มู่ขวงกัดฟันแน่น พลังเืเ่าั้ได้หลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่มก่อนจะเริ่มหมุนเวียนอยู่ภายใน ทำให้ความรู้สึกร้อนรุ่มที่แผดเผาตัวเขาก่อนหน้านี้บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
หยาดเืสีดำยังคงไหลออกมาตามรูขุมขนราวกับเม็ดเหงื่อ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในร่างกายของเขา
มู่ขวงต้องทนทรมานกับความเ็ปที่ราวกับว่ามีน้ำมันร้อนๆ กำลังเดือดพล่านอยู่ภายในกายนานถึงครึ่งชั่วยาม จนในที่สุดแก่นโลหิตของหมูป่าั์ก็สามารถหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาได้สำเร็จ
ความเ็ปภายในร่างกายของมู่ขวงพลันหายไปในทันที และเมื่อจิตใจของเขาเริ่มผ่อนคลาย ดวงตาของมู่ขวงก็มืดแสงลงก่อนจะหลับใหลไม่ได้สติในที่สุด
“เสี่ยวขวง!”
มู่เฟิงรีบร้อนเข้าไปประคองกอดมู่ขวงอย่างรวดเร็ว เวลานี้ร่างกายของมู่ขวงกำลังส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขา
มันคือกลิ่นของสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกมาจากร่างกายของเด็กหนุ่ม
“หยุดร้องโหยหวนเสียที เขาเพียงแค่สลบไปเท่านั้น อีกไม่นานก็ได้สติ จิตใจที่แน่วแน่นของน้องชายเ้าผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าของเ้าเลย นับเป็คุณสมบัติที่ดีสำหรับการฝึกกายา”
จี้หยกรูปหัวใจสื่อสารกับเด็กหนุ่มผ่านกระแสจิต
มู่เฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “การฝึกกายา? การฝึกกายาคือสิ่งใด?”
“ว่าอย่างไรนะ? นี่เ้าไม่รู้เื่ของการฝึกกายางั้นรึ? อ้อ แต่คงไม่แปลกหรอก สถานที่ที่พวกเ้าดำรงอยู่มันค่อนข้างล้าหลังสำหรับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นการที่เ้าจะไม่รู้จักการฝึกกายาก็นับว่าไม่ใช่เื่”
เสียงของสตรีผู้นั้นมีด้วยความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ส่วนหลังของประโยคกลับแฝงไว้ด้วยถ้อยคำดูถูก
“การฝึกกายานั้นนับเป็วิธีการฝึกฝนอีกรูปแบบหนึ่ง โดยจะเน้นการฝึกที่ร่างกายเป็หลัก เป็การใช้พลังปราณเคี่ยวเข็ญร่างกาย บ่มเพาะให้ร่างกายมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับอาวุธปราณ แต่การจะฝึกกายานี้ผู้ที่ฝึกฝนจำต้องมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ในบรรดาสำนักใหญ่ หากศิษย์คนใดมีปราณกระดูกอยู่ในระดับธรรมดามิได้โดดเด่น พวกเขาก็ล้วนเลือกวิธีฝึกกายากันทั้งสิ้น แม้เส้นทางการฝึกจะยากกว่าการฝึกพลังปราณ ทั้งยังต้องทนทรมานและต้องใช้ความพากเพียรเป็อย่างมาก แต่หากเ้าสามารถฝึกได้สำเร็จ คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเ้าย่อมมีน้อยคนมาก”
“วิธีการที่ข้าได้ถ่ายทอดให้กับเ้าไปเมื่อครู่ เป็วิธีการฝึกหลอมรวมกายเนื้อของเคล็ดวิชาชูร่า เรียกว่าผลาญโลหิตหลอมกายา ฟ้าดินคือเตาหลอม ร่างกายคืออาวุธ ส่วนโลหิตคือค้อนที่ใช้ทุบตีอาวุธให้เข้ารูป การแผดเผาพลังเืคือการฝึกร่างกายเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ของการฝึกกายานี้”
จี้หยกรูปหัวใจกล่าวอธิบาย
“สหายน้อยผู้นั้นของเ้าไม่มีเส้นโลหิติญญา ดังนั้นเขาไม่สามารถเปลี่ยนพลังเืให้กลายเป็พลังปราณได้ ทำได้เพียงผสานพลังเืให้เข้ากับกายเนื้อเท่านั้น เ้าหนู ต่อไปเ้าไม่ควรถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้คนอื่นมั่วซั่วแบบนี้อีก โดยเฉพาะเคล็ดวิชาระดับสูง แน่นอนว่ามันย่อมมีข้อจำกัดในแบบของมันเอง ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถฝึกฝนได้”
จี้หยกรูปหัวใจตำหนิเด็กหนุ่มอีกครั้ง
มู่เฟิงทำได้เพียงยิ้มเจื่อน เขาเกือบจะฆ่าน้องชายตัวเองเสียแล้ว
“ว่าแต่ เ้าเป็ใครกัน เหตุใดถึงได้มาอยู่ในจี้หยกของข้าได้?”
หลังมู่เฟิงได้สติ เขาก็ตั้งคำถามกับอีกฝ่ายกลับในทันที
“ข้ามีนามว่าซีเยว่ เ้าก็คิดเสียว่าข้าเป็เพียงิญญาสถิตที่ดำรงอยู่ในหยกเทพชูร่าชิ้นนี้ก็แล้วกัน”
สตรีผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“หยกเทพชูร่า? นี่เป็ชื่อจี้หยกของข้างั้นหรือ? ิญญาสถิต แล้วิญญาสถิตคือสิ่งใด?”
มู่เฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“นึกไม่ถึงว่ากระทั่งิญญาสถิตเ้าก็ยังไม่รู้จัก ไอหยา ข้าขอถามเ้าหน่อยเถอะ เ้ารู้จักการแบ่งระดับของอาวุธวิเศษบนโลกนี้หรือไม่?”
ซีเยว่เอ่ยถาม
“ข้ารู้จักเพียงเครื่องมือปราณและเครื่องมือิญญาเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ข้าก็ไม่รู้จักแล้ว”
มู่เฟิงครุ่นคิดเกี่ยวกับเื่นี้ก่อนจะกล่าวตอบออกมา บิดาของเขามีหอกไฟปราณอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งของชิ้นนั้นคือเครื่องมือิญญาระดับต่ำ อีกทั้งมันยังเป็มรดกตกทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่และมีคุณค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แต่ในระหว่างาครั้งนั้น หอกไฟปราณเล่มนี้กลับสูญหายไปเสียแล้ว
“อืม ถูกต้อง แต่เหนือกว่าเครื่องมือิญญายังมีเครื่องมือกายสิทธิ์ และเหนือกว่าเครื่องมือกายสิทธิ์คือเครื่องมือเทวฤทธิ์ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด”
“โดยปกติแล้วเครื่องมือิญญานั้นจะก่อกำเนิดเศษเสี้ยวของจิติญญาขึ้นมา โดยจิติญญาที่กำเนิดขึ้นจะถูกเรียกว่าิญญาสถิต ดังนั้นเ้าจะคิดเสียว่าข้าคือิญญาสถิตของหยกเทพชูร่าชิ้นนี้ก็ได้”
ซีเยว่กล่าวเสียงเรียบ
“เช่นนั้นหมายความว่า… จี้หยกรูปหัวใจที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้ชิ้นนี้ คือเครื่องมือิญญางั้นหรือ?”
มู่เฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่ เป็เครื่องมือเทวฤทธิ์”
คำกล่าวของซีเยว่ทำให้มู่เฟิงตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
“คะ เครื่องมือเทวฤทธิ์...”
มู่เฟิงอ้าปากเหวอ พลางมองไปยังจี้หยกรูปหัวใจอย่างพูดไม่ออก
แม้เขาจะไม่รู้จักอานุภาพที่แท้จริงของเครื่องมือเทวฤทธิ์ แต่เด็กหนุ่มก็สามารถตระหนักได้เป็อย่างดีว่าหอกไฟปราณของบิดาเขานั้นทรงพลังและร้ายกาจมากเพียงใด
เพียงใช้พลังปราณเข้าไปกระตุ้นหอกเล่มนั้นก็จะสามารถปลดปล่อยไฟปราณที่ทรงพลังออกมาโจมตีศัตรูได้ในทันที น่าเสียดายที่หอกเล่มนั้นถูกศัตรูในสนามรบชิงเอาไปเสียแล้ว
แต่จี้หยกรูปหัวใจชิ้นนี้ไม่ใช่เครื่องมือิญญา แต่เป็ถึงเครื่องมือเทวฤทธิ์ที่มีอานุภาพเหนือกว่าเครื่องมือกายสิทธิ์และเครื่องมือิญญาเสียอีก!
“ในเมื่อเ้าทราบเื่นี้แล้วก็อย่าได้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาณาจักรเล็กๆ ของเ้าอาจต้องพบเจอกับหายนะ กระทั่งอาจถูกทำลายล้างทั้งอาณาจักร ด้วยความแข็งแกร่งของเ้าในตอนนี้ อย่าได้กล่าวถึงเครื่องมือเทวฤทธิ์เลย ลำพังเพียงเครื่องมือปราณเ้าก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้”
ซีเยว่กล่าวเตือนอย่างจริงจัง
สีหน้าของมู่เฟิงพลันชะงักไปทันใด เด็กหนุ่มพยักหน้า เขาเข้าใจถึงเหตุผลในเื่นี้ได้เป็อย่างดี
“แล้วเครื่องมือเทวฤทธิ์นั้นมีอานุภาพอย่างไร? เหตุใดท่านแม่ของข้าจึงมีเครื่องมือเทวฤทธิ์ชิ้นนี้ได้? จริงสิ แล้วเ้ารู้อะไรเกี่ยวกับท่านแม่ของข้าหรือไม่”
มู่เฟิงรัวคำถามออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เ้าเด็กตัวเหม็นนี่ เหตุใดคำถามของเ้าจึงมากมายเช่นนี้ หยกเทพชูร่าชิ้นนี้เป็สมบัติของเผ่าชูร่า และเป็สิ่งที่ใช้ในการฝึกเคล็ดวิชาชูร่า นอกจากนี้มันยังเป็สิ่งที่ช่วยให้เ้าสามารถหลอมพลังเืออกมาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย
รอเวลาที่เ้าสามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ได้เมื่อไร ถึงตอนนั้นเ้าก็ไม่จำเป็ต้องดูดซับพลังเืจากซากศพอีกแล้ว เ้าจะสามารถใช้พลังปราณเข้าไปกระตุ้นหยกชิ้นนี้เพื่อดูดซับพลังเืจากมันได้โดยตรง ไม่ว่าเมื่อใดที่เ้า้าจะฝึกฝนย่อมสามารถทำได้ตลอดเวลา ส่วนความสามารถอื่นของมัน ในตอนนี้เ้ายังไม่จำเป็ต้องรู้”
“ส่วนเื่มารดาของเ้า ข้าไม่ทราบว่านางคือใคร และไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงมีหยกเทพชูร่าไว้ในได้ ข้าเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่นาน นอกจากนี้หยกเทพชูร่าชิ้นนี้ของเ้าก็ยังไม่สมบูรณ์ดี มันเคยได้รับความเสียหายอย่างหนักมาก่อน ไม่อย่างนั้นคนอย่างเ้าไม่มีทางทำให้มันยอมรับเป็เ้านายได้หรอก”
ซีเยว่ตอบคำถามด้วยความหงุดหงิด
หลังได้ฟังดังนั้นมู่เฟิงพลันหรี่ตาลง พยายามคิดวิเคราะห์ตามคำพูดของซีเยว่อย่างรอบคอบ เขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
ในเมื่อนางบอกเขาว่านางคือิญญาสถิต แล้วเหตุใดนางจึงเรียกแทนหยกชิ้นนี้ว่ามันแทนที่จะเป็ตัวนาง สิ่งนี้ทำให้มู่เฟิงรู้สึกว่ามีอย่างไม่ถูกต้อง
แต่เดิมทีการที่หยกชิ้นหนึ่งสามารถพูดได้นั้นก็นับว่าเป็เื่แปลกประหลาดมากอยู่แล้ว
“จริงสิ ในเมื่อน้องชายของข้าสามารถฝึกวิธีผลาญโลหิตหลอมกายานั้นได้ แล้วข้าสามารถฝึกได้หรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามขึ้นมาทันที เขาไม่มีทางยอมแพ้ในเื่ที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นหรอกนะ
“แน่นอนว่าย่อมได้ แต่เ้าก็เห็นแล้วว่าความทรมานของการฝึกนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถอดทนได้ นอกจากนี้พร์ในการฝึกพลังปราณของเ้าก็นับว่าไม่เลว ไม่มีความจำเป็ต้องเสียเวลาฝึกกายา แต่ถึงอย่างไรเ้าก็มีหยกเทพชูร่านี้อยู่ คงจะไม่เสียเวลามากมายนัก แต่เื่ความเ็ปนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทนได้จริงๆ”
ซีเยว่กล่าว
“เ็ปงั้นเหรอ?”
มู่เฟิงแสยะยิ้มออกมาหลังจากได้ยินคำนี้ ดวงตาของเขาฉายแววซับซ้อน “ความเ็ปทางกายจะสามารถเทียบกับความเ็ปทางใจได้อย่างไร หากความเ็ปนี้สามารถทำให้ข้าเติบโต ทำให้ข้าแข็งแกร่ง ทำให้ข้าสามารถล้างแค้นให้ท่านพ่อ ล้างแค้นให้กับเหล่ากองทัพทหารทั้งสองแสนนาย ทำให้ข้าสามารถปกป้องหญิงอันเป็ที่รัก ปกป้องตระกูลมู่ได้ ต่อให้ต้องอดทนกับความเ็ปทั้งหมดบนโลกใบนี้ ข้าก็ยินดีจะแบกรับมันเอาไว้”
แม้จะเป็เพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีคนหนึ่ง แต่ดวงตาของเขากลับเผยให้เห็นถึงความหนักแน่นราวกับผู้ใหญ่
หลังได้ยินดังนั้นซีเยว่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นางตื่นขึ้นมาในระหว่างที่มู่เฟิงกำลังต่อสู้ ที่ผ่านมานางได้เฝ้าสังเกตความสามารถและอุปนิสัยของเด็กหนุ่มมาโดยตลอด
เขามีนิสัยชอบพัฒนาตัวเอง มองโลกในแง่ดีและยืนหยัดในความถูกต้อง ทั้งยังเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ทำให้ซีเยว่รู้สึกพึงพอใจในตัวของเด็กหนุ่มเป็อย่างมาก
ไม่อย่างนั้นวันนี้นางคงไม่ออกมือช่วยเหลือมู่ขวงเพื่อมู่เฟิงหรอก
“หนทางสู่ความแข็งแกร่งนั้นไม่ใช่เื่ง่าย เ้าต้องมีทั้งความพยายาม พร์และโอกาส ในบางครั้งเ้าต้องเรียนรู้ที่จะหยืดหยุ่น เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง กระทั่งเรียนรู้ที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อความสำเร็จ โลกใบนี้มันกว้างใหญ่และโหดร้ายเกินกว่าที่เ้าจะสามารถจินตนาการได้เสียอีก”