เล่มที่ 10 บทที่ 273 ไม่เหมือนที่คิด
“ที่แท้ก็เป็ศิษย์พี่เว่ยนี่เอง…” จิงต้าไห่ยกมือขึ้นคารวะด้วยความสุภาพ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร จากนั้นก็หันกลับไปคุยกับหลินเฟยต่อ…
เว่ยจงซูเห็นดังนั้น ก็รับไม่ได้ขึ้นมาทันที
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ตัวเขาเป็ถึงอาจารย์ของสำนักศึกษาลิ่วเยิ่นเชียวนะ ถึงอย่างไรก็พอจะมีชื่อเสียงในเป่ยจิ้งอยู่บ้าง แต่เ้ากลับเมินข้าเช่นนี้ แถมหันไปคุยเล่นกับผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สามอีกเนี่ยนะ นอกจากนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สามทั่วไปอีกด้วย เพราะเป็คนที่ปล้นชิงจุดชีพจรสำนักหนานิของพวกเ้าด้วยซ้ำ…
ทว่าเว่ยจงซูกลับไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทีของตนเองในสายตาของจิงต้าไห่แล้ว กลับแลกมาด้วยความดูแคลนเท่านั้น…
แม้ทั่วทั้งแถบทะเลอูไห่ต่างก็รู้ดีว่าผู้าุโของสำนักหนานิผู้นี้ บรรลุขั้นจิงตันด้วยของนอกกาย จึงเป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันระดับปลายแถวเท่านั้น แต่ด้วยความเ้าเล่ห์และมีมนุษยสัมพันธ์ดี จึงเป็ที่รู้จักของคนไปทั่วพื้นที่ แม้แต่ผู้าุโแห่งสามสำนักใหญ่เอง ก็ยังมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาเช่นกัน…
จิงต้าไห่เป็คนเ้าเล่ห์มาก เพียงเห็นสีหน้าของเว่ยจงซูก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจที่ตนเองให้ความสนใจกับผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สามที่อยู่เบื้องหน้ามากกว่า…
‘ดูท่าเ้าเว่ยจงซูคงกำลังมึนงงอยู่ว่าทำไมเขาถึงกระตือรือร้นที่จะคุยกับคนที่ปล้นชิงจุดชีพจรของสำนักตนเองอยู่สินะ…’
‘หึหึ ไม่เข้าใจก็ถูกแล้วล่ะ…’
จิงต้าไห่เห็นดังนั้นก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก..
ตอนแรกที่รู้ว่าจุดชีพจรถูกปล้น จิงต้าไห่เองก็โกรธมาก อยากจะจับเวินโหวจากหุบเขาหมื่นอสูรออกมาแยกร่างเลยทีเดียว เพื่อการนี้ ถึงกับไหว้วานมิตรสหายเพื่อสืบหาข้อมูลของคนผู้นี้เลยทีเดียว…
ทว่าผลก็คือเวินโหวเป็เหมือนเนื้อร้ายท่ามกลางซากปรักหักพังที่กว้างใหญ่ไพศาล เพียงแค่ไม่กี่วันก็เที่ยวปล้นชิงสำนักอื่นๆไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็สมุนไพร หินิญญาหรือจุดชีพจรต่างๆ หากสนใจอะไรก็จะปล้นชิงไปหมด อย่าว่าแต่สำนักหนานิเลย แม้แต่สามสำนักใหญ่ยังไม่อาจหลุดรอดไปด้วย ย่อมถูกปล้นชิงไปหลายครั้งเหมือนกัน…
หลังจากได้ยินเื่ทั้งหมด จิงต้าไห่ก็เริ่มสงบสติอารมณ์…
จากนั้นจึงเริ่มสืบข้อมูลเวินโหวอย่างจริงจัง
แต่ผลก็คือเขาสามารถล่วงรู้เื่ที่น่าเหลือเชื่อจนได้…
ก่อนหน้านี้ก็เป็ที่รู้กันว่าจิงต้าไห่มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับเหล่าผู้าุโของสามสำนักใหญ่ และบังเอิญมีวันหนึ่งจิงต้าไห่ได้เจอผู้าุโชื่อิเข้าพอดี เมื่อคุยไปคุยมา ก็เข้าเื่ของเวินโหวพอดี…
หลังจากกล่าวอำลาผู้าุโชื่อิ แผ่นหลังของจิงต้าไห่ก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ…
‘บ้าเอ๊ย จะน่ากลัวเกินไปแล้ว…’
หากผู้าุโชื่อิไม่บอกละก็ ใครจะไปคาดคิดว่าคนที่แทนตนเองว่าชื่อเวินโหวจากหุบเขาหมื่นอสูรผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็เ้าของร้านหลอมอาวุธฟานซื่อที่มีชื่อเสียงในเมืองวั่งไห่ เขาคนนี้เป็ศิษย์ของสำนักเวิ่นเจี้ยน ที่มีชื่อว่าหลินเฟยต่างหาก แถมยังคิดไม่ถึงเลยว่าคนผู้นี้ จะมีพลังเพียงขั้นบำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สามเท่านั้น แต่กลับมีฝีมือทัดเทียมกับจงซานแห่งสำนักเชียนซานเลยทีเดียว
‘แน่นอนว่าคนเช่นนี้ สำนักหนานิจะกล้ามีเื่งั้นหรือ?’
‘หากสำนักหนานิไปขวางทางหลินเฟยเข้าละก็ ย่อมถือว่ารนหาที่ตายก็ว่าได้ เพราะคนที่มีพลังทัดเทียมกับยอดฝีมือของสำนักเชียนซานเช่นนี้ เกรงว่าสำนักหนานิเองก็คงต้องทุ่มศิษย์เข้าไปสังหารมากมาย’
‘ไม่เพียงเท่านี้ หากไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ละก็…’
‘นั่นต่างหากที่เป็หายนะอย่างแท้จริง’
‘หากวันหน้าคนผู้นี้บรรลุขั้นจิงตันหรือไม่ก็ฟ่าเซี่ยงแล้วละก็ สำนักหนานิจะทำอย่างไรกันล่ะ?’
ยิ่งคิดจิงต้าไห่ก็ยิ่งหวาดกลัวจนตัวสั่น แถมยังรู้สึกโชคดีที่ตนเองมีเครือข่ายที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ จึงทำให้เ้าตัวไหวตัวทันเสียก่อน…
แต่ที่จิงต้าไห่คิดไม่ถึงก็คือ หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อมาถึงที่เกาะแล้วกลับต้องมาพบกับหลินเฟยจนได้…
ในตอนแรกจิงต้าไห่เองก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก…
แต่ก็เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
เพราะหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว จิงต้าไห่ก็ตั้งสติได้…
‘ทำไมจะต้องหนีด้วยล่ะ ออกไปทำความรู้จักก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร นั่นเป็ถึงผู้บำเพ็ญมิ่งหุนที่มีพลังทัดเทียมกับจงซานจากสำนักเชียนซานเชียวนะ แม้แต่ผู้าุโชื่อิยังต้องหวาดระแวงด้วยซ้ำ ปกติหากอยากจะรู้จักคนเช่นนี้แค่ไหน ยังไงก็ไม่มีโอกาสอยู่แล้ว บัดนี้มีโอกาสอยู่ตรงหน้าทั้งที แล้วจะยังมัวยืนอึ้งอะไรอยู่เล่า?’
อีกอย่าง...
‘ผู้าุโชื่อิเคยบอกไว้ว่าหลินเฟยคนนี้นอกจากมีพลังที่แสนร้ายกาจแล้ว เขายังเป็เ้าของร้านหลอมอาวุธฟานซื่ออีกด้วย!’
‘ทุกคนในแถบทะเลอูไห่ต่างก็รู้ดีว่าร้านหลอมอาวุธฟานซื่อคืออะไร...’
‘แน่นอนว่าคนเช่นนี้ ใช่คนที่อาจารย์ของสำนักศึกษาลิ่วเยิ่นจะสามารถเทียบเทียมได้งั้นหรือ?...’
ทว่าเว่ยจงซูกลับไม่รู้เลยว่าจิงต้าไห่กำลังคิดอะไรอยู่...
เพราะในตอนนี้เว่ยจงซูเอาแต่คิดเื่ดอกจื่อถานม่วง จากเดิมตอนที่จิงต้าไห่ปรากฏตัวขึ้น เว่ยจงซูยังพยายามคิดหาวิธีไล่อีกฝ่ายไป เช่นนั้นตนเองจะได้ฮุบดอกจื่อถานม่วงนี้ไว้เอง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจิงต้าไห่จะดูสนอกสนใจผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สามผู้นี้มาก...
เว่ยจงซูจึงไม่ยอมง่ายๆ...
‘ทำแบบนี้แล้วข้าจะฮุบไปได้อย่างไรล่ะ?’
‘หากเ้ายื่นมือมาขวางเล่า จะทำอย่างไร?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น เว่ยจงซูก็ไม่สนใจจิงต้าไห่อีก จากนั้นก็รีบเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึมทันที
“ศิษย์น้องจิง เมื่อกี้ได้ยินว่าจุดชีพจรของสำนักหนานิถูกเ้าหนุ่มผู้นี้ปล้นชิงไปงั้นหรือ?”
“ไม่เป็ไรเลยๆ เพียงจุดชีพจรเท่านั้น จะปล้นก็ปล้นไปเถอะ...” จิงต้าไห่ได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยตอบออกมาอย่างไม่ยี่หระ
“...” เว่ยจงซูได้ยินคำตอบของอีกคน ก็ถึงกับชะงักลงทันที
‘ให้ตายเถอะ ทำไมไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยล่ะ เวลานี้เ้าควรโกรธแค้นก่าด่าอีกฝ่ายถึงจะถูกสิ แต่ดันมาพูดไม่ถือสาเช่นนี้ แล้วข้าจะลงมือได้อย่างไรกัน?’
‘ช่างเถอะ เช่นนั้นข้าก็จะโกรธแค้นแทนเองแล้วกัน!’
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าไม่สนหรอกว่าเ้าหนุ่มผู้นี้มีที่มาอย่างไร แต่ข้าไม่อาจทนเห็นเ้าหนุ่มผู้นี้ปล้นชิงคนอื่นได้อีก ดังนั้นวันนี้ข้าจะทวงความยุติธรรมให้เองก็แล้ว!”
เว่ยจงซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ขณะที่จิงต้าได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับมึนงง ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น...
‘หมายความว่าอย่างไร?’
‘ข้าไปอยากให้ทวงความยุติธรรมั้แ่เมื่อไหร่?’
‘ช่วยเบิกตาดูหน่อยเถอะ นั่นคือเ้าของร้านหลอมอาวุธฟานซื่อเชียวนะ เป็ถึงปรมาจารย์หลอมอาวุธระดับแนวหน้าของเมืองวั่งไห่เลยทีเดียว โดยปกติจะพบหน้าคนเช่นนี้ยากมาก เพราะฉะนั้นเพียงจุดชีพจรเล็กๆเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็โอกาสเชื่อมความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายได้เลยทีเดียว ข้าจิงต้าไห่น่ะ ยินดีจะตายไป!’
แท้จริงแล้วการที่เว่ยจงซูแสดงตัวออกมาเช่นนี้ กลับมีเป้าหมายอื่นอีก เพราะหลังจากที่เอ่ยจบก็ไม่สนว่าจิงต้าไห่จะมีปฏิกิริยาเช่นไร จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางหลินเฟยทันที
“ก่อนหน้านี้เพราะเห็นแก่หน้าปรมาจารย์เหยียน เดิมยังคิดจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเ้า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเ้าคือเวินโหวที่เที่ยวปล้นชิงวิ่งราวไปทั่ว ฉะนั้นวันนี้ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมแทนทุกคนให้จงได้!”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------