บริเวณพรมแดนที่เชื่อมต่อระหว่างสามอาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรหนานหลิง อาณาจักรเทียนเฟิงและอาณาจักรต้าหยวนนั้นมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าหุบเขาเทียนอวิ่น
หุบเขาเทียนอวิ่นแห่งนี้มีพื้นที่ความยาวหลายร้อยลี้และมีความกว้างมากกว่าร้อยลี้ ภายในหุบเขาเทียนอวิ่นนั้นมีสำนักฝึกยุทธ์และสำนักศึกษาราชวงศ์ที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปไกลทั่วทั้งสามอาณาจักรอยู่
สำนักศึกษาราชวงศ์เป็หนึ่งในสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสามอาณาจักร ภายในสำนักศึกษานั้นมีบัณฑิตอยู่จำนวนหลายหมื่นคน และยังมีผู้แข็งแกร่งอีกจำนวนมาก จากทั่วทั้งสามอาณาจักร เคล็ดวิชาการฝึกฝนทักษะพลังปราณของที่นี่นับว่าอยู่ในระดับสูงสุด มีคนที่ทรงพลังนับไม่ถ้วนอยู่ในสถานศึกษา ในทุกปีพวกเขาจะเปิดรับสมัครศิษย์เพื่อคัดเลือกผู้คนจากทั้งสามอาณาจักรมาเข้าศึกษาในสำนักศึกษา
โดยปกติแล้ว บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาราชวงศ์ ส่วนใหญ่จะกลายเป็บุคคลสำคัญที่มีความโดดเด่นในสามอาณาจักร
ภายในสำนักศึกษานั้นมีอาคารตั้งเรียงรายอยู่เป็จำนวนมาก กระทั่งศาลาพักอันวิจิตรงดงามที่เอาไว้ให้ผู้คนนั่งพักผ่อนหย่อนใจก็มีอยู่มากมาย สิ่งอำนวยความสะดวกล้วนมีพร้อมอย่างครบครัน ราวกับว่าเป็เมืองแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ณ บริเวณนอกลานบ้านแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดสีน้ำเงินกำลังกัดริมฝีปากของนางแน่น แววตาคู่สวยของนางเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความลังเล แต่เมื่อหวนนึกถึงภาพเงาร่างอันเด็ดเดี่ยวของเด็กหนุ่มผู้นั้น นางก็ยังคงเคาะลงบนหน้าประตูลานบ้าน
“เข้ามา”
เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น มู่หลิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอกจึงผลักประตูเข้าไป พร้อมกับกลิ่นหอมประหลาดบางอย่างที่โชยออกมา
ลานแห่งนี้มีขนาดกว้างมาก ภายในนั้นมีแปลงสมุนไพรอยู่หลายชนิด ถือได้ว่าเป็สวนยาสมุนไพรขนาดย่อม โดยสมุนไพรแต่ละชนิดนั้นล้วนเป็วัตถุดิบของตัวยาล้ำค่า มีทั้งสีเขียว สีแดง รวมถึงสีเขียวสดซึ่งแบ่งออกเป็หลากหลายชนิด และแต่ละต้นนั้นมีค่ามากกว่าหนึ่งพันเหรียญตำลึงทองเสียอีก
มู่หลิงเอ๋อร์เดินเข้าไปในลานสมุนไพร ก่อนจะพบกับหญิงชราในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่ง หญิงชราผู้นี้มีใบหน้าซูบผอม ผมหงอกขาว ดวงตาของนางมีเงาแสงสีเขียวส่องประกาย ผิวหน้าของนางนั้นดูราวกับผิวของเปลือกส้มแห้ง ซึ่งทำให้นางดูน่ากลัวเล็กน้อย
“คารวะนักปรุงโอสถเหลิ่ง”
มู่หลิงเอ๋อร์แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายตามมารยาทของผู้เยาว์
“เป็หลิงเอ๋อร์รึ ว่าอย่างไร เ้าคิดเห็นอย่างไรกับเงื่อนไขของข้า?”
หญิงชราจ้องมองไปยังมู่หลิงเอ๋อร์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่ทำให้ฟังได้ยาก
“ของเพียงท่านสามารถมอบตัวยาที่รักษาเส้นลมปราณให้ข้าได้ ข้า ข้ายินดีจะฝึกฝนเคล็ดวิชานั้น”
มู่หลิงเอ๋อร์กัดฟันพูดออกมาในที่สุด
“ดีมาก นี่คือยาหล่อเลี้ยงเส้นลมปราณ เป็ยาครอบจักรวาลขั้นที่หก ทั่วทั้งเมืองเป่ยหยวนมีอยู่เพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น”
หญิงชราเหยียดยิ้มออกมาทันทีหลังได้ยินคำพูดนั้น รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของนางดูราวกับดอกเบญจมาศ นางได้หยิบขวดหยกสีขาวออกมาจากแหวนเฉียนคุนและส่งมอบมันให้มู่หลิงเอ๋อร์
มู่หลิงเอ๋อร์รับมันมาก่อนจะเปิดขวดเพื่อตรวจสอบ นางพบว่าภายในนั้นมีเม็ดยาสีเขียวขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือบรรจุอยู่ภายในขวด นี่คือยาครอบจักรวาลขั้นหกอย่างแน่นอน ยาครอบจักรวาลขั้นหกเพียงหนึ่งเม็ดเกรงว่าคงมีมูลค่าไม่ตำกว่าหนึ่งล้านเหรียญตำลึงทอง
“เป็ยาครอบจักรวาลขั้นหกจริงด้วย เสี่ยวเฟิง อาการาเ็ของเ้าสามารถรักษาได้แล้ว”
มู่หลิงเอ๋อร์ยิ้มออกมาอย่างดีใจ จากนั้นนางได้เก็บขวดยาเอาไว้อย่างดี ก่อนจะหันไปทำความเคารพหญิงชราในทันที
“เอาละ ในเมื่อเ้าได้รับตัวยาไปแล้ว เช่นนั้นก็จงตามข้ามา”
หญิงชรากล่าวขึ้น จากนั้นนางได้หันหลังกลับและเดินเข้าไปในบ้าน มู่หลิงเอ๋อร์รีบตามอีกฝ่ายเข้าไปในทันที
เมื่อเข้ามาภายในห้องศิลาสีดำ หญิงสาวพบว่าภายในห้องนั้นมีบ่อน้ำบ่อหนึ่งตั้งอยู่ และในบ่อน้ำก็เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“เปลื้องผ้าแล้วลงไปในบ่อนั่นเสีย ไม่ว่าจะเ็ปอย่างไร เ้าต้องอดทนเอาไว้ และฝึกฝนไปตามที่ข้าเคยสอน”
หญิงชรากล่าวอย่างเฉยเมย
มู่หลิงเอ๋อร์พยักหน้า ก่อนจะเริ่มถอดสายรัดเอวและชุดของตัวเองออก เผยให้เห็นผิวขาวราวหิมะรวมถึงรูปร่างอรชรอันน่าภาคภูมิใจของนาง จากนั้นขาเรียวยาวของหญิงสาวก็เดินก้าวเข้าไปหาบ่อน้ำ นางพยายามอดทนต่อความรู้สึกอันน่าคลื่นไส้นี้พลางก้าวขาลงไปในบ่อโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากลงไปในบ่อโลหิตแล้ว หญิงสาวก็นั่งลงขัดสมาธิเพื่อทำการฝึกฝนในทันที ความรู้สึกแสบร้อนได้ถาโถมเข้ามาโดยพลัน นางรู้สึกราวกับว่าตนกำลังนั่งอยู่ในน้ำเดือด
มู่หลิงเอ๋อร์กัดฟันแน่น ก่อนจะเริ่มโคจรพลังปราณภายในร่างตามแบบวิธีการฝึกที่หญิงชราได้ถ่ายทอดให้กับนาง
หญิงชรานำขวดหยกขวดหนึ่งออกมา ก่อนจะเทของเหลวภายในขวดออกมาหนึ่งหยด ของเหลวสีทองเข้มได้หยดลงไปในบ่อโลหิต ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็คือแก่นโลหิต!
แก่นโลหิตหยดนี้มีพลังมหาศาล เมื่อมันถูกหยดลงไปในบ่อโลหิต ฉับพลันนั้นบ่อโลหิตก็เดือดพล่านขึ้นมาในทันที
ก่อนจะปรากฏเส้นพลังงานสีแดงเข้มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่หลิงเอ๋อร์ เวลานั้นหญิงสาวรู้สึกราวกับมีน้ำมันที่เดือดระอุไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของตนซึ่งมันให้ความรู้สึกเ็ปอย่างแสนสาหัส
“อ๊าก…!”
หญิงสาวกรีดร้องเสียงโหยหวนออกมาอย่างทรมาน และเสียงนี้ได้ดังสะท้อนอยู่ภายในห้องศิลา ท่าทางของนางราวกับไม่อาจอดทนต่อความเ็ปนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“อดทนเอาไว้ หากว่าเ้าล้มเหลว ยาที่ข้ามอบให้เ้าไป ข้าจะเอาคืน!”
หญิงชรากล่าวเสียงเย็น
“ข้า ข้าจะอดทน ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่คืนยานั่น น้องชายของข้าจำเป็ต้องใช้มัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่หลิงเอ๋อร์ก็พยายามอดกลั้นต่อความเ็ปในทันที นางกัดฟันแน่นขึ้นขณะพยายามฝึกฝนต่อไป
พลังแก่นโลหิตภายในบ่อเริ่มไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่หลิงเอ๋อร์ เวลานี้ใบหน้างดงามของนางพลันบิดเบี้ยวด้วยความเ็ป
แต่เมื่อนางนึกถึงเขา นึกถึงเด็กหนุ่มผู้ดื้อรั้นคนนั้น น้องชายผู้เป็ที่รักของนาง ความเชื่อมั่นอันแรงกล้านี้ก็ได้ช่วยผลักดันให้ตัวนางสามารถอดทนต่อไปได้
นาง้าช่วยเหลือเขา ์ทำให้เขาต้องสูญเสียบิดามารดาไปแล้ว นางไม่้าให้์กีดกันความหวังที่จะแข็งแกร่งขึ้นของเขาอีก
“สามารถดูดซับได้ตามคาด เด็กสาวผู้นี้มีพลังอสูรฟ้าโดยกำเนิดอย่างที่คิดเอาไว้ ช่างน่าเสียดายที่พลังอสูรฟ้าดันมาถือกำเนิดในร่างของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ไม่เป็ไร เดี๋ยวข้าผู้นี้จะเปลี่ยนเส้นโลหิตให้เ้าเอง ฮี่ๆ ๆ...”
หญิงชราพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มอันน่าพรั่นพรึง
“อ๊าก…!”
หยาดเืของหญิงสาวได้ไหลออกมาจากร่างกาย จากนั้นเืสีแดงเข้มภายในบ่อก็ไหลเวียนเข้าไปแทนที่ กระทั่งแก่นโลหิตยังซึมเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างสมบูรณ์
“ผู้ปรุงโอสถเหลิ่ง ข้าเ็ปเหลือเกิน นี่มันอะไรกัน อ๊าก...”
มู่หลิงเอ๋อร์กรีดร้องออกมาอีกครั้ง คราวนี้ร่างอันบอบบางของนางกำลังขดตัวอยู่ในบ่อโลหิต ร่างกายของนางในเวลานี้ดูอ่อนแอเป็อย่างยิ่ง นอกจากนี้มันยังสั่นเทาด้วยความเ็ป
“เส้นโลหิตนี้เป็เส้นโลหิตที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์นับหมื่น มันจะทำให้เ้ารู้สึกราวกับได้เกิดใหม่ ฉะนั้นเ้าจงยอมรับมันแต่โดยดีเถอะ”
หญิงชราหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นะเื
เืในกายของมู่หลิงเอ๋อร์ยังคงถูกขับออกมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เืสีเข้มภายในบ่อได้ไหลเข้าไปเติมเต็มอย่างไม่รู้จบ หลังจากนั้นไม่นาน ร่างกายของมู่หลิงเอ๋อร์ก็ดูดซึมเืภายในบ่อโลหิตเข้าไปจนหมด
ฉับพลันนั้นได้มีแถบเส้นสีดำปรากฏขึ้นบนผิวกายขาวเนียนของมู่หลิงเอ๋อร์ หญิงสาวยกมือทั้งสองข้างของนางขึ้นมอง ก่อนจะเห็นกับตาของตนว่าเล็บของนางกำลังเปลี่ยนเป็กรงเล็บอันแหลมคม ทันใดนั้นความเ็ปได้ปะทุขึ้นบริเวณแผ่นหลังอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อแผ่นหลังของนางฉีกขาด ก่อนจะปรากฏปีกสีนิลคู่หนึ่งที่คล้ายคลึงกับปีกนกงอกออกมาจากบริเวณนั้น กระทั่งเส้นผมของนางยังกลับกลายเป็สีแดงเข้ม
ในขณะเดียวกันนั้น ระดับวรยุทธ์ของนางก็ได้เพิ่มสูงขึ้นจากระดับจื่อฝู่ขั้นสี่กลายเป็ระดับจื่อฝู่ขั้นเก้า!
มู่หลิงเอ๋อร์จ้องมองปีกสีนิลที่งอกออกมาจากแผนหลังของตัวเองด้วยสายตาสยดสยอง โดยเฉพาะเล็บอันแหลมคมที่เหมือนกับกรงเล็บนี้ยิ่งทำให้นางใจนตัวแข็งค้าง
“ข้า ข้ากลายเป็เช่นนี้ไปได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้า...”
มู่หลิงเอ๋อร์ไม่อยากจะเชื่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตน หญิงสาวร้องไห้กอดตัวเองอยู่ภายในบ่อโลหิต...
“จุ๊ๆ ๆ... ข้าทำสำเร็จแล้ว เปลี่ยนเส้นโลหิต ข้าทำได้แล้ว ข้าสามารถเปลี่ยนเส้นโลหิตได้แล้ว!”
หญิงชรามองมายังหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น จากนั้นนางได้กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มอันเย็นะเืว่า “หนูน้อย เ้าอย่าได้ร้องให้อีกเลย นี่คือเส้นโลหิตอสูร มันประเสริฐยิ่งกว่าเส้นโลหิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างพวกเ้าไม่รู้ตั้งเท่าไร”
หญิงชรากล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น นางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมู่หลิงเอ๋อร์ด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความพึงพอใจ
แท้จริงแล้วตัวตนของหญิงชราผู้นี้เป็ใครกันแน่?
แน่นอนว่าทางฝั่งมู่เฟิงย่อมไม่ทราบว่าเพื่อตัวเขาแล้ว พี่สาวของเขาได้ยอมทำข้อตกลงอะไรแบบนี้ขึ้น
ความสัมพันธ์ที่เรียกกันว่าเครือญาตินั้น ย่อมสามารถทำให้คนผู้หนึ่งยอมเสียสละเพื่อใครอีกคนได้อย่างไม่มีเงื่อนไข...