หลังจากเย่เฟิงวิ่งเข้าสุสานโบราณ สายตาทั้งสองข้างพลันมืดสนิท หากเขามีพลังบ่มเพาะระดับสิบปีก็คงพึ่งจิตหยั่งรู้ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถเช่นนั้น โชคดีที่เขาเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว
ชายหนุ่มหยิบไฟฉายขนาดเล็กพร้อมถ่านไฟฉายอีกหลายก้อนเพื่อเพิ่มเวลาการใช้งานไฟฉายอย่างต่อเนื่อง จ้าวอี้เปยเตรียมของพวกนี้ใส่กระเป๋าสีดำใบเล็กในอ้อมแขนเขา ไฟฉายไม่สว่างมากนักทว่าเพียงพอสำหรับเย่เฟิง
ทันทีที่เปิดไฟฉาย ทางเดินซึ่งเกิดจากรอยแตกของหินก็ปรากฏต่อหน้าเย่เฟิง ตลอดเส้นทางสามารถผ่านไปได้ทีละคนเท่านั้น แต่ระยะทางร้อยกว่าเมตรข้างหน้ากลับขยายกว้าง เย่เฟิงรู้ทันทีว่านั่นคือทางเข้าซากสุสานโบราณ
ชายหนุ่มไม่เห็นแม้แต่เงาของหลงหว่านเอ๋อร์ แต่เขาจำเป็ต้องตามอีกฝ่ายให้ทัน เพราะหากไม่มีแผนที่นั้นแล้วตนก็ยากจะอยู่ในสุสานโบราณแห่งนี้ต่อไป เขาไม่ใช่นักล่าหลุมศพ ไม่ว่าทักษะหรือการเตรียมเครื่องมือก็ยังห่างชั้นจากจูไป่เหนี่ยว
เย่เฟิงวิ่งได้สามก้าวก็ถึงห้องหินขนาดเล็ก ห้องนี้มีทางเข้าออกเพียงประตูหินที่ถูกทำลายโดยจูไป่เหนี่ยว ไม่มีทางอื่นอีก ชายหนุ่มจึงก้าวเข้าประตูหินและทะลุเข้ามาในอาณาเขตที่แท้จริงของสุสานโบราณเสียที ภายใต้แสงสลัวจากไฟฉาย บันไดหินซึ่งถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยตั้งตระหง่านตรงหน้าท่ามกลางความมืดชายหนุ่มมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมันเลย
‘อากาศชื้นนิดหน่อยเหมือนที่จูไป่เหนี่ยวบอก มีทะเลสาบใต้ดินขนาดใหญ่อยู่ใจกลางสุสานโบราณแห่งนี้...’ เย่เฟิงคาดเดาพลางพยายามหาเบาะแสของหลงหว่านเอ๋อร์ เขาวิ่งไปข้างหน้าและลงบันไดหินอย่างรวดเร็วจนถึงพื้นด้านล่าง
ส่องไฟฉายทั้งสองข้างทางสักพักก็พบว่าบนกำแพงทั้งสองด้านของทางเดินมีคบเพลิงอยู่เป็ระยะ น่าเสียดายที่ทั้งหมดล้วนถูกดับไปแล้ว แต่คบเพลิงอันที่ใกล้ที่สุดกลับหายไป เย่เฟิงเดาว่าหลงหว่านเอ๋อร์คงเอาไปใช้นำทาง
‘คุณหนูใหญ่คนนี้ฉลาดมากทีเดียว...’ เย่เฟิงชมอยู่ในใจก่อนกลับมามีสมาธิอีกครั้ง เห็นได้ชัดเลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ
เมื่อวิ่งไปตามทางเดินประมาณครึ่งกิโลเมตรก็พบว่าเื่เริ่มจะยุ่งยากมากขึ้น คาดไม่ถึงว่าตรงนี้จะมีทางแยก
เขารีบย่อตัวลงเพื่อดูร่องรอยบนพื้น พยายามหาเบาะแสบางอย่าง ก่อนพบว่าฝุ่นตรงทางเดินด้านซ้ายมีรอยเท้าจางๆ หลายจุด
‘ด้านนี้ไม่ใช่ทางไปห้องโถงของสุสาน มันเป็ทางตันไม่ใช่เหรอ?’ เย่เฟิงขมวดคิ้ว อีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่ เธอมีแผนที่อยู่ในมือ เป็ไปไม่ได้ที่จะพาตัวเองไปทางตันหรอกใช่ไหม?
เป็เพราะเขารีบร้อนจึงจำได้เพียงจุดเริ่มต้นตลอดจนทางไปทะเลสาบใต้ดินที่อยู่ใจกลางสุสาน ยังไม่ทันได้ดูส่วนอื่นก็ถูกหลงหว่านเอ๋อร์ชิงแผนที่ไปเสียก่อน
อย่างไรทางเส้นนี้ก็อยู่ไม่ไกล เย่เฟิงจึงตัดสินใจไปยังทางซ้าย กำแพงหินตามทางดูเก่าแก่และมีประวัติยาวนาน แต่ได้รับการดูแลอย่างดี หากนักประวัติศาสตร์ได้มาที่นี่ พวกเขาต้องอุทานว่าได้พบสมบัติล้ำค่าเข้าแล้ว น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายต่อเย่เฟิงสักนิด
เพียงไม่นานก็มาถึงปลายทางซึ่งเป็รอบนอกของห้องโถงสุสาน
‘ให้ตายสิ ถูกหลอกตามคาด’ เย่เฟิงสำรวจห้องในสุสานขนาดไม่ใหญ่นักอย่างระมัดระวังและไม่พบร่องรอยของหลงหว่านเอ๋อร์เลย ภายในห้องมีเพียงหลุมฝังศพหลุมหนึ่ง เขาจึงไม่สนใจ
จากนั้นชายหนุ่มจึงไม่กล้าดูถูกผู้หญิงคนนี้อีก นึกไม่ถึงเลยว่าร่องรอยตรงทางแยกจะเป็ของปลอมทำให้เขาเสียเวลาไปมาก ดูเหมือนการไล่ตามเธอจะเป็เื่ยากเสียแล้ว
‘ตอนนี้ฉันต้องไปทะเลสาบใต้ดินก่อน’ เย่เฟิงตัดสินใจก่อนออกตัวไปทันที
จูไป่เหนี่ยวกล่าวว่าทะเลสาบใต้ดินไม่ใช่สิ่งดั้งเดิมของสุสานโบราณ แต่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติในภายหลังก่อนจะครองเต็มพื้นที่ห้องโถงสุสาน บริเวณนั้นเป็ที่ที่เขาพบหินจิติญญาและสาวงามซูเฟยหยิ่งเป็ครั้งแรก!
ดังนั้นเย่เฟิงต้องสำรวจสถานที่ก่อนครั้งหนึ่ง หากไม่พบหลงหว่านเอ๋อร์ก็จะลงไปทะเลสาบใต้ดินเพื่อตรวจสอบ จากนั้นย้อนกลับทางเดิมโดยลองปีนผาหินสูงชันเพื่อกลับไปด้านนอก แต่ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ การจะปีนผาชันหลายสิบเมตรเป็เื่ยาก จึงทำได้เพียงหวังว่าจะพบอะไรบางอย่างจากทะเลสาบใต้ดิน หวังให้มีผลลัพธ์ที่ดี
เนื่องจากเส้นทางสลับซับซ้อน เย่เฟิงจึงค่อยๆ เดินไปทะเลสาบใต้ดินใจกลางสุสานตามแผนที่จากความทรงจำเท่าที่จะนึกได้ หัวใจสั่นรัวเมื่อเข้าใกล้ทะเลสาบใต้ดินมากขึ้น
ท่านอาจารย์ซูเฟยหยิ่งคนสวยของเขาเคยปรากฏตัวที่นี่จริงหรือ? หากไม่ใช่แล้วทำไมด้านหลังคนในรูปถึงคล้ายกันขนาดนี้? ถ้าเป็เธอจริง ทำไมถึงต้องมาซากสุสานโบราณแบบนี้?
เย่เฟิงมีคำถามมากมาย และหวังเพียงเมื่อถึงทะเลสาบใต้ดินแล้วจะสามารถคลี่คลายความสงสัยได้
ระยะทางไม่ไกลนัก เย่เฟิงส่องไฟฉายในมือพร้อมเดินไปประมาณสิบนาทีก็ถึงจุดหมาย จังหวะที่หันกลับไป แสงไฟสลัวจากไฟฉายของเขาก็ถูกแสงสลัวสีขาวอีกดวงบดบัง
“ถึงแล้ว!” เย่เฟิงปิดไฟฉายก่อนเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาโดยรอบ เป็ไปตามที่จูไป่เหนี่ยวกล่าวไว้ แสงสลัวสีขาวที่ส่องทั่วพื้นที่มาจากไข่มุกราตรีขนาดใหญ่ใจกลางโถงสุสาน น่าเสียดายที่ตอนนี้มันจมลงก้นทะเลสาบเสียแล้ว จึงทำได้เพียงเปล่งแสงเลือนรางเท่านั้น
ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อมองรอบห้องโถงใจกลางสุสาน
ที่เก็บโลงศพสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดหลายร้อยเมตรส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำใสสะอาดของทะเลสาบใต้ดิน บริเวณโดยรอบมีไม้เลื้อยขึ้นแน่นขนัดภายใต้แสงสว่างอ่อนจาง ดูไม่ไร้ชีวิตเช่นทางที่ผ่านมา กลับเหมือนแดน์เสียด้วยซ้ำ
คาดไม่ถึงว่าจะเห็นปลาแหวกว่ายในทะเลสาบได้ชัดเจน ปราดเปรียวมีชีวิตชีวา พืชใต้น้ำอุดมสมบูรณ์ แสงของไข่มุกราตรีส่องผ่านพืชและผิวน้ำราวกับผ้าโปร่งสีขาวผืนบางปกคลุมทั่วพื้นที่
เมื่อได้มาเยือนที่แห่งนี้ เย่เฟิงก็รู้สึกปลอดโปร่ง เพราะััถึงกลิ่นอาย์และโลก!
แม้จะอ่อนแรงแต่ก็มีอยู่จริง มิน่าล่ะจูไป่เหนี่ยวถึงมาที่นี่เพื่อหา ‘ศิลาหยก’ อย่างไรเสียนักล่าหลุมศพก็ไม่ใช่จอมยุทธ์มาแต่เดิม ถึงจะพบหินจิติญญาแต่ไม่รู้ประโยชน์ของมัน เพียงหยิบมาโยนให้โอวเอและเย่เฟิง
เย่เฟิงเดินไปยังทะเลสาบพลางครุ่นคิดบางอย่าง กลับถูกร่างบางโถมตัวเข้าใส่อย่างกะทันหัน
“ใครกัน?” ไม่ทันสิ้นเสียง กลิ่นหอมก็โชยเข้าจมูกเย่เฟิง แล้วเขาก็ถูกผลักจนล้มกับพื้นอย่างแรง
ส่วนนุ่มนิ่มััร่างกายของเขา ทั้งยังมีกลิ่นหอมนั่นอีก หากไม่ใช่หลงหว่านเอ๋อร์แล้วจะเป็ใคร?
ไม่นึกเลยว่าจะถูกเธอโถมตัวใส่จนล้ม!
แสงจากไข่มุกราตรีสลัวเกินไปจนมองสิ่งต่างๆ ไม่ชัดเจน แต่เย่เฟิงััได้ว่าสภาพของอีกฝ่ายกำลังย่ำแย่ ร่างกายเธอร้อนผ่าว เสื้อผ้าหลุดรุ่ย ลมหายใจหอบถี่ ผลของพิษที่ปะทุขึ้นจนแรงปรารถนาลุกโชน
ความนุ่มหยุ่นและอวบอิ่มของทรวงอกทำให้ส่วนล่างของเย่เฟิงตื่นตัวขึ้นมาเสียได้!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้