เหยาซุ่นผิงอ้ำอึ้งขึ้นมาทันที เื่นี้เป็อย่างที่ซย่านีว่าจริงๆ
ซย่านีกล่าวต่อไป “คุณน่าจะรู้ว่ามีคนตั้งเท่าไหร่ที่มีเงินเดือนแค่สิบถึงยี่สิบกว่าหยวนเท่านั้น เดิมทีก็มีคนเช่าบ้านอยู่ไม่กี่รายคุณตั้งราคาค่าเช่าบ้านสูงขนาดนี้จะต้องไม่มีคนเช่าแน่ๆ หากจะปล่อยให้บ้านของคุณว่างต่อไปอีกหลายเดือน ไม่สู้ให้ฉันเช่าเดือนละสิบสองหยวนยังจะดีเสียกว่า”
เหยาซุ่นผิงมุมปากกระตุก ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย
ตอนที่ซย่านีกำลังพูดเธอก็คอยจับสังเกตท่าทางของเหยาซุ่นผิงมาตลอด เธอรู้ว่าตนเองใกล้จะพูดกระตุกต่อมเขาได้แล้ว จึงเร่งเติมเชื้อฟืนในกองไฟต่อไป “ฉันอยากจะเช่าบ้านของคุณจริงๆ นะคะ ไม่เช่นนั้นเอาแบบนี้ดีไหม ฉันจะให้คุณเพิ่มอีกหน่อย ถ้าเดือนละสิบห้าหยวนหนึ่งปีก็ร้อยแปดสิบหยวนใช่ไหม แต่ฉันจะจ่ายให้คุณเดี๋ยวนี้เลยในราคาหนึ่งร้อยห้าสิบหยวนแทน คุณคิดว่าอย่างไร?”
เหยาซุ่นผิงไม่สามารถคำนวณบัญชีจากวาจาได้ เขาหันไปหยิบเครื่องคิดเลขออกมาจากโต๊ะแล้วกดไปกดมา ถ้าราคาเดือนละสิบสองหยวนเช่นนั้นสิบสองเดือนก็ร้อยสี่สิบสี่หยวน แต่ซย่านียินดีจ่ายให้ร้อยห้าสิบหยวนซึ่งเพิ่มมาอีกหกหยวนเท่ากับว่าเขาได้เพิ่มอีกห้าเหมาต่อเดือน
อันที่จริงราคาเท่านี้ก็ไม่ได้ต่ำเลย เขาไม่ใช่คนเดียวที่ปล่อยบ้านเช่าในละแวกนี้ แล้วบ้านเช่าของเขาส่วนใหญ่ก็ปล่อยเช่ากันประมาณสิบหยวนเท่านั้น ถึงบ้านของปู่จะได้รับการดูแลอย่างดีแต่ก็ไม่ได้คุ้มค่าขนาดจะคิดในราคาสิบห้าหยวนจริงๆ
ซย่านีดื่มน้ำเสร็จก็ยืนขึ้นทันที “สหาย สิ่งที่ฉันเสนอให้คุณคือราคาที่จริงใจแล้ว หากมากกว่านี้ฉันก็คงจ่ายไม่ไหวจริงๆ”
เหยาซุ่นผิงลองครุ่นคิดดูแล้วก็พยักหน้าในที่สุด “ก็ได้ งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน หนึ่งร้อยห้าสิบหยวนนะ...แต่ว่าคุณต้องจ่ายเงินทั้งหมดในก้อนเดียวนะ”
ซย่านีตอบรับ “ได้สิ แต่ว่าคุณต้องถามความเห็นเื่นี้กับพ่อของคุณอีกไหม?”
สิ่งที่เฝิงหย่งบอกเธอเมื่อครู่นี้ก็คือพ่อตาของเพื่อนร่วมงานของเขาเป็คนปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ ไม่รู้ว่าเหยาซุ่นผิงจะตัดสินใจเื่บ้านแทนพ่อของเขาได้หรือไม่
เหยาซุ่นผิงตอบ “ไม่ต้องหรอกเื่นี้ผมเป็คนตัดสินใจเอง ตอนนี้พวกเราก็มาลงนามในสัญญากันเลยไหม?”
ครั้นพูดจบเขาก็หยิบปากกาขึ้นมาจรดลงบนสัญญาเช่า เขาเซ็นชื่อของตนเองเสร็จแล้ว จากนั้นก็ผลักสัญญาไปตรงหน้าซย่านีแล้วรอให้หญิงสาวลงนามในสัญญา
ซย่านีหยิบสัญญาขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด เธอเรียนอักษรจีนมาได้หนึ่งสัปดาห์ซึ่งก็มีความคืบหน้าอย่างน่ายินดีเลยทีเดียว ตอนนี้เธอสามารถอ่านข้อความในสัญญาได้แล้ว สัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหลังจากนี้ไปบ้านดังกล่าวจะตกเป็ของผู้เช่านามว่า ‘ซย่านี’ เป็ระยะเวลาสิบสองเดือน และค่าเช่าแต่ละเดือนอยู่ที่ราคาเท่าไหร่และท้ายสุดยังระบุไว้อีกว่าจะเก็บเงินจากซย่านีเป็จำนวนเงินทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน
หลังจากที่ยืนยันว่าสัญญาไม่มีปัญหา เธอก็ควักเงินปึกหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าแล้วนับธนบัตรสามัคคีใบใหญ่ออกมาจำนวนสิบห้าใบพร้อมกับส่งให้เหยาซุ่นผิง หลังจากเหยาซุ่นผิงตรวจนับเงินเรียบร้อยก็ลงชื่อตนเองบนสัญญาให้เรียบร้อย
ต่อมาซย่านีก็มอบหนังสือสัญญาให้กับเฝิงหย่ง และเฝิงหย่งก็ลงนามชื่อตนเองในฐานะพยาน
สัญญาดังกล่าวจัดทำขึ้นสามฉบับโดยแบ่งให้แต่ละคนเก็บไว้ คนละหนึ่งฉบับเพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทใดๆ ในอนาคต
หลังจากลงนามในสัญญากันเสร็จ ซย่านีก็รับกุญแจบ้านมาจากมือเหยาซุ่นผิงทำให้บ้านน้อยหลังนี้กลายเป็ของซย่านีชั่วคราวแล้ว
จากนั้นซย่านีก็มองไปทางเหยาซุ่นผิงแล้วเอ่ยถามต่อ “กุญแจบ้านมีดอกเดียวหรือ?”
เหยาซุ่นผิงพลันสะดุ้งใ
เฝิงหย่งยิ้มพลางเอ่ยเตือนเขา “คุณปล่อยบ้านออกไปแล้วทำไมถึงยังเก็บกุญแจไว้เล่า หากวันหน้าข้าวของในบ้านของซย่านีหายไปเช่นนั้นจะไม่กลายเป็ความผิดของคุณหรอกหรือ?”
“อ้อๆๆ” เหยาซุ่นผิงตบหัวตัวเองพร้อมกับพูดว่า “ดูสิ ผมลืมไปเลยเดี๋ยวคุณรอก่อนนะ ผมจะไปหยิบกุญแจสำรองมาให้คุณ”
