“ท่านพ่อ คนตระกูลอวิ๋นใจร้ายเกินไปแล้ว พวกเขาถึงกับกล้าคิดจะแย่งของของเจียวเอ๋อร์! ทั้งยังอยากให้เรามอบทรัพย์สินทั้งหมดให้พวกเขาอีก! แถมยังอยากให้ข้ากับพี่ใหญ่ลงไปทำงานในไร่ให้พวกเขาด้วย พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็ใครกัน!”
พอกลับมาถึงห้อง อวิ๋นฉี่ซานก็โพล่งออกมาด้วยความโมโห สิ่งที่ทำให้เขายอมรับไม่ได้มากที่สุดก็คือ อวิ๋นเหมยเอ๋อร์กับยายแก่คนนั้นกล้าคิดจะปล้นของของเจียวเอ๋อร์
“ท่านพ่อ หากพวกเรายังอยู่ในตระกูลอวิ๋น อีกไม่นานข้ากับน้องชายคงต้องกลายเป็เหมือนพี่ฉี่ชิ่งกับพี่ฉี่เสียง ส่วนเจียวเอ๋อร์ก็ต้องกลายเป็เหมือนอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์แน่ๆ เลยขอรับ”
อวิ๋นฉี่เยว่มองอวิ๋นโส่วจง พลางเอ่ยความจริงที่ทุกคนคาดเดาได้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ต่อให้อวิ๋นฉี่เยว่จะดูเป็ผู้ใหญ่มากแค่ไหน แต่เขาก็เป็เพียงเด็กอายุสิบสามปีเท่านั้น
อวิ๋นเจียวมองเห็นความกังวลในดวงตาที่ไร้คลื่นลมของพี่ชาย จึงแกล้งหาวออกมาเบาๆ พลางพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก ท่านพ่อท่านแม่ต้องมีแผนการรับมืออยู่แล้ว!” จากนั้นนางก็หันไปมองฟางซื่อกับอวิ๋นโส่วจง พลางถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เ้าคะ?”
เมื่อเห็นบุตรสาวรู้ความเช่นนี้ ความหดหู่ในใจของฟางซื่อพลันมลายหายไปมากกว่าครึ่ง นางกอดบุตรสาวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว เจียวเอ๋อร์ของพวกเราพูดถูก!”
อวิ๋นโส่วจงก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “เจียวเอ๋อร์รู้ความแล้ว!”
อวิ๋นเจียวเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าฉลาดกว่าพี่ใหญ่กับพี่รองมากเลยนะเ้าคะ!”
“ใช่ๆ เจียวเอ๋อร์ฉลาดกว่าข้า! ข้าว่านางฉลาดกว่าพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ!” อวิ๋นฉี่ซานรีบเอ่ยประจบประแจงน้องสาวทันที ส่วนอวิ๋นฉี่เยว่แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาเอ็นดูก็แสดงออกอย่างชัดเจน
“นายท่าน ฮูหยิน ข้าต้มโจ๊กและอุ่นแป้งแผ่นไว้ให้แล้วเ้าค่ะ” ชุนเหมยกับอากุ้ยได้ยินเสียงดังโหวกเหวกจากในห้องโถง พอรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ชุนเหมยจึงรีบกลับมาเตรียมอาหาร
ทุกคนในครอบครัวกินอะไรพออิ่มท้อง จากนั้นก็อาบน้ำล้างหน้าแล้วเข้านอน ฉี่เยว่กับฉี่ซานพักที่ห้องข้างๆ อากุ้ยนอนเฝ้าพวกเขาอยู่ที่ห้องด้านนอก ส่วนอวิ๋นเจียวนอนกับฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงที่ห้องเดียวกัน โดยให้ชุนเหมยพานางไปนอนที่ห้องด้านใน ส่วนสองสามีภรรยานอนที่ห้องด้านนอก
“เจียวเอ๋อร์หลับไปตอนไหนกัน?” ฟางซื่อมองบุตรสาวที่นอนขดเป็ก้อนกลมบนเตียง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น
ชุนเหมยตอบ “หลับไปนานแล้วเ้าค่ะ”
“อืม เช่นนั้นเ้าก็รีบเข้านอนเถิด” พูดจบฟางซื่อก็เดินออกไปที่ห้องด้านนอก
ฟางซื่อนอนอยู่บนเตียงเงียบๆ อยู่นาน สุดท้ายอวิ๋นโส่วจงก็เป็ฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “เ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าไม่มีทางปล่อยให้ลูกๆ ของเราต้องลำบากเด็ดขาด”
ฟางซื่อพูด “ข้ารู้ แต่ตระกูลอวิ๋น... พวกเราปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านไหวซู่ ต่อไปคงต้องข้องเกี่ยวกับตระกูลอวิ๋นอีกมาก”
อวิ๋นโส่วจงพูด “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าไม่ใช่คนไม่รู้หนักเบา อย่าว่าแต่เพื่อลูกชายทั้งสองคนเลย ต่อให้เพื่อเจียวเอ๋อร์ ข้าก็ไม่มีทางทำเื่โง่ๆ เด็ดขาด”
ฟางซื่อถอนหายใจ “เฮ้อ... ข้าว่านะ แม่เลี้ยงของท่านคงไม่เห็นว่าพวกท่านสองพี่น้องเป็คนหรอก”
อวิ๋นโส่วจงดึงฟางซื่อเข้ามาในอ้อมกอด แล้วเอ่ยอย่างจนใจ “ต่อไปนี้เ้าก็ช่วยดูแลพี่สะใภ้ใหญ่กับหลานชายทั้งสองคนให้มากหน่อย ลำบากเ้าแล้ว!” หากพี่ใหญ่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต่อให้เขาจะช่วยเหลืออย่างไร ครอบครัวพี่ใหญ่ก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากหล่มโคลนของตระกูลอวิ๋นได้
ฟางซื่อซุกตัวในอ้อมกอดของเขา พยักหน้าเบาๆ “อืม เื่นี้ไม่ต้องให้ท่านบอกข้าก็รู้ แต่ตอนนี้ข้ากังวลว่าเงินที่พวกเรามีติดตัวเหลือไม่มากแล้ว ดูจากท่าทางของเถาซื่อ ยังไงพวกเราก็คงต้องเสียเงินอีกไม่น้อย”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ย “...เื่นี้ก็ช่วยไม่ได้ บ้านเกิดของข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องพาเ้ากับลูกๆ ไปตั้งรกรากที่อื่น นอนเถิด พวกเราพักอยู่ที่ตระกูลอวิ๋นไปก่อนสักสองสามวัน รอจนกว่าเื่การตั้งรกรากจะจัดการเรียบร้อยทุกอย่างก็คงดีขึ้น... แค่่นี้อาจจะต้องลำบากเ้าสักหน่อย!”
“ข้าไม่เป็ไรหรอก แต่เด็กๆ ...”
จริงๆ แล้วอวิ๋นเจียวยังไม่หลับ เพราะเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้ภายนอกนางจะทำเป็ไม่ใส่ใจ แต่ในใจก็อดกังวลไม่ได้ นางไม่อยากให้บิดามารดาของนางกลายเป็เหมือนลุงใหญ่กับป้าใหญ่ ไม่อยากให้พี่ชายรูปงามทั้งสองคนของนางกลายเป็เหมือนฉี่ชิ่งกับฉี่เสียง ไม่อยากให้ครอบครัวของนางกลายเป็แรงงานทาสของตระกูลอวิ๋น โชคดียังดีที่บิดามารดาของนางไม่ใช่คนอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีแผนการรับมืออย่างที่นางพูดไว้
ต่อให้บิดามารดาของนางไม่มีเงิน นางก็ไม่กลัว เพราะนางมีระบบเถาเป่าอยู่ในมือ การช่วยเหลือครอบครัวให้ร่ำรวยนั้นไม่ใช่เื่ยากเลย สิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือ ครอบครัวของนางจะติดอยู่ในหล่มโคลนของตระกูลอวิ๋นจนไม่สามารถหลุดพ้นได้
ในเมื่อนางร่างกายของอวิ๋นเจียว ได้รับความรักจากบิดามารดาและพี่ชายทั้งสองคนที่ควรจะเป็ของอวิ๋นเจียว นางก็ต้องตอบแทนพวกเขาให้ดี ชาติที่แล้ว อวิ๋นเจียวต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความเป็อยู่ในเทียนเฉา แต่ชาตินี้เป้าหมายในการต่อสู้ของนางก็คือทำให้บิดามารดาและพี่ชายของนางมีชีวิตที่อิสรเสรีและสุขกายสบายใจ!
ใน่เวลาตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา จริงๆ แล้วอวิ๋นเจียววางแผนไว้หมดแล้ว ในแคว้นต้าเยี่ยนั้นให้ความสำคัญกับชนชั้นเป็ลำดับขั้น คือ ชนชั้นปกครอง ชาวนา ช่างฝีมือ และพ่อค้า แม้พ่อค้าจะมีฐานะร่ำรวย แต่กลับมีสถานะทางสังคมต่ำที่สุด ดังนั้นนางจึงคิดว่าจะเริ่มต้นจากการเกษตร เพราะนางมีเถาเป่า สามารถซื้อเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ที่ให้ผลผลิตสูงได้
ก่อนหน้านี้นางเคยถามอวิ๋นโส่วจงเกี่ยวกับระดับการทำการเกษตรของแคว้นต้าเยี่ยมาบ้างแล้ว แม้ข้าวจะสามารถปลูกได้ปีละสองครั้ง แต่ผลผลิตต่อหมู่กลับมีเพียงหนึ่งร้อยถึงสองร้อยจินเท่านั้น หลังจากหักภาษีที่ต้องจ่ายให้กับทางการแล้ว ข้าวที่ชาวนาเหลือก็ไม่มากนัก
ชาวนาในยุคนี้ หากเป็ปีที่ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ทุกคนก็ได้กินแต่อาหารหยาบๆ พอกรอกท้องไปวันๆ เท่านั้น หากประสบภัยพิบัติ เบาหน่อยก็เพียงแค่หิวโหย ร้ายแรงหน่อยก็ต้องขายลูกขายเมีย บางคนก็ถึงขั้นอดตายก็มิใช่น้อย
ในยุคที่แม้แต่ความอิ่มท้องยังไม่สามารถแก้ไขได้ ในยุคที่ขาดแคลนอาหารอย่างหนัก อวิ๋นเจียวรู้ดีว่าเมล็ดพันธุ์พืชผลผลิตสูงมีความหมายต่อราชสำนักมากเพียงใด ต้องรู้ว่าเมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาไปจนถึงยุคปัจจุบัน ผลผลิตข้าวต่อหมู่สามารถสูงถึงหนึ่งพันถึงสองพันจิน นอกจากนี้ยังมีข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วเหลือง ผักกวางตุ้ง ซึ่งผลผลิตของเมล็ดพันธุ์เหล่านี้สูงกว่าผลผลิตต่อหมู่ของแคว้นต้าเยี่ยประมาณสิบเท่า!
สิบเท่า เพียงพอที่จะทำให้แคว้นหนึ่งหลุดพ้นจากความอดอยาก!
หากบนผืนนาของครอบครัวพวกนางสามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตสูงเช่นนั้น เมื่อถึงเวลานั้นทางราชสำนักต้องมอบรางวัลอย่างงามให้พวกนางเป็แน่!
อีกสาเหตุที่นางเลือกเส้นทางหลักให้ครอบครัวทำการเกษตรนั้นก็เพราะว่า ในแคว้นต้าเยี่ย ชาวนาที่ขายพืชผลที่ปลูกเองนั้นไม่ถือว่าเป็การค้าขาย! ต่อให้พวกนางทำการค้าขายอย่างอื่นไปด้วย ครอบครัวของนางก็ยังคงเป็ชาวนา ไม่ใช่พ่อค้า
เพียงแต่การทำการเกษตรนั้นต้องใช้เวลานาน อย่าว่าแต่ในตอนนี้ครอบครัวของพวกนางยังไม่มีแม้แต่บ้านสักหลัง ปัญหาเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือ ต้องหาเงินก้อนแรกให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถซื้อที่ดินได้มาก!
อวิ๋นโส่วจงกับภรรยาคงมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่อวิ๋นเจียวรู้ว่าคงมีไม่มากนัก โดยเฉพาะสองเดือนมานี้ พวกเขาต้องเสียเงินไปกับการเดินทางไม่น้อย ดังนั้นนางจึงคาดเดาว่าหากบิดามารดาซื้อบ้านและที่ดินแล้ว เงินที่พวกเขามีติดตัวคงเหลือไม่มากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หากถูกเถาซื่อขูดรีดอีก... ช่างเถอะ พรุ่งนี้นางค่อยไปเดินเล่นในตำบล... ไม่สิ ไปในอำเภอดีกว่า หาวิธีหาเงินมาช่วยบิดามารดาซื้อที่ดินก่อนดีกว่า!
อวิ๋นเจียวคำนวณเงินที่นางมีติดตัวอยู่ราวๆ สิบกว่าตำลึง[1] ในอาลีเพย์ [2] เงินหนึ่งตำลึง เท่ากับหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน แม้จะต่ำไปหน่อย แต่อวิ๋นเจียวไม่คิดจะใส่ใจแม้แต่น้อย
อวิ๋นเจียวคิดจะนำเงินสิบตำลึงไปแลกเป็เงินหนึ่งพันห้าร้อยหยวน จากนั้นก็นำเงินทั้งหมดไปซื้อเครื่องประทินผิวแล้วค่อยไปหาร้านค้าใหญ่เพื่อขายออกไป!
เชิงอรรถ
[1] ตำลึง (两) คือ หน่วยชั่งน้ำหนักของจีน มีค่าเท่ากับ 50 กรัม และเป็หน่วยเรียกน้ำหนักเงินในสมัยโบราณ
[1] อาลีเพย์ (支付宝) คือ ระบบชำระเงินออนไลน์ของจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้