เพียงพริบตาเดียววันเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
เมื่อมีสยงท่าเทียนและหลี่เทียนจีอยู่ด้วย ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาฉินอวี่จึงได้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องโดยไร้ความกังวล พลังความแข็งแกร่งของเขาก็ดีขึ้นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะฉินอวี่้าสร้างความมั่นคงให้อาณาเขตการฝึกฝนรวมถึงการฝึกฝนทางร่างกายของตนเอง เขาคงจะก้าวเข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับแปดเสียนานแล้ว
ต้องบอกเลยว่า ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ สิ่งที่ฉินอวี่ดื่มไปมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเืของสัตว์อสูรจำนวนมาก แม้ว่าเืนี้กับเืในน้ำเต้าของสยงท่าเทียนจะมีความแตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับทำให้พลังปราณของฉินอวี่มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาทั้งสามได้มาถึงส่วนลึกของป่าในแดนสุสานอสูรแล้ว ในตอนนี้ความเร็วของพวกเขาเริ่มช้าลง ที่แห่งนี้เป็แหล่งรวมอสูรร้ายระดับสาม แม้ว่าสยงท่าเทียนจะมีพละกำลังที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็กลัวที่จะเผชิญหน้ากับอสูรร้ายนั้น แม้ว่าเขาสามารถล่าถอยได้ แต่ฉินอวี่กับหลี่เทียนจีก็อาจจะต้องทนทุกข์ทรมาน
“หลี่เทียนจี สถานที่แห่งนี้ใหญ่แค่ไหนกันแน่ เืของวานราอยู่ที่ไหนหรือ?” สยงท่าเทียนกล่าวอย่างไม่พอใจด้วยใบหน้าที่หงุดหงิด
หลี่เทียนจีมองไปทางสยงท่าเทียนด้วยท่าทางเ็า และพูดว่า “ข้ารู้ว่ามีเืของวานราอยู่ที่นี่ แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเืของวานราอยู่ตรงไหน? จะหาพบหรือไม่นั้น ก็คงขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วล่ะ!”
“เช่นนั้นเ้าก็กำลังโกหกข้าอยู่หรือ?” สยงท่าเทียนอารมณ์เสียอย่างยิ่ง
หลี่เทียนจีโกรธจนตัวสั่น ฉินอวี่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งจึงรีบพูดขึ้นมา “สยงท่าเทียน บางสิ่งบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับโชคจริงๆ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีซากศพของอสูรร้ายในเขตแดนเต๋า อยู่ในสุสานอสูรแห่งนี้ และน่าจะเป็วานราที่หลี่เทียนจีพูดถึง พวกเราลองค้นที่นี่ดูดีๆ ก็อาจจะได้เจอก็ได้” พูดจบฉินอวี่ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “หลี่เทียนจี วานราที่เ้าพูดถึงเป็วานราแบบไหน?”
“วานราแยกเป็หลายประเภทด้วยหรือ?” สยงท่าเทียนถามอย่างสงสัย หลี่เทียนจีก็หันหน้าไปมองฉินอวี่เช่นกัน และคิดอยู่ในใจว่าฉินอวี่ไปได้รับตำราโบราณอะไรมากันแน่ จึงได้รู้อะไรมากมายเช่นนี้ แต่เขาคงไม่รู้ว่าฉินอวี่ผู้นี้คือหอตำราเคลื่อนที่เลยทีเดียว
“แน่นอน ทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรถูกแบ่งออกเป็เผ่าเป็ตระกูลต่างๆ ตัวอย่างเช่น เ้าอยู่ในตระกูลขวงสยง แต่นอกเหนือจากตระกูลขวงสยงแล้ว ก็ยังมีตระกูลนู่สยง และตระกูลจ้านสยง สิ่งนี้อาจจำแนกได้จากหลายประเภท หากแบ่งตามสายเืที่แตกต่างกัน เผ่าวานรก็แยกได้หลายประเภทเช่นกัน วานรดึกดำบรรพ์ วานรา วานรโบราณ และวานรยุทธ์ วานราที่แท้จริงคิดว่าคงไม่มีเหลืออยู่แล้ว หรือต่อให้ยังมีอยู่ ก็อาจจะเป็สายเืที่เบาบางมาก ดังนั้น ข้าจึงคาดว่าวานราที่อยู่ที่นี่น่าจะเป็วานรยุทธ์เสียมากกว่า”
“พี่ฉิน ตามที่ท่านพูด เืของวานรยุทธ์นี้คงไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรน่ะสิ?” สยงท่าเทียนที่ฟังเป็เวลานาน เขาเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่กลับตีความออกมาได้เช่นนี้
ฉินอวี่ยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นเขาก็รู้ว่าทำไมหลี่เทียนจีมักจะหงุดหงิดกับสยงท่าเทียน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป “แม้จะเป็สายเืที่เบาบางของวานรยุทธ์ แต่ก็ยังอยู่ในระดับเขตแดนเต๋า เืของเขาย่อมมีประโยชน์กับเ้าแน่นอน ในตอนนี้ ผู้ฝึกตนในขั้นเขตแดนเต๋านั้นหาได้ยากยิ่ง และยังไม่แน่ใจว่าจะเป็วานรยุทธ์ มันอาจจะเป็วานรโบราณ หรือวานราจริงๆ ก็ได้” ฉินอวี่พูดออกไปโดยไม่มีเหตุผล สุดท้ายแล้ว สำนักใหญ่ทั้งหมดที่อยู่เื้ัแคว้นอู่ต่างก็ให้ความสนใจกับสิ่งนี้ อสูรร้ายนี้คงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ฉินอวี่มั่นใจอย่างยิ่ง การกล่าวกันว่านี่เป็อสูรร้ายระดับเขตแดนเต๋า จะต้องแพร่กระจายมาจากสำนักต่างๆ ส่วนความจริงจะเป็อสูรร้ายอะไรนั้นก็ยังไม่เป็ที่แน่นอน
“อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นพวกเราก็รีบเข้าไปให้เร็วที่สุดเถอะ!” เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สยงท่าเทียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เดี๋ยวก่อน สยงท่าเทียน ระดับการฝึกฝนของเ้าอยู่ระดับใด?” ฉินอวี่รีบเรียกขวางสยงท่าเทียนที่กำลังกระตือรือร้น และถามไปอย่างรวดเร็ว เพราะพลังปราณของสยงท่าเทียนทำให้ฉินอวี่ไม่สามารถตัดสินระดับการฝึกฝนของสยงท่าเทียนได้ ดังนั้น ฉินอวี่จึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าสยงท่าเทียนมีระดับการฝึกฝนเป็อย่างไร
“ระดับการฝึกฝนของข้าหรือ?” สยงท่าเทียนก็ผงะไปเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้าน่าจะอยู่ในขั้นปราณเสถียรระดับกลาง แต่ข้าก็สังหารขั้นเทียนชุ่ยธรรมดาได้นะ เ้าคงไม่รู้ ข้าถูกท่านพ่อจับแช่ในเตาโอสถั้แ่ยังจำความไม่ได้ เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของข้า... ในตอนนั้นข้าก็ได้แต่มึนงงทั้งวัน และผ่านมาเช่นนี้ร้อยปี จนเมื่อข้าเริ่มรู้เื่รู้ราวก็อายุสิบปีไปแล้ว”
ฉินอวี่และหลี่เทียนจีหันมองหน้ากัน ใช้เวลากว่าร้อยปีในการชุบหลอมร่างกายหรือ? มิน่าล่ะที่ร่างกายของสยงท่าเทียนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
“กลุ่มของคนตระกูลขวงสยงไม่สนใจในระดับการฝึกฝน สนใจเพียงพละกำลังของร่างกาย รอให้ข้าโตเป็ผู้ใหญ่ ระดับการฝึกฝนก็จะเพิ่มขึ้นเองโดยธรรมชาติ” สยงท่าเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ฉินอวี่ไม่เพียงแต่ถอนหายใจ เพราะมีคนที่เก่งและมีความสามารถมากกว่าตนเอง
แต่ฉินอวี่ยังรู้ด้วยว่าสยงท่าเทียนอาจยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดในการเติบโตเป็ผู้ใหญ่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใน่เวลาสั้นๆ นี้เขาจะอยู่ในสภาวะของสติปัญญาที่ยังไม่พัฒนาเช่นนี้ มีอารมณ์โกรธง่าย มุทะลุ เมื่อเป็เช่นนี้ สยงท่าเทียนก็อาจจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับใครได้ง่าย ซึ่งไม่เป็ผลดีกับเขาอย่างยิ่ง
“ว่าแต่ ตอนนี้พวกเ้ามีกันอยู่กี่คน” ฉินอวี่ถามด้วยการสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนอื่น เป็เื่ที่เกิดขึ้นประจำของตระกูลขวงสยง หากไม่มีตระกูลที่แข็งแกร่งสนับสนุนอยู่เื้ั ก็คิดว่าพวกเขาคงจะตายกันไปนานแล้ว
“เอ่อ... เื่นี้ข้าไม่บอกเ้าหรอก” สยงท่าเทียนหน้าแดง ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย
ฉินอวี่ยิ้มอย่างขมขื่น ใน่รุ่งเรืองที่สุด ตระกูลสยงมีสมาชิกอยู่ไม่ถึงร้อยคน ในตอนนี้... เกรงว่าคนในตระกูลของสยงท่าเทียนคงจะมีมากสุดไม่เกินสิบคน หรืออาจจะน้อยกว่านั้น
“ในสุสานอสูรแห่งนี้อาจมีอสูร้ายระดับสาม ฉะนั้นพวกเราจึงไม่สามารถผลีผลามเข้าไปได้ ท้ายที่สุด หากต้องสู้กับอสูรร้ายระดับสาม ก็ต้องระมัดระวังให้รอบคอบที่สุด จึงจะเอาชีวิตรอดได้ และทุกๆ อย่างจะต้องห้ามประมาท” ฉินอวี่พูดเสียงเบาและมองลึกเข้าไปโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ
ครั้งนี้เขามาเพื่อยกระดับพลังปราณและพละกำลังของตนเองเป็หลัก เขาไม่เร่งรีบเื่ของระดับการฝึกตน เขารู้จักพละกำลังของชุ่ยซั่วเป็อย่างดี เกรงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นใน่เวลาห้าเดือนครึ่งนี้ หากไม่ใช่เพราะนึกถึงความปลอดภัยของฉินเสวี่ยและฉินจ้าน ฉินอวี่ก็คงไม่เข้าไปยุ่งกับการต่อสู้เอาเป็เอาตายในอีกห้าเดือนครึ่งข้างหน้าแน่นอน
“หรือจะให้ข้าเบิกทางไปก่อน แล้วพวกเ้าสองคนคอยตามข้ามา?” สยงท่าเทียนคิดอยู่เป็เวลานานก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมา เขาไม่้าจะมานั่งดูฉินอวี่ต่อสู้กับอสูรร้ายเพียงลำพังกับหลี่เทียนจี
“ก็ดีเหมือนกัน!” ฉินอวี่เหลือบมองหลี่เทียนจีและพยักหน้า
เมื่อเป็เช่นนี้ สยงท่าเทียนก็เบิกทางนำออกไปข้างหน้า โดยมีฉินอวี่และหลี่เทียนจีเดินตามหลังมา หากพบกับอสูรร้ายระดับหนึ่งฉินอวี่ก็จะสังหารทันที หากถึงยามคับขันที่ต้องเผชิญกับอสูรร้ายระดับสอง ฉินอวี่ก็จะปล่อยให้เป็ฝีมือของหลี่เทียนจี และหลี่เทียนจีกับสยงท่าเทียนนั้นก็ต่างกันสุดขั้ว สยงท่าเทียนมักจะไร้ความอดทนอยู่ตลอดเวลา ส่วนหลี่เทียนจีนั้นหากเลี่ยงการลงมือได้ก็จะไม่ลงมือ เมื่อเป็เช่นนี้ เมื่อเวลาผ่านไป พละกำลังของฉินอวี่ก็ย่อมเพิ่มตามไปด้วย
พริบตาเดียวก็เป็เวลาสองเดือนแล้ว
ขณะที่ฉินอวี่กำลังหมกมุ่นกับการฝึกฝนอยู่นั้น ณ จวนตระกูลชุย เมืองหลักเทียนอู่
“ท่านปู่ เ้านี่มันได้ความอะไรบ้าง? นี่มันสองเดือนแล้วนะ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้แม้เบาะแสของเขาเลย ไม่รู้ว่าเขาไปซ้อมหนักอยู่ที่ไหน สองเดือนผ่านไปแล้ว พละกำลังก็ควรจะเพิ่มมากขึ้นสักขั้น” ชุยซั่วมองดูเกราะม่านบางๆ ที่อยู่ในมือ และพูดอย่างกังวล เมื่อหวนนึกถึงการต่อสู้กับฉินอวี่ครั้งก่อน ในใจของชุยซั่วก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวขึ้นมา
เมื่อเห็นท่าทางที่ขลาดกลัวอยากถอยหนีของชุยซั่ว ชุยหงก็รู้สึกหมดหวัง เขานึกไม่ถึงเลยว่าชุยซั่วจะกลัวฉินอวี่ถึงเพียงนี้ หากรู้ว่าเป็เช่นนี้ั้แ่แรก เขาคงไม่เลือกไปท้ารบเช่นนั้น เขาได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายในและกล่าวอย่างช้าๆ “เกราะอ่อนนี้มีประวัติไม่ธรรมดา มันอยู่ในระดับสามของอาวุธิญญาระดับล่าง แม้พละกำลังของฉินอวี่จะแข็งแกร่งแล้วจะอย่างไรเล่า? เขาจะสามารถทำลายการป้องกันของเกราะอ่อนเทียนฉานได้หรือ?”
“ระดับสามของอาวุธิญญาระดับล่าง?” ดวงตาของชุยซั่วเป็ประกาย ในแดนซิงเฉิน อาวุธิญญาถูกแบ่งออกเป็เจ็ดระดับ แต่ละระดับแบ่งออกเป็สามระดับย่อย บน กลาง และล่าง ยิ่งอันดับสูงเท่าใดก็ยิ่งล้ำค่า เช่นเดียวกับกระบี่ที่เขาเคยใช้มาก่อนเป็เพียงอาวุธิญญาระดับหนึ่งของอาวุธิญญาระดับสูง
แต่เมื่อเทียบกับอาวุธิญญาในการโจมตีแล้ว อาวุธิญญาป้องกันนั้นมีค่ากว่ามาก นี่คือการดำรงอยู่ของสิ่งที่จะช่วยชีวิตใน่เวลาวิกฤติ นอกจากนี้ อาวุธิญญาระดับที่สามของระดับล่างก็ยังเป็อาวุธิญญาที่แม้เป็ผู้ฝึกตนขั้นเทียนชุ่ยก็ยากนักจะทำลายมันได้ แต่ฉินอวี่ยังเป็เพียงคนขั้นยุทธ์ระดับหก ถึงแม้ว่าจะวิปริตเปลี่ยนไปมากเพียงใดก็ไม่สามารถทำลายกลการป้องกันของอาวุธิญญาชิ้นนี้ได้
ชุยซั่วมองดูเกราะอ่อนเทียนฉานอย่างมีความสุข และพูดขึ้น “มีของแบบนี้ ในเวลาห้าเดือนต่อให้ฉินอวี่จะก้าวเข้าสู่ขั้นปราณเสถียรข้าก็ไม่กลัว”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่ใหญ่หวังผิงของเ้าได้วิชาเพลิงธรณีแล้ว หากยืมมันมาได้ ลำพังเพียงเพลิงธรณีนั่นก็สามารถเผาฉินอวี่ให้ตายได้แล้ว” ดวงตาที่ขุ่นมัวของชุยหงจ้องมองชุยซั่วและพูดอย่างช้าๆ
ดวงตาของชุยซั่วเริ่มพร่า ส่ายศีรษะ และถอนหายใจ “ศิษย์พี่หวังได้รับเพลิงธรณีแล้วก็จริง แต่นั่นเป็ของประจำกายของเขา คงไม่ให้ยืมกันง่ายๆ”
“รอให้ศิษย์พี่ของเ้ามาก่อนเถอะ ข้าจะลองคุยกับเขาดู” ชุยหงพูดไปพลางกะพริบตา ชุยซั่วคือสายเืหนึ่งเดียวที่มีความโดดเด่นที่สุดในสายตาของเขา ชุยหงจึงฝากความหวังไว้กับชุยซั่วอย่างมาก ฉะนั้นจึงไม่มีวันยอมให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรกับชุยซั่วอย่างแน่นอน
สีหน้าของชุยซั่วตกตะลึง เขามองไปที่ชุยหงอย่างไม่อยากเชื่อ และพูดว่า “ท่านปู่ ท่านแน่ใจหรือที่จะไปพูดกับศิษย์พี่หวัง? หากสามารถยืมใช้เพลิงธรณีนั่นได้จริงๆ ถ้ามีเกราะอ่อนเทียนฉานและเพลิงธรณี ข้าก็คงจะจัดการกับฉินอวี่นั่นได้อย่างแน่นอน”
“เอาล่ะ เ้ากลับไปก่อนเถอะ ปู่ขอเตรียมอะไรบางอย่างก่อน” ชุยหงกล่าวอย่างใจเย็น
“รับทราบ ท่านปู่!” ชุยซั่วจับเกราะอ่อนที่ได้รับอย่างมีความสุข จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไป
ดวงตาที่ขุ่นมัวของชุยหงซึ่งมองไปยังชุยซั่วที่รีบหันหลังออกไปได้ดูลึกล้ำขึ้นมาทันที เขาจ้องไปยังแผ่นหลังของชุยซั่ว มีแววตาที่เฉียบคมปรากฏขึ้นในสายตา ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พึมพำกับตนเอง “ต่อให้มีคุณสมบัติ แต่กลับไร้อุบายที่ชาญฉลาด จะไปมีประโยชน์อะไร? ถ้าไม่มองในภาพรวม... ฮึ!”