เซี่ยโม่เห็นเพื่อนๆ พากันวิ่งไปที่ห้องเรียนจึงเอ่ยกับซ่งมู่ไป๋ว่า “พี่ซ่ง ฉันพูดอะไรกับพี่ก็ไม่รู้เยอะแยะ ไม่รู้ว่าพี่จะชอบฟังหรือเปล่า แต่ยังไงฉันก็อยากให้พี่รู้เอาไว้”
พูดจบก็หมุนตัววิ่งกลับไปที่ห้องเรียน
ไม่นานก็มีเสียงทุ้มนุ่มดังไล่มาจากทางด้านหลัง “ฉันชอบฟัง ไม่ว่าเธอพูดอะไรฉันก็ชอบฟังทั้งนั้น”
เธอยกยิ้มมุมปาก ่เวลานี้เธอมีความสุขเหลือเกิน
ถึงแม้พี่ซ่งจะเ้าเล่ห์มากแผนการและอารมณ์ร้ายไปหน่อย แต่เขาดีกับเธอและคนในครอบครัวมาก หวังว่าต่อไปเขาจะดีกับน้องชายของเธอด้วยเช่นกัน
ตอนเที่ยงเซี่ยโม่ขี่จักรยานเอาข้าวไปให้เด็กๆ ทั้งสามคนที่โรงเรียนประถม
“พี่สอบได้คะแนนไม่เยอะเท่าเรา วิชาภาษาและวรรณคดีได้แค่เก้าสิบห้าคะแนน วิชาเคมีก็ได้แค่เก้าสิบแปดคะแนนเอง” เธอแกล้งตีหน้าเศร้า
น้องชายนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดปลอบ “พี่ครับ พี่เคยพูดไม่ใช่เหรอว่า ขอแค่ขยันและพยายามก็ไม่ต้องไปสนใจผลลัพธ์”
น้องชายกำลังเอาคำพูดที่เธอเคยพูดมาใช้ปลอบใจเธอหรือนี่
เซี่ยโม่พยายามกลั้นยิ้มขณะพยักหน้า “เฉินเฟิงของพี่พูดได้ถูกต้อง”
น้องชายได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง
“พี่ครับ ไม่ต้องคิดมากนะครับ ขอแค่ขยันและพยายามต่อไป ครั้งหน้าจะต้องได้คะแนนดีแน่ๆ อีกอย่างพี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่า ความรู้ของม.ปลายกว้างขวาง ได้คะแนนน้อยถือเป็เื่ปกติ”
นึกไม่ถึงเลยว่าน้องชายจะพูดปลอบใจได้เป็เหตุเป็ผลขนาดนี้ ประโยคที่เคยพูดไว้เมื่อหลายวันก่อน น้องชายของเธอยังคงจำได้
ั้แ่กลับชาติมาเกิดใหม่ ความจำของเธอดีขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่คาดคิดว่าน้องชายก็จะความจำดีเช่นกัน
เธอจำได้ว่า ในชาติที่แล้วหลังจากกลับมาจัดสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ไม่กี่ปี ทุกโรงเรียนจะเปิดรับสมัครเด็กที่จะเข้าศึกษาในห้องสายวิทย์รุ่นเยาว์
ในเมื่อน้องชายเธอฉลาดขนาดนี้ก็ไม่จำเป็ต้องเสียเวลา คิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยแนะนำ “ถ้าเรารู้สึกว่าความรู้ที่เรียนอยู่ตอนนี้มันง่ายเกินไป จะลองเอาหนังสือของชั้นปีที่สองมาเรียนเองก่อนก็ได้นะ เผื่อจะได้ข้ามชั้นขึ้นไปเรียนชั้นปีที่สอง”
เซี่ยเฉินเฟิงมีท่าทีลังเล ก่อนจะหันไปมองสือโถวกับโฉ่วหวา “พี่ครับ ผมทิ้งพวกเขาไม่ลง”
เธอน่าจะรู้ว่าน้องชายเป็พวกความรู้สึกอ่อนไหวง่ายและให้ความสำคัญกับคนรอบตัว
“ถึงเราจะข้ามชั้นขึ้นไปเรียนปีที่สองก็ยังอยู่โรงเรียนเดียวกับเพื่อน ยังไงก็ได้เจอกันบ่อยๆ”
เซี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้า “พี่ครับ ถ้าผมข้ามชั้นขึ้นไปเรียนปีที่สอง พวกเราก็จะอยู่กันคนละห้อง มันไม่เหมือนกัน”
เซี่ยโม่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุบๆ หากเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วต้องย้ายบ้าน น้องชายก็จะต้องแยกจากกับเพื่อน น่ากังวลเหลือเกินว่าพอถึงตอนนั้นน้องชายของเธอจะต้องเศร้าและเสียใจมากเป็แน่
เธอต้องให้น้องชายได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ก่อน “แต่ถึงอย่างไรเรากับเพื่อนก็ไม่มีวันอยู่ด้วยกันไปตลอด บางทีอาจจะมีใครสักคนต้องย้ายบ้านหรืออาจมีเื่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
“พี่ครับ พี่นี่เหมือนคนเมืองฉี่กังวลต่อฟ้า[1] จริงๆ เื่ที่ยังไม่เกิดจะไปคิดมากทำไมครับ” เซี่ยเฉินเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
นี่น้องชายกำลังสอนเธอหรือ?
น้ำเสียงเหมือนที่เธอพูดสอนตอนนั้นไม่มีผิด
“เฉินเฟิง เรารู้จักสุภาษิตนี้ได้ยังไง คุณครูสอนเหรอ”
“คุณครูไม่ได้สอนครับ เมื่อวานหลังจากผมได้ยินพี่พูดประโยคที่ว่า โลกนี้ไม่มีอะไร มีแต่คนเราที่คิดไปเอง ผมเลยลองไปค้นดูในพจนานุกรม แล้วก็บังเอิญเจอกับสุภาษิตนี้เข้า วันนี้ผมก็เลยหยิบเอามาใช้ดู”
เซี่ยโม่จำได้แม่นว่าประโยคนี้เธอพูดตอนก่อนเข้านอนเมื่อคืน น้องชายเธอยังจดจำได้ แถมยังมีเวลาไปค้นในพจนานุกรมอีก
น้องชายของเธอเพิ่งอายุห้าขวบ แต่กลับมีนิสัยละเอียดลออขนาดนี้
“เฉินเฟิง พี่ดีใจมากที่เรานำเื่ที่เรียนรู้ไปต่อยอดได้ ถ้าเราไม่อยากข้ามชั้นก็ไม่เป็ไร ถ้ามีเวลาหรือสนใจ ลองหาหนังสืออย่างอื่นนอกจากหนังสือเรียนมาอ่านก็ได้นะ ถ้าพี่มีเวลาเดี๋ยวพี่ช่วยหาหนังสือมาให้เราอ่านอีกแรง”
“พี่ครับ ตอนกลางวันพี่ต้องเรียนหนังสือคงไม่มีเวลา งั้นตอนเที่ยงพี่แค่ให้ขนมเค้กพวกเราสองชิ้นแบบเมื่อวาน แค่นี้พี่ก็มีเวลาไปหาหนังสือมาให้ผมอ่านแล้ว”
พูดจบน้องชายก็ลอบส่งสัญญาณทางสายตาให้เพื่อนทั้งสองคน
มีหรือที่เซี่ยโม่จะไม่เห็น เด็กๆ มีแผนอะไรกันอีกคราวนี้
เธอนึกถึงขนมเค้กที่ให้เด็กๆ เหล่านี้กินเมื่อวาน ตอนเย็นหลังจากกลับไปถึงบ้าน เห็นน้องชายกำลังเศร้าเพราะสอบไม่ได้ร้อยคะแนนเต็ม เลยไม่ได้ถามถึงรสชาติของขนมว่าอร่อยหรือไม่
“ขนมเค้กอร่อยไหม”
แววตาเด็กชายทั้งสามคนต่างเปล่งประกายวิบวับ ก่อนจะตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “อร่อยครับ”
นั่นคือขนมเค้กน้ำผึ้งจากอนาคต รสััย่อมพัฒนากว่าขนมเค้กในยุคนี้ ดังนั้นแล้วจะไม่อร่อยได้อย่างไร
สือโถวน้อยถามขึ้นมาอย่างสงสัย “พี่โม่โม่ครับ พี่ไปซื้อมาจากไหนเหรอครับ ขนมเค้กที่พ่อผมเคยซื้อมาจากร้านสหกรณ์มันรสชาติแย่มากๆ เลย”
พ่อของสือโถวเป็ถึงผู้ใหญ่บ้าน หากรู้ว่าขนมเค้กที่ซื้อมาถูกลูกชายรังเกียจจะต้องรู้สึกเศร้ามากแน่
เธอนึกหาเหตุผลออกมาอ้าง “แม่เพื่อนร่วมห้องพี่เป็คนทำน่ะ พี่เห็นว่าอร่อยดีก็เลยซื้อมาให้พวกเรา แม่ของเพื่อนพี่จะขายให้เฉพาะคนรู้จักเท่านั้น”
สือโถวน้อยพยักหน้ารับรู้
นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเซี่ยเฉินเฟิง เด็กชายลอบกลืนน้ำลายพร้อมกับเลียริมฝีปาก ก่อนจะถามด้วยใจที่เต็มไปด้วยความหวัง “พี่โม่โม่ งั้นพรุ่งนี้ตอนเที่ยงพวกเรากินเค้กอันนั้นอีกได้ไหมครับ”
“ได้สิ เดี๋ยวบ่ายวันนี้พี่บอกเพื่อนให้ พรุ่งนี้พวกเราได้กินแน่นอน”
เด็กน้อยทั้งสามคนตาลุกวาวในทันใด “ขอบคุณมากครับ”
จะกละทั้งสามเอ๋ย!
นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ทั้งสามคนลอบส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่กัน ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว
“ขนมเค้กสองห่อพอกินไหม ถ้าไม่พอเดี๋ยวพี่ซื้อผิงกั่วเพิ่มให้” เธอถามเด็กชายทั้งสามคนอย่างเป็ห่วงเป็ใย
“พอครับ”
เด็กชายทั้งสามคนตอบอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง
“งั้นก็ตกลงตามนี้ พี่ต้องไปเข้าเรียนตอนบ่ายแล้ว”
เธอบอกลาเด็กชายทั้งสามคน จากนั้นจึงขี่จักรยานกลับไปโรงเรียน
ขณะปั่นจักรยานเซี่ยโม่ก็ครุ่นคิดไปด้วย ในเมื่อเธอบอกที่มาที่ไปของขนมเค้กออกไปอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นตอนเย็นก็เอากลับไปให้ผู้ใหญ่ที่บ้านลองชิมสักสองห่อ นี่เป็ขนมเค้กจากอนาคต เธออยากให้ผู้ใหญ่ทั้งสามคนได้ลิ้มรสและมีความสุขไปกับการกินอาหาร
หลังจากเลิกเรียนคาบบ่าย เซี่ยโม่เอาหนังสือที่ไม่ต้องอ่านตอนเย็นใส่ไว้ในลิ้นชักของโต๊ะเรียน
เธอปั่นจักรยานไปในที่ปลอดคน ก่อนจะเข้าไปในโกดังสินค้า หยิบขนมเค้ก ผิงกั่ว และไข่ไก่หลายฟองออกมาใส่ไว้ในกระเป๋านักเรียน
ตระเตรียมของเรียบร้อยก็ขี่จักรยานไปรับสือโถวกับน้องชาย พอไปถึงโรงเรียนประถม ทั้งสามคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มดูดีอกดีใจ ก่อนสือโถวจะพูดกับเธอว่า “พี่โม่โม่ ตอนบ่ายพวกเราปรึกษากันแล้ว ได้ความว่าพวกเราจะข้ามชั้นด้วยกันครับ”
“ดี แล้วทุกคนมีหนังสือหรือยัง หากไม่มี ถ้าพี่ได้ไปร้านหนังสือเดี๋ยวจะซื้อกลับมาให้”
“ขอบคุณมากครับ” สือโถวน้อยตอบ
“ไม่เป็ไร”
เมื่อกลับถึงบ้าน เซี่ยโม่หยิบข้าวของมากมายออกมาจากกระเป๋าหนังสือ ท่ามกลางสายตาสนอกสนใจของน้องชายตัวน้อย
“พี่ครับ ทำไมถึงมีผิงกั่ว ขนมเค้ก แล้วก็ไข่ไก่เยอะขนาดนี้”
“เฉินเฟิง เรามีของดีอะไรจะเก็บไว้คนเดียวไม่ได้ คุณตา คุณยาย แล้วก็อาจารย์อายุมากแล้ว เราต้องแบ่งให้พวกท่านด้วย”
“พี่ครับ คุณครูสอนพวกผมว่าต้องเคารพคนแก่และรักเด็ก”
เธอยิ้มพลางพูดชมเชย “เฉินเฟิงของเราเป็เด็กที่กตัญญูเหลือเกิน ของพวกนี้มีทั้งเอาไว้ให้เรากินพรุ่งนี้ แล้วก็ให้ผู้ใหญ่ทั้งสามคนกินด้วย”
“ผมรู้แล้วครับ”
เวลานี้เองผู้ใหญ่ทั้งสามคนเริ่มทยอยกลับมาบ้าน
พอเห็นบนโต๊ะมีผลผิงกั่วกับขนมเค้กวางอยู่ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนต่างมองมันด้วยสายตาปวดใจ
”หลานนี่นะ ใช้เงินเก่งจริงๆ ผิงกั่วลูกแดงใหญ่แบบนี้ ขนมเค้กนิ่มแบบนี้จะต้องแพงมากแน่ๆ” คุณยายอดบ่นออกมาไม่ได้
เซี่ยโม่มักจะชอบซื้อของดีๆ กลับมา แต่ผู้าุโทั้งสามคนกลับรู้สึกเสียดายเงิน
“คุณยายคะ ตอนนี้ที่บ้านเราฐานะดีขึ้น คุณตา คุณยาย แล้วก็อาจารย์อายุมากแล้ว หนูมีเงินก็ต้องซื้อของดีๆ กลับมาให้ทุกคนกินสิคะ ทุกคนจะได้สุขภาพร่างกายแข็งแรง” เธอยิ้มขณะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
------------------------
[1] คนเมืองฉี่กังวลต่อฟ้า ในสมัยอดีตกาลมีชายผู้หนึ่งซึ่งมีนิสัยขี้ขลาดตาขาว วันหนึ่งขณะที่เขานั่งอยู่หน้าประตูบ้าน ได้รำพึงรำพันกับตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฟ้าถล่มลงมาจะทำอย่างไร จะหนีก็คงหนีไม่ทัน ต้องโดนฟ้าทับตายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่แน่ และนับั้แ่นั้นเขาก็เอาแต่วิตกกังวลกับปัญหานี้ ต่อมาผู้คนจึงได้นำเื่นี้มาเป็สุภาษิต หมายถึงคนที่มัวแต่วิตกกังวลอยู่กับเื่ที่แก้ไขไม่ได้
