~ พิธีอภิเษกสมรสสนมเต๋อเฟย~
ลานกว้างหน้าพระราชวังถูกประดับไปด้วยช่อผ้าสีแดงสด เหล่านางกำนัลกำลังเร่งรีบจัดแต่งชุดให้เ้าสาว ใบหน้านางยามนี้ฉายแววไปด้วยความสุข แม้นางจะมิเคยพบฮ่องเต้หนานรั่วหานคนนี้มาก่อน
แต่เมื่อได้มาพบนางก็ยินดีพร้อมแต่งแม้ต้องอยู่ขั้นสนมนางก็รับได้ แม่สื่อจัดแต่งมงกุฎให้นางเป็ครั้งสุดท้าย
“ฮ่องเต้เสด็จจจจ” เหิงกงกงที่ยืนอยู่หน้าตำหนักซูเฉียวกง เอ่ยะโบอกกล่าวให้นางรู้ว่าพิธีส่งตัวได้เริ่มแล้ว ร่างสูงย่างลงจากเกี้ยวหลังใหญ่ ด้วยท่วงท่าสง่างามชุดสีแดงสะบัดตามแรงจังหวะก้าวเดิน
“ข้ามีงานที่ต้องสะสางต่อฉะนั้นรีบเสร็จพิธี” ฮ่องเต้หนานรั่วหานเอ่ยบอกเหิงกงกง ชายชรายอบกายก่อนเร่งรีบวิ่งไปหน้าห้องหอนาง ร่างบางยามนี้นั่งนิ่งในใจกลับราวมีเสียงกลองตีกึกก้อง มือเล็ก ๆ
ก็พลางสั่นด้วยความตื่นเต้นปนกลัวไปได้ ฮ่องเต้หนุ่มค่อย ๆ นั่งลงข้างนางก่อนจะยกผ้าปิดหน้าออก ใบหน้าอิ่มแหงนมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตากลมโต
เขาขมวดคิ้วหนาก่อนจะหันไปหยิบยกสุรามงคลขึ้นดื่มรวดเดียวหมดก่อนจะรินยื่นส่งให้นาง
“เ้าเองก็ดื่มสิ” โจวนาซูมองแก้วสุรามงคลก่อนจะยกแตะที่ริมฝีปาก กลิ่นหอมปนฉุนลอยแตะจมูกเล็กของนางถึงกับย่นจมูกก่อนหายใจเข้าและยกดื่มในคราเดียว
“เ้ามิต้องกลัวเจิ้น หากแคว้นเ้ายังมิได้ทำการใดที่ผิดต่อแคว้นเป่ยหลง เจิ้นเองก็จะเลี้ยงดูเ้าอย่างดี” ฮ่องเต้หนุ่มถือแก้วสุรามงคลที่เพิ่งยกหมดไปเมื่อครู่แน่นราวสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ
ด้วยเพราะหนังสือนั้นที่เขียนให้เขาต้องแต่งนางเข้าเป็ภรรยาอีกคน เพื่อเป็เครื่องพิสูจน์ว่าแคว้นเป่ยหลงจะมิคิดเป็ศัตรู แม้แคว้นเป่ยหลงจะมีทหารที่เก่งกาจ แต่ด้วยจำนวนกำลังของทหารที่มีน้อยกว่าเกือบแสนนาย
ทำให้เขาจำยอมทำตาม
“เพค่ะ...” นางน้อมรับคำอย่างง่ายดายก่อนจะเอื้อมมือเล็ก ๆ ไปจับสาบเสื้อคลุมสีแดงบนร่างแกร่งของเขา
“เ้าจะทำอันใด”
“หม่อมฉันจะถอดฉลองพระองค์ให้ฝ่าาไงเพค่ะ” แววตาใสซื่อนางจับจ้องมองอย่างไร้เดียงสา จนฮ่องเต้หนุ่มต้องรีบจับมือนางกระชากออก
“ข้ามีฎีกามากมาย เมื่อเสร็จพิธีแล้วข้าต้องรีบกลับไปดู เหิงกงกงดูแลนาง” เขากล่าวอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะปล่อยให้นางนั่งเก้ออยู่ในห้องหอนี้ องค์หญิงโจวนาซูยามนี้ได้ยศแต่งตั้งเป็ซื่อฟูเหรินตำแหน่งเต๋อเฟย
นางดึงผ้าคลุมกำบิดแน่นราวข่มอารมณ์โกรธ
หลิวเซียงเอ๋อร์ตื่นแต่เช้าเอามือขยี้ตามองไปรอบ ๆ หลินเสียงนอนหมอบศีรษะข้างเตียงนอนเธอจนดูน่าสงสาร เธอนึกถึงพิธีงานอภิเษกของฮ่องเต้เมื่อวานที่ผ่านพ้นไปด้วยดีทำให้เธอกลับรู้สึกไม่สบายอารมณ์
‘ไม่มีเื่สิ่งใดเกิดขึ้นซิน่ายินดี แต่ทำไมใจเราต้องว้าวุ่นด้วย’ เธอจำได้ว่าวันนี้ได้นัดองค์หญิงเจ็ดออกไปเที่ยวตลาดนอกวัง ทำให้เธอต้องรีบเตรียมกายแต่เช้าเพื่อจะได้ไปดักรอฮ่องเต้เพื่อขออนุญาต
เธอเลือกชุดที่สะดวกสีสันไม่มากนักเพื่อลดความสนใจของผู้คนในตลาดนั่น แต่ระหว่างที่เธอกำลังข้ามสะพานไม้หน้าพระราชวังจู่ ๆ รองเท้านางก็เกิดพลิกจนทำให้เกือบล้ม
โชคดีที่มีคนรับเธอไว้ทำให้ข้อเท้ายังคงใช้งานได้เช่นเดิม
“อ่ะ...องค์ชาย” หลิวเซียงเอ๋อร์หันมองผู้ที่เข้ามาคว้าตัวเธอไว้อย่างใ เพราะทีแรกเธอคิดว่าเป็หลินเสียงที่เดินตามหลังมา แต่เหตุใดจึงกลายเป็องค์ชายโจวฮาซี
บุรุษร่างสูงใหญ่กุมเอวเธอไว้แน่นก่อนจะดึงนางเข้าแนบอก
“ท่านเดินไหวหรือไม่พระสนม” เสียงทุ้มเอ่ยข้างใบหูจนเธอขนลุก จนรีบดันกายผละออก
“พระสนมท่านทรงสวยสมคำล่ำลือเสียจริง เป็ข้า ข้าคงมิแต่งเป็สนมฮ่องเต้อยู่เพียงนี้หรอก” เขาเอ่ยเย้าแหย่แต่เธอกลับรู้ความหมายของเขาอย่างชัดเจน
“แต่แคว้นหูเยว่ก็ส่งองค์หญิงมาแต่งเข้าเป็สนมฮ่องเต้เช่นกันท่านคิดว่าอย่างไร” หลิวเซียงเอ๋อร์เหน็บแนมก่อนจะหันหลังหมายจะเดินออกห่างให้ไกล แต่กลับถูกร่างใหญ่นั้นกระชากแขนไว้จนเซถลา
“อีกหน่อยนางก็ต้องขึ้นเป็ฮ่องเฮา ท่านมิต้องคาดหวังที่จะอยู่รอฮ่องเต้โง่เขลานั่นหลอก” เสียงกระซิบบอกในลำคอเขาทำให้เธอรู้สึกขนลุกชันได้แต่จ้องมองแววตาดุดันที่จ้องมองเธอราวเกรี้ยวโกรธ
จิ้งกุ้ยเฟยมองนางจากที่ไกล ๆ ก็ยิ้มกริ่มอย่างเ้าเล่ห์นางก้าวท้าวเดินราวกึ่งวิ่งมุงไปทางพระราชวังก่อนจะยอบกายลงต่อหน้าฮ่องเต้หนุ่ม
“หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าา”
“สนมจิ้ง...มีเื่ใดถึงได้มายามนี้” หนานรั่วหานมองหน้าสตรีผู้เป็ถึงชายาเอกที่ยิ้มกริ่มราวมีเื่น่าสนุกอยู่ในใจนาง
“หม่อมฉันเพียงแค่นำชาชั้นดีมาให้พระองค์เพค่ะ” จิ้งกุ้ยเฟยหยิบยื่นห่อชาให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างหลังเขา ก่อนจะเดินไปเกาะแขนแกร่งนั่น
“ฝ่าา..สนมหลิวมาเข้าเฝ้าพระองค์แล้วหรือเพค่ะ” จิ้งกุ้ยเฟยส่งแววตาใสซื่อราวมิรู้เื่ จนเขากลับสงสัย
“ข้ายังมิทันได้เจอนาง เหตุใดเ้าถึงว่านางมาเข้าเฝ้า”
“ก็ตอนที่หม่อมฉันเดินมาหาพระองค์ เห็นสนมหลิวกำลังยืนคุยแนบชิดกับองค์ชายโจว...จึงคิดว่า...” น้ำเสียงหลุดหายไปในลำคอชวนให้สงสัยใบหน้าเคร่งครึมจ้องมองนางอย่างขุ่นเคือง
แม้เขาจะเริ่มมีใจให้หลิวเซียงเอ๋อร์ แต่นางก็มิเคยเปิดเผยใจให้แก่เขาซ้ำยังมีท่าทางราวกับปิดบังอะไรอยู่กลับทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก
หนานรั่วหานยกฎีกาขึ้นอ่าน แม้ยามนี้แววตาเขาจะจับจ้องมองตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้า
แต่ในใจกลับว้าวุ่นราวมีมือเล็ก ๆ มาบีบใจของเขาอยู่
“ฝ่าา..สนมหลิวขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเหิงกงกงะโบอกหน้าห้องทรงอักษร จนเขารีบวางพู่กันในมือลง
“ให้นางเข้ามา” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างร้อนรน
“ถวายพระพรฝ่าา” หลิวเซียงเอ๋อร์ยอบกายลง ก่อนจะลุกยืนตรงเช่นเดิมแววตาดุเขาจับจ้องนางราวกับจะกินเืกินเนื้อ เธอยืนลังเลที่จะเอ่ยขออนุญาตจนเสียงทุ้มเอ่ยดัง
“เ้ามีเื่อันใดเข้ามาหาเจิ้น” สองมือกำแน่นแววตาดุดัน จนเธอเริ่มสั่นกลัว
“คือหม่อมฉันตั้งใจจะมาขออนุญาตออกไปนอกวังเพียงชั่วครู่ แต่ดูท่าคง....” เธอเอ่ยเสียงแ่เบาลงในยามท้ายประโยคหากแต่คำตอบกลับทำให้นางงุนงง
“ได้..เ้าจะต้องออกไปกับเจิ้นด้วย” หลิวเซียงเอ๋อร์ได้แต่ยืนรออย่างงุนงงไม่คิดว่าเขาจะอยากออกไปกลับนางด้วย
‘เช่นนั้นฉันก็ไปหาข่าวกรองที่หอตั่งรี่ฮวาไม่ได้นะซิ’ นางนึกเสียดายในโอกาสครั้งนี้แม้จะได้ออกไปเที่ยวนอกวังแต่กลับสูญเปล่าที่จะหาข้อมูล ถึงอย่างไรเธอก็ตั้งใจแล้วว่าจะหาผู้ที่อยู่เื้ัให้ได้เสียก่อนก่อนที่คนพวกนั้นจะลงมือ
สองนางกับสี่บุรุษนั่งมองหน้ากันในเกี้ยวหลังใหญ่ หนานรั่วหานเหลือบมองผู้อยู่ที่นั่งตรงข้ามห่างราวครึ่งวาไม่คิดว่านางจะออกมากับผู้คนเหล่านี้
“เหตุใดเ้ามิบอกเจิ้นว่าจะมากับพวกเขา” หนานรั่วหานกระซิบข้างหูเธอก่อนจะหันไปมองผู้ที่อยู่ด้านข้างอีกฝั่ง
“ก็ฝ่าามิได้ตรัสถามหม่อมฉันว่ามากับผู้ใดนี่เพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์ยิ้มกริ่มมองหน้าสองบุรุษตรงข้ามที่ยามนี้นั่งนิ่งจ้องมองมายังเธอ อ๋องสี่ที่รู้ว่าเธอและองค์หญิงเจ็ดจะออกมาตลาดก็รีบรั้งดึงรองแม่ทัพจิ้งตามมาด้วย
ส่วนเฉินฮั่วที่นั่งนอกเกี้ยวนั้นถูกหลินเสียงขอร้องแทนนางให้มาเฝ้าดูแลบ่าวตน ทั้งสี่เดินชมตลาดอย่างสนุกสนานราวโดยมิได้ใส่ใจยศตำแหน่งใด ๆ มีเพียงความสนุกสนานราวหนุ่มสาวทั่วไป
หนานรั่วหานทอดมองร่างบางที่เที่ยววิ่งชมไปทั่วอย่างซุกซนก็อดยิ้มไม่ได้หากแต่สายตาของบุรุษหนึ่งหันมองทำให้เขาเก็บอาการนั้นไว้ ความสนุกสนานนั้นยังมิทันจบกลุ่มชายชุดดำสิบกว่าคนพุ่งตรงมายังพวกเขา
โดยเฉพาะฮ่องเต้หนุ่มที่ดูเป็เหมือนชิ้นเนื้อโปรดถูกชายชุดดำรุมใส่ แต่ดวยเขาก็มิได้เป็เนื้อที่ง่ายดายนัก
ด้วยเพราะมีฝีมือในวรยุทธ์ที่มากทำให้ชายชุดดำที่พุ่งมาทางเขาราวสี่ห้าคนมิคณามือเขาเลย
กลับแต่หญิงสาวที่มาด้วยทำให้เขาต้องกังวลใจรีบจัดการกลุ่มคนพวกนี้เสียให้ไว
“คุ้มครองฝ่าา คุ้มครองสนมหลิว” เสียงรองแม่ทัพจิ้งเอ่ยะโบอกทำให้อ๋องสี่และเฉินฮั่วรีบหันมองเธอ ทางด้านองค์หญิงเจ็ดยามนี้ได้องครักษ์ไป่มาช่วยก็พอเบาแรงได้
หลิวเซียงเอ๋อร์ยามนี้เธอได้งัดวิชาเทควันโดออกมาใช้อีกครั้งดูเหมือนจะคล่องตัวกว่าครั้งที่แล้วจึงไม่ได้สั่นกลัวใด ๆ จนกลุ่มชายชุดดำถูกกำจัดไปราวเกือบทั้งหมด มีเพียงผู้เดียวที่หลบหนีไปเสียก่อน
หลิวเซียงเอ๋อร์หยิบพู่ห้อยที่ติดปลายกระบี่ชายชุดดำขึ้นมามองก่อนยื่นส่งให้หนานรั่วหาน ซึ่งเขาเองก็จดจำได้ดีถึงลักษณะของพู่ห้อยนี้ ช่างเหมือนกันกับวันที่เขาเก็บได้ที่วัดก่อนที่ไท่เฟยจะหายตัวไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้