ท่านหลิวยกพู่กันขึ้นมาเริ่มวาดภาพบนแผนที่ที่ตนเพิ่งวาดไปบนม้วนกระดาษอีกหน
ละเลงอยู่ไม่กี่ครั้ง ทิวทัศน์ประหลาดล้ำของัหิมะพลิกกายก็ถูกเขาวาดเอาไว้บนแผนภาพอย่างสมจริง ัหิมะสีเงินราวกับมีชีวิต เหมือนจะทะลุออกมาจากภาพเมื่อไรก็ได้ เ่ิูแค่กวาดตามองก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวและความโหดร้ายของัหิมะ ร่างกายยาวหลายพันเมตรช่างเหมือนกับผู้ทำลายล้างโลกเสียนี่กระไร
เผ่าปีศาจแดนหิมะมีแตกแขนงย่อยไปอีกหลายพันธุ์ ว่ากันว่าอย่างน้อยก็หนึ่งพันสายพันธุ์ขึ้นไป
อาณาจักรมีส่วนที่ทำการศึกษาเื่เผ่าพันธุ์แยกย่อยของพวกเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ แบ่งพวกเผ่าปีศาจออกเป็แต่ละชนิด กลายเป็สมุดภาพ อยู่ที่สำนัก ตระกูล จักรวรรดิรวมทั้งตระกูลใหญ่ทั้งหลาย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจศักยภาพในการาของเผ่าปีศาจ เมื่อศึกจวนตัวจะได้เตรียมตัวพร้อมไม่ลนลาน เ่ิูตอนที่ขลุกอยู่กับหอสมุดคลังแสงในสำนักกวางขาวก็อ่านตำรับตำราพวกนี้มาอยู่แล้ว
ัหิมะเป็ัระดับสูงในเผ่าปีศาจแดนหิมะ
กล่าวกันว่าัหิมะเป็ลูกหลานของัั์น้ำแข็งสมัยา เสียดายที่เมื่อยุคเทพมารสิ้นสุดลงแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปตามพลังปราณใต้หล้าและกฎของโลก ทำให้สมัยดึกดำบรรพ์นั้น สายเืัั์น้ำแข็งแห่งัหิมะค่อยๆ เบาบางลง พลังพลอยถดถอยตาม จนเมื่อใกล้ร้อยปีที่ผ่านมา ัหิมะก็เหลือเพียงเบาบาง อีกทั้งเพราะชอบขลุกอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็ง สายตาจึงแย่ลง ทำได้เพียงพึ่งพาประสาทััอย่างอื่นรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตอื่นเท่านั้น นี่เองที่ทำให้พวกมันต้องอาศัยอยู่ใต้ดินเสียส่วนมาก และทำให้พวกมันฐานะตกต่ำในหมู่เผ่าปีศาจด้วย
ตอนนี้เผ่าัหิมะค่อยๆ ถอนตัวออกจากการมีแนวโน้มในศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ปีศาจ
ทว่าการต่อสู้ดิ้นรนที่แท้จริงนั้น พลังของัหิมะตัวโตเต็มวัยทุกตัวน่ากลัวยิ่งนัก สัตว์ประหลาดพรรค์นี้ลอดผ่านชั้นน้ำแข็งไปมา เหมือนัเกล็ดแหวกว่ายในท้องทะเล รวดเร็วยากจะหาใครเปรียบ ได้ฉายาว่าผู้ปกครองแห่งธารน้ำแข็ง พลังแข็งแกร่งขั้นสุด สำหรับยอดฝีมือขั้นสุดยอดของมนุษย์นั้นไม่คณามือ แต่สำหรับทหารธรรมดาย่อมเป็ฝันร้าย กองทหารเกือบพันคนหากไม่มีผู้แข็งแกร่งอาณาทะเลระทมกุมบังเหียนล่ะก็ เกิดโชคไม่ดีไปปะทะกับัหิมะเมื่อใดเตรียมตัวถูกจมได้เลย
เ่ิูยืนอยู่บนแผงเกราะ มองลงสู่เบื้องล่าง
พื้นน้ำแข็งแดนใหญ่ด้านใต้กำลังพังทลาย ด้วยแผ่นดินไหวราวกับจะล้างโลกให้บรรลัย
“สัตว์ปีศาจที่เหมือนัหิมะนี่มีอีกมาก ในบรรดาหนึ่งสายพันธุ์ของเผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจล้วนมีพลังแกร่งกล้าแต่กำเนิด พลังของพวกเขาส่วนมากแม้จะฝึกหรือไม่ฝึกในภายหลังก็จะมีติดมากับตัวเสมอ เติบโตตามอายุ เป็เผ่าพันธุ์ที่น่ากลัวนัก ดังนั้นถึงได้ต่อกรกับผู้แข็งแกร่งของอาณาจักรเสวี่ยมาตลอดจนถึงป่านนี้”
เ่ิูถอนใจหดหู่ในใจ
เรือเหาะอักขระด้านหลังห่างจากพื้นไม่ถึงพันเมตร มันลาดตระเวนอย่างเชื่องช้านัก
ท่านหลิวยืนอยู่บนแผงเกราะ เขาวาดภาพไม่หยุดมือ
ตลอดทั้งวัน เขาวาดแล้ววาดอีกจำนวนสิบรูปต็ม บันทึกเอาทุกสภาพภูมิศาสตร์และภูมิประเทศในระยะร้อยลี้ลงไปบนม้วนภาพอย่างหมดจด
เวลาหนึ่งวัน ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่รัตติกาลมาเยือนนั้น เรือเหาะอักขระก็เพิ่มระดับความสูงเหมือนิญญาไร้รูปร่างกลับคืนสู่หมู่เมฆ
ท่านชายหลิวผลาญพลังกายและพลังใจไปมากจนอ่อนเปลี้ย จึงกลับเข้าตัวเรือเหาะไปโดยมีเด็กหนังสือซิ่งเอ๋อร์ช่วยพยุง ตอนที่เข้าประตูห้องไปแล้วก็หันหน้ามายิ้มให้เ่ิูเป็การทักทาย
“แม่ทัพเย่ เวรคืนนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว”
หลิวจงหยวนพูดมาประโยคหนึ่ง
เ่ิูรู้สึกใกับความสนใจกะทันหันนั่น
เพราะแม่ทัพกองโจรที่เงียบเหมือนโขดหินเอ่ยปากพูดกับเขาด้วยตัวเองเป็ครั้งแรก แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนเข้าเวรยามจะจัดการให้ทหารเกราะใต้อาณัติไปทำ เ่ิูก็รู้สึกได้ว่า แม่ทัพกองโจรผู้นี้มีแววขับไสและเป็ศัตรูกับเขา แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ถึงได้ทำให้หลิวจงหยวนหมดสิ้นความเป็ศัตรูอย่างไร้เหตุผลไปเสียอย่างนั้น
“ได้เลย แม่ทัพหลิวโปรดวางใจ”
เ่ิูตอบอย่างจริงจัง
หลิวจงหยวนพยักหน้าจากนั้นก็หันหลังไปตระเตรียมการป้องกันอื่นๆ
เขาพึ่งพาการเข่นฆ่าและความดีความชอบในการศึกมาทีละขั้นๆ จนมาถึงจุดที่ได้เป็แม่ทัพบัญชาบนหลังม้า แม้ว่าวันนี้จะะเืใจเขาเต็มๆ จนอยากจะกระชับความสัมพันธ์กับเ่ิู แต่ก็ไม่หน้าด้านพอจะพูดกันโต้งๆ ที่เปิดปากพูดกับเ่ิูเองได้ขนาดนี้ถือว่ายอมให้มากแล้ว
วิธีนี้ไม่ได้ดูตีสนิทใกล้ชิดเป็พิเศษ เหมาะสมกับนิสัยเ่ิูดี
หากหลิวจงหยวนจู่ๆ ก็อัธยาศัยดีขึ้นมา ไม่แน่ว่าเ่ิูอาจไม่เหลือความเคารพให้เขา
ทั้งคืนนั้น เรือเหาะอักขระล้วนอยู่ในสภาวะเงียบสงบ แอบซ่อนอยู่ในกลีบเมฆาขาว ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
เ่ิูยืนอยู่บนแผ่นกระดานหัวเรือเงียบเชียบ เขามองความสงบรอบทิศอย่างตั้งใจนัก
บางคราก็รู้สึกถึงคลื่นพลังปณิธานวรยุทธ์จากในอากาศเข้ามาถึงตัว
เป็ที่แน่ชัดว่าจากนี้ไปแสนไกล ผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์ต้องกำลังโรมรันกันไม่เสร็จสิ้น ยังยืดเยื้อต่อไปอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่อาจมีผู้แข็งแกร่งเข้าร่วมานี้มากกว่าเดิมก็เป็ได้ เ่ิูพิจารณาพักหนึ่ง ลำพังแค่พลังของเขาสามารถแยกออกว่ามีปณิธานวรยุทธ์อย่างต่ำๆ สิบชนิดที่มีกลิ่นอายต่างกัน แผ่รังสีตลบออกมาในใต้หล้า เท่ากับตราหน้าไว้ชัดเจนแล้วว่าต้องมีผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดอย่างน้อยสิบคนขึ้นไปเพิ่มเข้ามาในา
“ตอนนี้เห็นที ที่ข้าคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้จะผิด ปณิธานวรยุทธ์สองสายตอนแรกสุดนั่นมิใช่ของลู่เฉาเกอกับคนๆ นั้นหรอก สองคนนี้เป็คนสำคัญ เป็ศูนย์กลางทุกอย่าง ควรจะยังไม่ออกรบ ยุทธการเดินทัพวายุว่องที่วางแผนขึ้นในคราวนี้้ากำจัดคนๆ นั้น น่าจะบุกตะลุยรวดเร็ว รุนแรงไม่ให้ตั้งตัว ไม่เช่นนั้น หากชายคนนั้นฟื้นสติกลับมา หากแม้นมิใช่ศัตรู ก็อาจหลบหนีได้ หากเป็ลู่เฉาเกอออกรบเอง ต้องไม่ใช่สู้กับชายคนนั้นจนนานถึงเพียงนี้แน่!”
เ่ิูแยกแยะได้แล้ว
ยืนอยู่บนหัวเรือ มองตรงไปทิศตะวันตกเฉียงใต้ เห็นแสงไฟวับๆ อยู่กลางผืนนภา
ทิศทางนั้นต่างหากคือสมรภูมิหลักครานี้
รัตติกาลช่างยาวนาน
ยามกลางคืนในหมู่เมฆช่างสงบเงียบต่างกันออกไป
ที่สุดก็มาถึงยามเที่ยงคืน
ทั้งสี่ทิศไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เห็นท่าคืนนี้คงไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นกระมัง
เ่ิูนั่งขัดสมาธิ เงยหน้ามองเบื้องฟ้า อดปล่อยความคิดพัดพาไปกับสายลมมิได้
ไม่รู้เพราะอันใด ความคิดเขาถึงได้กลับไปยังตอนที่ท่านชายหลิวทำงานวาดรูป ความรู้สึกเผชิญหน้ากับความประหลาดล้ำเมื่อตอนกลางวันนั่นอีกครั้ง
ความรู้สึกพิเศษเมื่อตอนกลางวันนั้นห่มคลุมกายเ่ิูอีกหน
“ความรู้สึกนี้มัน...”
เ่ิูรวบรวมใจใคร่ครวญ ค่อยๆ เข้าสภาวะประหลาด
เขาเริ่มลองปลุกิญญาอีกคราหนึ่ง
ในเมื่อตัดสินใจจะใช้น้ำแข็งเป็ธาตุประจำตัวชองเขา ตัวเขาตอนนี้อยู่ที่ใจกลางแดนปีศาจ อากาศเย็นเยือกแข็ง อากาศธาตุรอบด้านเยือกแข็ง เตมที่และเป็โอกาสที่ดีในการจับความหนาว เ่ิูเรื่มปลุกิญญาอีกครั้ง แล้วควบคุมเนื้อหนังมังสาให้ผ่อนคลาย ทุกรูขุมขนเปิดออกดูดเอาพลังน้ำแข็งเย็นเยือกกลางอากาศรอบด้านลงไป
ตอนที่เ่ิูเริ่มสูดเอาไอเย็นนั้นเอง กระทั่งตัวเขายังไม่รู้เลยว่ากระแสอากาศบนเกราะเหล็กอักขระ้านี้จะเกิดวามเปลี่ยนแปลงขึ้นฉับพลัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
นายทัพนายหนึ่งเห็นการขยับฉับพลันของกระแสอากาศเข้าแล้ว
เขามองตรงไปอย่างระแวง แต่กลับพบว่าบนแผงเกราะที่แสงจันทร์ทอประกายนั้น ราวกับหิมะขาวผ่อง และในอากาศธาตุก็เห็นกระแสอากาศวิบวับเหมือนเกล็ดน้ำแข็งขาว กำลังบิดเบี้ยวเวียนวนอย่างอ่อนโยนและเบาบาง เหมือนคลื่นกระทบชายฝั่งตรงเข้าสู่ร่างของเ่ิู ทูตถือดาบตรวจการณ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเรือ ดั่งวังน้ำวนโคจรรอบกาย สุดท้ายเหมือนวาฬพ่นน้ำ จมร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่จนมิด
พริบตานั้นที่เหล่าทหารตะลึงงัน
ร่างกายที่นั่งขัดสมาธิใต้แสงจันทร์ เงียบสงบประหนึ่งรูปสลัก
แต่เหมือนคนเหนืุ์ที่สูบเอาความรุ่งโรจน์แห่งตะวันและจันทรา แสงจันทร์สีเงินมาหลั่งรวมอยู่รอบกาย ริ้วลายน้ำวนม้วนพันตัว จากนั้นก็จมเข้าร่างของเขา นายทัพเหล่านี้ล้วนรู้สึกละอายใจจนไม่กล้ามองให้แปดเปื้อนไปชั่วครู่
มีบางคนตบไหล่พลทหาร
ทหารนายนั้นใแล้วหันหน้าไปมอง เป็หลิวจงหยวนที่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างๆ เขาเมื่อไร
“แม่ทัพ ใต้เท้าเย่ท่าน...” พลทหารจะเอ่ยบางอย่าง
หลิวจงหยวนส่ายหน้า แววตานั้นซับซ้อน เขาเงียบไปครู่หนึ่งเต็มๆ ก่อนค่อยๆ เอ่ยเสียงต่ำ “อย่ารบกวนท่านทูตตรวจการณ์เย่ เขากำลังฝึกฝนเข้าจุดสำคัญ...ถ่ายทอดคำสั่ง ให้พี่น้องเราถอนกำลัง ทุกคนห้ามส่งเสียง ไม่อนุญาตให้ใช้เสียงดัง เวรคืนนี้ตัวข้าจะรับหน้าที่เอง”
“น้อมรับคำสั่ง” พลทหารตอบรับเสียงเบา จากนั้นจึงลาไปถ่ายทอดคำสั่งทันที
หลิวจงหยวนยืนอยู่บนพื้น มองเ่ิูที่นั่งขัดสมาธิอยู่ เขาอดถอนใจเบาๆ ในใจมิได้
“เข้าถึงหลักแล้วจริงๆ สินะ...”
มีบางคน บางเื่ บางโชคชะตา บางความบังเอิญที่แม้แต่จะอิจฉาก็ยังอิจฉาไม่ได้ล่ะนะ
นี่แหละชีวิต
สำหรับโอกาสเช่นนี้ เหล่าคนรุ่นเยาว์กว่าจะละโมบโหยหามานานเท่าใดกันนะ
แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ ว่าจะถูกเ่ิู ‘คนนอก’ ที่เพิ่งเข้ามาด่านโยวเยี่ยนได้ไม่ถึงเดือน่ชิงเอาไปอย่างสบายๆ
ได้ยินข่าวว่าทักษะการวาดภาพของท่านชายหลิวเซียนภาพนั้นแทบเรียกได้ว่าเป็ธรรมะ รับเอาธรรมชาติแห่งใต้หล้านี้ไว้ ดังนั้นตอนที่วาดจึงใกล้เคียงกับการดึงกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติของใต้หล้า ศักดิ์สิทธิ์และเห็นชีวิต
วาดมาหลายปี จิติญญาของกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติแม้ดูไม่สำคัญอะไรกับตัวคนธรรมดา แต่สำหรับจอมยุทธ์แล้ว กลับเป็การพบกันของโชคชะตาอย่างแท่จริง กล่าวกันว่าลู่เฉาเกอหรือเทพาโยวเยี่ยนนั้น เคยเอ่ยกับปากว่าหากมีจอมยุทธ์รุ่นหลังสามารถเห็นและหยั่งรู้ถึงแก่นยามเซียนภาพบรรจงวาดภาพ ยึดเอาเส้นทางแห่ง์ที่เซียนภาพสั่งสมมาเป็เวลาหลายสิบปีไว้ได้ เขาคนนั้นจักต้องบรรลุได้เป็อย่างมาก
แต่หลายปีมานี้ ไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่มองเซียนภาพท่านชายหลิววาดภาพแล้วซึ้งถึงแก่นธรรมเลย
ปัญหานี้อาจเป็เพราะคนรุ่นหลังไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูเซียนภาพวาดภาพด้วยกระมัง
หลิวจงหยวนฝึกฝนอย่างหนักมานานเท่าไร ประสบการณ์ในการศึกนับไม่ถ้วน ผ่านความเป็ความตายมาหลายสิบครั้ง คิดมาตลอดว่าตัวเองพร้อมแล้ว ตอนที่ท่านชายหลิววาดรูปเมื่อกลางวัน เขามองออกถึงแก่นแล้ว แต่ไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรมามากมาย สุดท้ายกลับไม่อาจสู้ความรู้แก่นธรรมภายในวันเดียวของเ้าหนุ่มนี้ได้
เ่ิูคนนี้มีน้ำพุิญญาสิบห้าตาเท่านั้น กลับสามารถยึดเอาหลักธรรมแห่งธรรมชาติที่ท่านหลิววาดออกมาได้
นี่แหละความจริง นี่แหละชีวิต!
หลิวจงหยวนเชื่อว่าหลังเข้าถึงแก่นธรรมครั้งนี้แล้ว กำลังภายในของเ่ิูจะต้องบรรลุได้อย่างมากเป็แน่
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ
หลิวจงหยวนไม่กล้าถอนใจ เขายืนคุ้มครองเ่ิูอยู่ในระยะสิบเมตรตลอดเวลา
ในเมื่อไม่อาจรู้ชะตานั้นได้ด้วยตัวเอง ทำไมไม่ลองทางเลือกที่สองเสียเล่า ผูกมัดตัวเองกับเ่ิู เด็กหนุ่มคนนี้สามารถเข้าใจโอกาสแห่งโชคชะตาจากเซียนภาพเช่นท่านชายหลิวได้ไม่ใช่เื่สามัญแน่ หลิวจงหยวนมั่นใจในการัดสินใจของเขามากขึ้นและมากขึ้น หลายปีมานี้ เขาทั้งเสี่ยงชีวิต สร้างผลงานทางกองทัพนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไร้อำนาจเพราะมาจากครอบครัวปุถุชนและไม่มีวิสัยทัศน์ เขาเห็นจุดจบของอาชีพตัวเองดี ไม่มีโอกาสเหมาะหรือการช่วยเหลือจากคนยศสูง ช่างยากเย็นเหลือเกินกับการจะเลื่อนไปอีกขั้น
เขาเชื่อว่าเ่ิูคือคนๆ นั้นที่จะช่วยเหลือเขา
นี่คือการพนัน
ต่อให้เขาแพ้ เขาก็ไม่สูญเสียอะไรเลย
หลังจากนั้น หลิวจงหยวนก็คุ้มครองเ่ิูจนถึงเช้า
เมื่อแสงอาทิตย์ยามอรุณสาดส่องผ่านม่านเมฆ อาบเคลือบบนกายเ่ิู เมื่อนั้นเด็กหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้