนือหัวเว่ยจวินหยาง กำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแดง ไม่นานนัก แถบหัวใจที่ก่อนหน้านี้มีเพียงครึ่งดวง ตอนนี้เปลี่ยนเป็สีแดงสดใสเต็มดวงแล้ว
ระบบอุทาน [นี่คงเป็ความซึนเดเระ(ภายนอกเ็าแต่จิตใจอบอุ่น)ที่คนว่ากันสินะ]
อวี๋มู่ : …....ได้ความรู้เพิ่มเยอะเลย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------