องค์หญิงใหญ่้าทำอันใดกันแน่? ขณะซ่งอี้เฉินกำลังครุ่นคิดและได้คาดเดาไว้แล้ว ทว่าเขาไม่คิดจะยับยั้ง
เหตุใดต้องยับยั้งด้วย หากยืมอำนาจขององค์หญิงใหญ่เพื่อทดสอบความคิดของไทเฮา หากใช้โอกาสนี้เพื่อยึดอำนาจการบริหารแคว้นไว้ในมือได้ก็ยิ่งดี
ทว่าเขารู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ไทเฮาไม่ยอมมอบอำนาจให้แน่ หากเขายอมรับอย่างกะทันหันในเวลานี้แล้ว เกรงว่าไทเฮาจะต้องคลางแคลงใจ เกิดเื่อันใดขึ้นนั้นยากคาดเดาได้จริงๆ
ดังนั้นซ่งอี้เฉินจึงตรัสทันที “ทุกท่านหยุดทะเลาะกันได้แล้ว!”
น้ำเสียงของซ่งอี้เฉินไม่ดังมากนัก ทว่าเหล่าขุนนางต่างได้ยินกันทุกคน ขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียงกัน ต้องคำนึงถึงพระเกียรติของซ่งอี้เฉินด้วย ไม่กล้าที่จะเพิกเฉยต่อคำตรัสของซ่งอี้เฉิน
เมื่อได้ยินคำตรัสของซ่งอี้เฉินขุนนางทุกคนต่างเงียบทันที และยังประสานมือถวายพระพรซ่งอี้เฉิน ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ยืนตัวตรง เหมือนกำลังรอคำตอบจากซ่งอี้เฉิน
“ตอนนี้เจิ้นเองก็ค่อยๆ จัดการบริหารบ้านเมืองอยู่แล้ว เจิ้นไม่รีบร้อนที่จะออกว่าราชการเอง” ซ่งอี้เฉินตรัสเสียงเบา “ตอนนี้เจิ้นรู้สึกสบายใจที่มีไทเฮาคอยดูแลเจิ้น”
เมื่อองค์หญิงใหญ่คำพูดนี้นางยกยิ้มมุมปากเ็าแล้วตรัสว่า “ฮ่องเต้ไม่อยากปกครองด้วยพระองค์เอง หรือไม่กล้ากันแน่? ในฐานะเป็ฮ่องเต้ ก็ควรมีความเด็ดขาด และต้องเด็ดขาดเหมือนอดีตฮ่องเต้ จึงจะไม่ทำให้เสด็จพ่อต้องผิดหวัง กลายเป็ฮ่องเต้ของใต้หล้า”
ซ่งอี้เฉินส่ายศีรษะแล้วตรัสตอบว่า “ทุกเื่จะต้องทำทีละขั้นตอน หากรีบร้อนเกินไป กลับจะทำร้ายบ้านเมืองและพสกนิกรได้”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มพลางมองไปที่ไทเฮา นางไม่คิดว่าไทเฮาจะสละอำนาจในครั้งนี้ ทว่าก็ไม่สำคัญ นางจะส่งคนมาทวงถามไม่เว้นแต่ละวัน พวกเขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้ สุดท้ายก็ต้องให้คำตอบ
ว่ากันว่าแม่ลูกมีความรักอันลึกซึ้ง หากไทเฮาไม่เต็มใจที่จะมอบอำนาจให้ ซ่งอี้เฉินจะคิดอย่างไร? คงไม่คิดว่ามารดาของเขาจะดูแลเขาจริงๆ กระมัง? จัดการทั้งหมดให้เขาจริงๆ หรือ? หรือเพียงแค่หวงอำนาจและไม่เต็มใจที่จะปล่อยมันไป?
วันนี้หากไทเฮาปฏิเสธ เป็การบอกใบ้ให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ให้เห็นว่าซ่งอี้เฉินใช้ไม่ได้จริงๆ ในอนาคตหากรับใช้เขาหรือรับใช้ไทเฮาก็คงต้องไปพิจารณาใหม่ บางทีน้องชายของนางยังคงภักดีต่อคนของเขา ทว่าหลังผ่านวันนี้ไป มันยากที่จะบอกว่ามีความภักดีมากน้อยเพียงใด!
ไม่ว่าช่องว่างจะลึกเพียงใด นางชนะได้
องค์หญิงใหญ่มองท่าทางที่เจียมเนื้อเจียมตัวของซ่งอี้เฉินแล้วมองไปที่ไทเฮา จากนั้นสีหน้าของนางเคร่งขรึมลง โดยเห็นถึงความไม่สบายใจอย่างชัดเจน
ไทเฮาไม่มีความสุขจริงๆ แม้ซ่งอี้เฉินจะพูดอย่างชัดเจนแล้ว ทว่ายังคงทิ้งรอยร้าวไว้ในใจของนาง
ไทเฮาจะไม่รู้ความตั้งใจขององค์หญิงใหญ่ในการทำเช่นนี้ได้อย่างไร? หากปล่อยความสงสัยนี้ไว้ต่อไป เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับซ่งอี้เฉินคงกลับมาเป็ดั่งเดิมไม่ได้แล้ว
ทว่าไทเฮากลับไม่สนใจ การว่าราชการหลังม่านเป็เพียงพิธีการ ถอดออกก็ถอดได้ แล้วอย่างไรเล่า? ม่านในหัวใจของเหล่าขุนนางยังคงอยู่อย่างหนักแน่น คิดจะเตะนางออกจากราชสำนัก ทว่าพวกเขายังไม่มีความสามารถขนาดนั้น
ดังนั้น ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน ในที่สุดไทเฮาก็ตรัสเสียงแช่มช้าว่า “อายเจียคิดว่าองค์หญิงใหญ่พูดถูก”
เมื่อทุกคนได้ยินประโยคนี้ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันรู้สึกประหลาดใจ ยกเว้นเหยียนอู๋อวี้ที่แอบแสดงสีหน้าเย้ยหยัน
ไทเฮาคืนอำนาจหรือ? ง่ายขนาดนั้นที่ไหน!
ไต่เต้าจากนางกำนัลมาสู่ตำแหน่งปัจจุบันนี้ได้ ััถึงความเข้มแข็งในหัวใจ ไทเฮาคืนอำนาจบริหารทั้งหมดได้อย่างไร?
แม้ว่าไทเฮากำลังจะบอกทุกคนว่านางกำลังจะคืนบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองให้กับซ่งอี้เฉิน ทว่าในใจของนางไม่ได้ยึดติดกับอำนาจจริงๆ หรือ?
เกรงว่าจะไม่เป็เช่นนั้นแน่!
หากไทเฮาไม่ยึดติดกับอำนาจจริงๆ พระนางก็น่าจะถอนตัวจากราชสำนักั้แ่ตอนกำจัดตระกูลอวิ๋นแล้ว แคว้นเซวียนในขณะนั้นไม่ต่างจากวันนี้มากนัก ซ่งอี้เฉินถนัดด้านการทหารเป็อย่างดี จะต้องปราบปรามแคว้นศัตรูตามชายแดนได้อย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่เป็เพราะนางไม่อาจละทิ้งความรู้สึกที่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้กระมัง?
ความจริงตอนนั้นนางเป็เพียงนางกำนัลตัวเล็กๆ คิดว่าตนเองจะมีวันนี้ได้อย่างไร?
คนคนหนึ่งที่ทุกคนมองว่าเป็คนธรรมดาทั่วไป กลับสามารถออกคำสั่งพวกเ้าได้ และมีอำนาจอยู่เหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋น คนคนนั้นน่าจะมีความทะนงตนอยู่ในใจอย่างมาก
ตอนนี้กำลังตรัสว่าจะคืนอำนาจ ซึ่งไม่รู้ว่าคิดจะใช้กลอุบายอันใดอีก
ไทเฮาตรัสแช่มช้า “อายเจียช่วยเหลือฮ่องเต้บริหารบ้านเมืองมาหลายปีแล้ว ถึงเวลาที่ฮ่องเต้จะปกครองด้วยตัวเอง หลังจากฝึกฝนมาหลายปีฮ่องเต้น่าจะปกครองต้าเซวียนให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างแน่นอน และเขาจะปกครองได้ดีกว่าอายเจียแน่นอน”
“เสด็จแม่......” ซ่งอี้เฉินใมาก ไม่คิดว่าไทเฮาจะตรัสเช่นนี้ พระองค์จึงตรัสตอบไปเพียงว่า “ลูกยัง้าคำชี้แนะจากเสด็จแม่...…”
“ฮ่องเต้วางใจ อายเจียเชื่อว่าเ้าไม่ทำให้อายเจียและขุนนางต้องผิดหวัง จะนำความสงบสุขสู่พสกนิกรอย่างแน่นอน” หลังจากไทเฮาตรัสเช่นนี้ เห็นว่ามีบางบางกำลังจะทูลตอบ พระนางจึงโบกมือแล้วตรัสเสริมว่า "เื่นี้ก็พอเท่านี้เถิด อายเจียก็เหนื่อยแล้ว ไม่อยากอยู่ต่อกับขุนนางทุกท่านแล้ว!"
จากนั้นพระนางตรัสพลางจับมือแม่นมซูแล้วเดินออกไป ทุกคนรีบคุกเข่าและน้อมส่งไทเฮา
ไทเฮาเดินผ่านเหยียนอู๋อวี้ มองนางแล้วตรัสพลางแย้มยิ้ม “เหยียนเจี๋ยอวี๋ต่อไปเ้าต้องดูแลฮ่องเต้ให้ดี และอย่าทำให้อายเจียต้องผิดหวัง!"
ดังนั้นตำแหน่งของเหยียนอู๋อวี้จึงถูกกำหนดและไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้ง
เหยียนอู๋อวี้ก้มหน้าถวายพระพรตัวสั่นเทา
การเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองครั้งนี้ เป็เพียงคำพูดไม่กี่คำ ดูเหมือนง่าย ทว่าในใจของเหล่าขุนนางไม่ได้ตื้นเขินเช่นนั้น ไทเฮาจะมอบอำนาจคืนหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับวันนี้เท่านั้น ทว่าต้องดูเหตุการณ์หลังจากวันนี้
องค์หญิงใหญ่มีท่าทีดีพระทัยยิ่งนัก นางถวายพระพรและตรัสว่า “แสดงความยินดีกับฮ่องเต้ด้วย”
ซ่งอี้เฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีตอบสนองใดๆ องค์หญิงใหญ่ก็ไม่ได้สนใจ เพียงแค่เหลือบมองเซียวจ่างเฟิงเท่านั้น เพราะเขาเตือนว่าอย่าทำการบุ่มบ่าม แค่หยั่งเชิงไทเฮาเท่านั้นก็พอ ทว่าไทเฮากลับกล้าคืนอำนาจทั้งหมด ทว่าไม่รู้ว่าพระนางยังมีแผนการอันใดอีก?
ความจริงแล้วเมื่อเห็นท่าทางของเขาที่ถูกบังคับให้ยอมแพ้แล้ว องค์หญิงใหญ่ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางเข้าใจอุปนิสัยของซ่งอี้เฉินดี นางเองก็ถูกเซียวจ่างเฟิงควบคุมอยู่เช่นกัน เพียงนางไม่มีเหมือนเขาที่ไม่อาจเอาชนะความสัมพันธ์นั้นได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกผ่อนคลายอยู่บ้าง
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้คาดเดาแผนการต่อไปของเซียวจ่างเฟิง อย่างไรก็ตามพวกเขาได้ยืนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะทำอันใดก็ต้องบอกนาง และตอนนี้องค์หญิงใหญ่ยิ่งรู้สึกพอใจกับบุรุษที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
วันนี้ซ่งอี้เฉินจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติ และได้เชิญตัวประกันจากหลายแคว้นมาร่วมงาน จวินอู๋เสียก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
ตัวประกันจากแคว้นต่างๆ ไม่เหมาะที่จะมายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในราชสำนักของต้าเซวียน ดังนั้นพวกเขาไม่ได้พูดสิ่งใดและตอนนี้พวกเขาแค่เก็บเหตุการณ์นี้ไว้ในใจอยู่เงียบๆ และพยายามหาทางส่งข่าวกลับไปยังแคว้นของตนเอง
ทันทีที่ไทเฮาเสด็จกลับ องค์หญิงใหญ่ก็วางตัวว่าตนเองนั้นมีอำนาจมากที่สุดแล้ว ตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้เป็วันมหามงคล ขอฝ่าาโปรดทรงพระเกษมสําราญ มีเพียงเพลงและการร่ายรำพวกนี้เท่านั้นหรือ?” ซึ่งเป็คำพูดที่ถามไปยังเต๋อเฟย
ไทเฮาเสด็จกลับ ทำให้เต๋อเฟยใและเพิ่งตั้งสติได้ ทูลตอบด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “หม่อมฉันได้เตรียมสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้ต้องประหลาดใจมาถวายเพคะ” จากนั้นปรบมือเรียกออกมา ทว่าองค์หญิงใหญ่เอื้อมมือออกไป เพื่อยับยั้งไว้และตรัสว่า “ได้ยินมาว่าองค์ชายจวินแห่งราชวงศ์ใต้เป็ผู้เชี่ยวชาญด้านพิณ ไม่ทราบว่าจะดีดพิณให้พวกเราฟังสักบทเพลงได้หรือไม่?”
เมื่อจวินอู๋เสียได้ยินคำพูดนี้แย้มยิ้มพลางทูลว่า “เช่นนั้นกระหม่อมก็คงต้องยอมขายหน้าแล้ว”
เต๋อเฟยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทูลพลางแย้มยิ้ม “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ไม่ทราบว่าจวินอู๋เสียจะช่วยเราสักเื่ได้หรือไม่?”
จวินอู๋เสียยกมือขึ้นแล้วทูลว่า “เต๋ยเฟย้าสิ่งใด โปรดแจ้งให้ทราบ”
เต๋อเฟยยิ้มเล็กน้อยและเดินไปหาจวินอู๋เสีย จากนั้นพูดบางอย่าง ซึ่งได้ยินเพียงสองคนแล้วจวินอู๋เสียแย้มยิ้มและพยักหน้า
ขณะที่ซ่งอี้เฉินรู้สึกพอพระทัยเป็อย่างมาก จึงตรัสถามว่า “พูดความลับอันใดกัน?”
เต๋อเฟยแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัยและทูลตอบซ่งอี้เฉินไปว่า “ฝ่าา ไม่ต้องรีบร้อนเพคะ”
ในขณะที่นางกำลังทูลตอบอยู่นั้น จวินอู๋เสียนั่งลงตรงหน้าพิณโบราณที่เตรียมไว้ ปลายนิ้วสีขาวหยกัักับสายพิณเบาๆ เสียงเพลงจาก์ดังก้องอยู่รอบบริเวณ