สวี่ฮุ่ยพยายามประคองสติ เพื่อช่วยเหลือตัวเอง
ชายคนนั้นยังไม่ทันได้แตะต้องตัวเธอ สวี่ฮุ่ยก็ใช้กิ่งไม้แห้งที่คลำเจอบนพื้นแทงไปยังจุดชีพจรเหนืออวัยวะเพศของเขา
หากแทงถูกจุดนั้น จะทำให้เกิดภาวะลูกอัณฑะบิดตัว
อาการนี้มันเ็ปทรมานแสนสาหัสจนอยู่ไม่สู้ตาย
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจสูญเสียสมรรถภาพทางเพศได้
ความรู้เหล่านี้สวี่ฮุ่ยเรียนรู้มาจากตำราแพทย์ที่ชายวัยกลางคนแปลกประหลาดทิ้งไว้ให้
เนื่องจากตอนที่อ่านหนังสือ เธอเคยฝึกซ้อมในจิตนาการของตัวเอง สวี่ฮุ่ยจึงแทงถูกจุดในครั้งเดียว
ชายคนนั้นเจ็บจนะโโหยง ร่วงกระแทกพื้น กุมเป้ากางเกงดิ้นทุรนทุราย ร้องโอดโอยไม่หยุด
เพื่อน ๆ ของเขาต่างตกตะลึง กำลังจะถามเขาว่าเป็อะไร ก็ได้ยินเสียงทรงอำนาจดังมาจากด้านหลัง “ทุกคนยกมือขึ้น หมอบลงซะ!”
นี่มัน...เสียงของผู้มีพระคุณ?!
สวี่ฮุ่ยพยายามเงยหน้าขึ้น มองเห็นลู่ฉี่เสียนยืนอยู่เื้ักลุ่มอันธพาลที่ถือมีด ใช้จ่อปืนไปที่พวกเขาราวกับเทพเ้า
เหล่าอันธพาลหันขวับไปด้วยความหวาดกลัว เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้ม
พวกอันธพาลรู้ว่าเจอตำรวจนอกเครื่องแบบแล้ว แต่มีแค่คนเดียว พวกเขาไม่กลัวเลยสักนิด
หนึ่งในนั้นพูดอย่างอวดดี “อยากตายนักใช่ไหม งั้นพวกเราจะสงเคราะห์ให้!”
เสียงของอันธพาลคนนั้นเพิ่งเลือนไป ลูกน้องของลู่ฉี่เสียนก็กรูกันเข้ามาล้อมพร้อมกับจ่อปืนไปที่พวกเขาเช่นเดียวกับลู่ฉี่เสียน
ลู่ฉี่เสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า “ใครกันแน่ที่อยากตาย?”
เหล่าอันธพาลหัวหดทันที
ตำรวจนอกเครื่องแบบมีปืนคนเดียวยังพอรับมือไหว แต่ถ้าหลายคน พวกเขาก็มีแต่ถูกจับเท่านั้น
เหล่าอันธพาลสบตากันโดยไม่ได้สนใจเพื่อนที่กำลังดิ้นร้องทุรนทุรายอยู่บนพื้น พวกมันหันหลังวิ่งหนีทันที
พวกตำรวจมีปืนแล้วไง ไม่สุดวิสัยจริง ๆ ก็ไม่กล้ายิงกันหรอก
ขอแค่พวกเขาวิ่งให้เร็ว เร็วจนตำรวจตามไม่ทัน ยังพอมีโอกาสหนีพ้นได้
จะหนีเรอะ?!
ลู่ฉี่เสียนยิงปืนไปข้างหลังอันธพาลคนหนึ่งอย่างเด็ดขาด
ะุเฉียดหูของอันธพาลคนนั้นไป
ยิงจริง ๆ ด้วย! !
อันธพาลคนนั้นใจนคุกเข่าลง กุมหัว ร้องเสียงแหบแห้ง “อย่ายิง อย่ายิง ผมไม่วิ่งแล้ว ผมไม่วิ่งอีกแล้ว!”
อันธพาลคนอื่น ๆ ชะงักไปแค่ครู่เดียวก็ถูกตำรวจนอกเครื่องแบบที่ไล่ตามมาจับกุมได้
ไม่นานนัก เหล่าอันธพาลก็ถูกใส่กุญแจมือ นั่งคุกเข่าเรียงเป็แถวอยู่บนพื้น
อันธพาลที่โดนสวี่ฮุ่ยแทงจุดยุทธศาสตร์หน้าซีดเผือด ใกล้จะหมดสติไปแล้ว
ลู่ฉี่เสียนสั่งให้ลูกน้องสองคนพาเขาไปโรงพยาบาลก่อน
เขามองไปทางสวี่ฮุ่ย ก่อนจะใ หญิงสาวหายไปไหนแล้ว?
ในตอนที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแ่เบาของหญิงสาวดังมาจากด้านข้าง “รีบมา...ช่วยฉันหน่อย...”
ลู่ฉี่เสียนรีบวิ่งไปตามเสียง ก็เห็นสวี่ฮุ่ยนอนคว่ำอยู่บนพื้นกำข้อเท้าของหญิงสวมหน้ากากอนามัยแน่น
แม้ว่าหญิงสาวใส่หน้ากากอนามัยจะใช้เท้าอีกข้างเตะเธออย่างบ้าคลั่ง เธอก็ไม่ยอมปล่อย
ลู่ฉี่เสียนเตะหญิงสาวใส่หน้ากากอนามัยจนสลบ ใส่กุญแจมือเธอ ค่อยนั่งลงแล้วถามสวี่ฮุ่ย “เธอเป็ยังไงบ้าง?”
สวี่ฮุ่ยปรือตามองเขา ก่อนจะหมดสติไป
เธอฝืนทนมาถึงตอนนี้ ไม่ไหวแล้วจริง ๆ
สวี่ฮุ่ยฟื้นขึ้นมาอีกที เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว
เธอมองไปรอบ ๆ ทุกอย่างเป็สีขาวโพลน มีขวดน้ำเกลือแขวนอยู่เหนือหัว
เธอรู้ว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาล
ลู่ฉี่เสียนที่นั่งเฝ้าข้างเตียงพูดว่า “เธอฟื้นแล้วเหรอ?”
เมื่อได้ยินเสียง สวี่ฮุ่ยรีบลุกขึ้นนั่ง สำรวจตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก
โชคดีที่ชายกระโปรงไม่ได้ถกขึ้นมาถึงเอว โชว์กางเกงขาสั้นสีแดงอมม่วงพิมพ์ลายดอกโบตั๋นฉูดฉาดที่อยู่ข้างใน
สวี่ฮุ่ยถอนหายใจโล่งอก ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าผมของเธอจะยุ่งเหยิงเหมือนรังนก แถมยังมีขี้ตาติดอยู่ตรงหางตาหรือเปล่า?
เธอรีบรวบผมลวก ๆ อย่างน้อยก็ขอให้ไม่ดูยุ่งเหยิงเกินไปนัก
และขยี้ตาต่อ โชคดีที่หางตายังสะอาดสะอ้าน
ต่อหน้าเทพบุตร เธอต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดี ๆ สิ
เอ๊ะ? ไม่ใช่ผู้มีพระคุณหรอกเหรอ? ทำไมกลายเป็เทพบุตรล่ะ?
ลู่ฉี่เสียนเห็นท่าทางรีบร้อนจัดแต่งตัวเองของเธอน่ารักน่าชังมาก ก็อดอมยิ้มไม่ได้
“หลังจากให้น้ำเกลือหมดแล้ว พวกเราไปที่สถานีตำรวจ ลงบันทึกปากคำหน่อยนะ”
สวี่ฮุ่ยตอบรับ
เธอเงยหน้าขวดน้ำเกลือ น้ำเกลือใกล้จะหมดแล้ว
เธอถามอย่างเขินอาย “คุณเป็คนพาฉันมาโรงพยาบาลเหรอคะ?”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ไม่งั้นจะเป็ใครล่ะ?”
สวี่ฮุ่ยนึกถึงตอนที่เขาพาเธอมาส่งโรงพยาบาล ระหว่างนั้นเขาต้องอุ้มเธอแน่ ๆ ก็เขินจนหน้าแดงก่ำ
ก้มหน้าลง พูดเบา ๆ “ค่ารักษาเท่าไหร่คะ ฉันจะคืนให้ค่ะ”
สิ้นเสียงก็ล้วงเงินออกมาจากตัว
ชายหนุ่มโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ไม่ได้แพงอะไร”
แต่สวี่ฮุ่ยไม่ฟัง หยิบเงินออกมาปึกหนึ่ง ธนบัตรที่มีมูลค่ามากที่สุดคือห้าหยวน มูลค่าน้อยที่สุดมีแม้กระทั่งหนึ่งเฟิน
รวมทั้งหมดหลายสิบหยวน เป็เงินที่สวี่ฮุ่ยพกไว้ใช้จ่าย ส่วนเงินก้อนใหญ่เย็บไว้ในเสื้อชั้นในหมดแล้ว
“ฉันมีเงินค่ะ บอกมาเถอะ เท่าไหร่คะ?”
ลู่ฉี่เสียนเห็นหญิงสาวยืนยันจะจ่าย จึงพูดว่า “ถือว่าฉันเลี้ยงเธอแล้วกัน ขอแค่ต่อไปอย่าเรียกฉันว่าคุณลุงตำรวจก็พอ ถึงฉันจะอายุมากกว่าเธอประมาณนึง แต่ก็ยังไม่สามสิบ ไม่แก่ขนาดจะเป็ลุงได้หรอก”
เฉียนหย่งที่หวังดีนำอาหารเย็นมาให้หัวหน้าได้ยินคำพูดของหัวหน้าจากนอกห้องพยาบาล มุมปากพาลกระตุกหงึก ๆ อย่างอดไม่อยู่
เขารีบเดินเข้าไปในห้องพยาบาลเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้สวี่ฮุ่ย “น้องเขาเป็นักเรียนเตรียมมหาลัยอายุสิบแปด วัยละอ่อน แล้วหันมาดูตัวคุณสิ อายุตั้งยี่สิบเจ็ด เป็ขิงแก่แถมยังเผ็ดจัด ห่างกับน้องเขาเกือบสิบปี เด็กสาวจะเรียกคุณว่าคุณลุงตำรวจมันผิดตรงไหนกัน? ยังคาใจอีกเหรอครับ?”
พูดถึงตรงนี้ เฉียนหย่งก็รู้สึกน้อยใจ “ป้าๆ อายุสี่ห้าสิบเรียกผมว่าคุณลุงตำรวจ ผมเคยร้องไห้บ้างไหม?”
เขาพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความหดหู่ ยื่นกล่องข้าวให้สวี่ฮุ่ยข้ามมือของหัวหน้าที่ยื่นเข้ามาด้วยความแค้นส่วนตัวเล็กน้อย
ใบหน้าที่วินาทีก่อนยังถมึงทึงน่ากลัว บัดนี้กลับอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ “คุณเสี่ยวสวี่ ทานตอนร้อน ๆ นะครับ นี่คือซาลาเปาน้ำแกงจากร้านจี้จี้เหม่ย”
ลู่ฉี่เสียนที่รับกล่องข้าวพลาดก็ไม่ได้โกรธ เขาหดมือกลับแล้วพูด“นั่นเป็เพราะนายหน้าแก่ไง ป้า ๆ สงสารเลยเรียกนายว่าคุณลุงตำรวจ ทั้งที่ปกติควรจะเรียกว่าคุณตาด้วยซ้ำ ส่วนฉัน หน้าตาหล่อเหล่าสง่างาม เห็นปุ๊บก็รู้ว่าเป็หนุ่มน้อย แถมยังเป็หนุ่มหล่ออีกด้วย”
เฉียนหย่งถูกโจมตีจนล้มทั้งยืน แต่กลับเถียงไม่ออก สิ่งที่หัวหน้าพูดล้วนเป็ความจริง
สวี่ฮุ่ยมองเฉียนหย่งเต็มสองตา ถึงจะดูแก่กว่าวัยไปหน่อย แต่ก็ยังมองออกว่าเป็ชายหนุ่มอยู่
เดิมทีเธออยากจะพูดปลอบใจเฉียนหย่งสักหน่อย เพราะท่าทางห่อเหี่ยวของเขาดูน่าสงสาร
แต่พอคิดอีกที พวกเขาเป็เพื่อนร่วมงานทะเลาะกัน ก็เหมือนนั่งก็ตีกัน พอนอนก็คืนดีกัน...
แค่ก ๆ ไม่ใช่ทะเลาะกันแป๊บเดียวแล้วก็คืนดีกันเหรอ เธออย่ายุ่งเลยดีกว่า
เธออธิบายกับลู่ฉี่เสียนอย่างเขินอาย “ฉันเรียกคุณว่าคุณลุงตำรวจเพราะไม่รู้จักชื่อของคุณน่ะค่ะ”
มุมปากของลู่ฉี่เสียนหยักขึ้นแทบมองไม่เห็น
นั่นสินะ เขาหล่อเหลาเอาการอยู่ เด็กสาวคงไม่ตาถั่วขนาดเรียกเขาว่าคุณลุงตำรวจหรอก
ลู่ฉี่เสียนนั่งตัวตรง “ฉันชื่อลู่ฉี่เสียน”
สวี่ฮุ่ยตาเป็ประกาย “ชื่อเพราะจังเลยค่ะ”
ภายในห้องพักผู้ป่วยอบอวลไปด้วยบรรยากาศหวานอมเปรี้ยว ทำเอาคนโสดสนิทั้แ่เกิดอย่างเฉียนหย่งทนไม่ไหว อ้างว่าจะกลับไปทำงานที่สถานีตำรวจ แล้วก็รีบหนีออกไปทันที
แม้แต่ลู่ฉี่เสียนที่ะโไล่หลังให้เขาไปซื้ออาหารเย็นมาให้อีกชุด เขายังฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
คุณได้เล่นหูเล่นตาอยู่กับสาวน้อย แล้วใช้ผมให้ซื้อข้าวเย็นให้กินเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ!
สวี่ฮุ่ยยื่นกล่องข้าวให้ลู่ฉี่เสียน “คุณกินเถอะค่ะ ฉันไม่หิว”
สิ้นเสียงเธอ ท้องน้อย ๆ ก็ร้องโครกครากขึ้นหลายครั้ง
สวี่ฮุ่ยหน้าแดงด้วยความกระดาก
ท่าทางขี้อายของสาวน้อยช่างน่ารัก ลู่ฉี่เสียนอยากเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเธอเหลือเกิน
ลู่ฉี่เสียนรับกล่องข้าวมาเปิดดู ข้างในมีซาลาเปาน้ำแกงแปดลูกเรียงรายกันอย่างเป็ระเบียบ
เขาหยิบซาลาเปาน้ำแกงลูกเล็กยื่นให้สวี่ฮุ่ยชิ้นหนึ่ง “เรามากินด้วยกันเถอะ”
สวี่ฮุ่ยรับซาลาเปาน้ำแกงมาทานอย่างเขินอาย
นี่เป็ครั้งแรกที่เธอได้กินซาลาเปาน้ำแกงของร้านจี้จี้เหม่ย รสชาติอร่อยสมคำร่ำลือจริง ๆ